อ้างถึง: ลากยาวๆ posted: 04-12-2553, 02:26:03
บอกได้คำเดียวยากครับเรื่องนี้
เท่าที่ฟังข้อเท็จจริงในเบื้องต้น
พ่อเพื่อนน้าเป็นหนี้เขาจริง แม้จะไม่ทำสัญญา แต่เมื่อเจ้าหนี้ทวงถาม พ่อเพื่อน้าไปทำสัญญาขายฝากกับเจ้าหนี้ที่สำนักงานที่ดิน ในกรณีนี้จะอ้างว่าทำนิติกรรม (สัญญาขายฝาก) โดยสำคัญผิด ถูกข่มขู่ หรือเป็นนิติกรรมอำพลางนั้น อ้างยาก เพราะในการไปทำสัญญาต้องทำต่อหน้าเจ้าหน้าที่ที่ดิน โดยระเบียบเจ้าหน้าที่ที่ดินจะสอบถามรายละเอียดจากคู่สัญญาก่อนว่าประสงค์ทำนิติกรรมอะไร (แม้ในความจริงบางแห่งจะไม่สนใจไต่ถามก็ตาม) แต่เมื่อเป็นคดีฝ่ายเจ้าหนี้เอาเจ้าหน้าที่ที่ดินมาเป็นพยาน ร้อยทั้งร้อยเจ้าหน้าที่ที่ดินจะยืนยันว่าได้สอบถามรายละเอียดจากคู่สัญญาคือเจ้าหนี้และพ่อเพื่อนน้าแล้วว่าคู่สัญญาประสงค์มาทำสัญญาขายฝาก และเมื่อเจ้าหน้าที่ที่ดินทำนิติกรรมให้ก็ได้อ่านเอกสารสัญญาให้พ่อเพื่อนน้าฟังจนเข้าใจแล้ว
สำหรับเรื่องที่อ้างว่าไม่ได้รับเงินนั้นก็อ้างยากเช่นกันแม้จะเป็นเรื่องจริง เพราะในสัญญาส่วนใหญ่จะระบุชัดว่า พ่อเพื่อนน้าได้เงินไปครบถ้วนแล้ว นอกจากนี้การที่พ่อเพื่อนน้าเป็นหนี้เขาจริงและมาทำสัญญาขายฝากที่ดินให้เขา ตามกฎหมายแล้ว ถือว่าการกระทำดังกล่าวเป็นการแปลงหนี้ใหม่ จากหนี้เงินกู้เป็นหนี้ขายฝาก การแปลงหนี้เช่นนี้สามารถบังคับได้ตามกฎหมาย โดยถือว่าหนี้เงินกู้เดิมเปลี่ยนเป็นหนี้ขายฝาก
นอกจากนี้การจะอ้างว่าเป็นหนี้เพียง 90,000 (หนี้ตามความจริง) ไม่ใช่ 400,000 ก็อ้างยากเช่นกัน เพราะตามเอกสารสัญญาขายฝากระบุชัดว่า 400,000 บาท มีการลงชื่อโดยพ่อเพื่อนน้าต่อหน้าเจ้าหน้าที่ที่ดิน การจะนำสืบต่อสู้ในชั้นศาลว่าเป็นหนี้เพียง 90,000 นั้น หากอีกฝ่ายไม่ยอมรับก็ยากที่ศาลจะรับฟังและเชื่อฝ่ายพ่อเพื่อนน้า
อนึ่ง การให้คำปรึกษาของผมเป็นการให้คำปรึกษาแบบตรงไปตรงมาตามกฎหมาย และเป็นการให้คำปรึกษาตามข้อเท็จจริงที่น้าแจ้งมา โดยไม่เห็นเอกสารใดๆเลยนะครับ หากมีข้อเท็จจริงเปลี่ยนแปลงไปหรือมีพยานหลักฐานเพิ่มเติมนอกจากนี้ ความเห็นของผมอาจเปลี่ยนแปลงไป
ถ้าเป็นไปตามนี้ บอกได้เลยครับว่า"ยาก" ที่จะได้คืน เว้นเสียแต่ว่า จะเอาเงินสด ไปปิดหนี้ .....เท่านั้น...
เหนื่อยหน่อยนะครับ กับกรณีแบบนี้ จะไปอ้างว่า ไม่รู้หนังสือ ศาลก็คงไม่ฟังหรอกครับ ดีไม่ไดี ศาลถามย้อนมาอีกว่า"แล้วทีแรก ก่อนที่จะมาทำนิติกรรม ทำไม ไม่พาทนายมาด้วย"...
............จบข่าว........