ภาพที่ 1
บทที่ 17
ตอนที่ 3
ทั้งหมดรีบเดินกลับเข้ามายังที่พัก โดยการเดินย้อนกลับมาตามลำห้วยสายเดิม เพราะเส้นทางไม่ได้รกและค่อนค้างจะสะดวกสบายในการสัญจร เพียงไม่กี่อึดใจ ก็กลับมายังที่พัก ซึ่งตอนนี้มองเห็นพรานโส่ยกำลังง่วนอยู่กับการขยับตรวจลูกบวบลำไม้ไผ่ ของแพทั้งสองลำ ส่วนอีกสองคน ที่ออกไปส่องปลายังไม่กลับมา พรานแปะรีบเล่าเรื่องราวต่างๆที่ตนเองและคณะเผชิญมา เกี่ยวกับการพบเห็นหัวกระโหลกมนุษย์ ให้พรานโส่ยฟังอย่างตื่นเต้น
“ใช่รึ”
“พวกเอ็งไม่ได้ตาฝาดกันไปนะ”พรานโส่ยร้องบอก คณะนั่งฟังพรานแปะเล่าถึงเหตุการณ์
“โถ่..ทำไมจะไม่ใช่”
“ฉันไม่ได้ตาฝาด ไปกันสี่คน ตาแปดคู่ มันจะฝาดพร้อมๆกันเลยรึไง ถ้าแกไม่เชื่อ เดี๋ยวพวกน้าเบมา พวกเราจะยกโขยงกันไปดูพร้อมๆกันเลยก็ได้ เลยกองไฟกองนั้นไปไม่ไกลหรอก พักเดียวก็ถึง หรือแก จะไปดูตอนนี้เลยก็ได้ เดี๋ยวฉันพาไปเอง ให้ไอ้สามตัวนี้ เฝ้าแคมป์”พรานแปะว่า
“อาจจะเป็นหัวของตัวอะไรก็ได้ พวกลิง ค่าง”
“เอ็งดูกันดีแล้วหรือยังไอ้แปะ”พรานโส่ยกล่าว พลางนั่งม้วนบุหรี่ยาเส้นขึ้นสูบ
“ดีแล้ว ที่แรกฉันก็คิดเหมือนแกนั้นแหละตาโส่ย”
“พอส่องไฟดูใกล้ๆเท่าแหนะ ลมแทบจับเหมือนกัน มันหัวกระโหลกคนจริงๆ ถ้าเป็น หัวลิง หัวค่าง มันก็ต้องเล็กกว่านี้ นี่ที่เห็นมันขนาดใหญ่กว่า”พรานแปะโพร่งออกมา พลางทำไม้ทำมือประกอบเพื่อบอกขนาดของหัวกระโหลกที่เห็น
“เอ..ก็น่าแปลก คนที่ไหนมาจะมาตายอยู่ที่นี่”
“โน่น ไอ้สองคนโน่นมาพอดี”พรานโส่ยว่า หลังจากพ่นควันบุหรี่ยาเส้นที่สูบออกมาเป็นทางยาว พลางบุ้ยปากไปที่แนวหินเบื้องหน้า ซึ่งตอนนี้ พรานทั้งสองที่ออกไปส่องปลา พากันเดินโผล่ออกมาตามแนวหินริมตลิ่ง
“ไม่ไหว”
“น้ำลึกจริงๆแถมไหลแรงด้วย ยังดีที่พอได้ปลามากินกันบ้างไม่เสียเที่ยว”พรานพรว่า พูดจบก็โยนพวกปลาที่หามาได้เจ็ดแปดตัวลงพื้น แต่ละตัวเขื่องขนาดข้อมือของพรานพร
“ได้มั๊ยละเถาวัลย์ที่จะซ่อมแพ”
“แถวนี้น่าจะหายาก ที่พวกข้าส่องไฟหาปลา ก็หากันไม่เจอเลย มีแต่เส้นใหญ่ๆทั้งนั้น”พรานเบกล่าว
“เจอ”
“เจอกะผีสิไม่ว่า”เหน๋อสำลักออกมา
“ผี?”
“ผีอะไรกัน”พรานพรว่า พลางรินเหล้าป่าใส่ฝาแกลอนขึ้นจิบ
“ไอ้พว กนี้มันไปเจอหัวกระโหลกคน ที่ลำห้วยโน่น”
“ไอ้เหน๋อเจอคนแรก แหม่...เจอถูกคนเสียด้วย”พรานโส่ยตอบ ทำให้ทั้งสองพรานถึงกับรีบหันหน้าไปมองพรานเฒ่าอย่างงงๆ จากนั้น เรื่องราวต่างๆก็ถูกบอกเล่าขึ้นมาอีกครั้ง ท่ามกลางความงุนงงของทั้งสองพราน
“น่าแปลก”
“รึมันจะเป็นไอ้สิงห์”พรานพรกล่าวออกมาเบาๆอย่างปราศจากความหมาย
“ไม่ใช่หรอก”
“กระโหลกมันเก่ามากแล้ว น่าจะนานหลายปี”พรานแปะว่า ก่อนที่จะรับฝาแกลอนที่บรรจุเหล้าป่า จากพรานพรขึ้นดื่ม
“มันก็ไม่น่าแปลกอะไรหรอก ป่าแห่งนี้ นอกจากพวกเราแล้ว ข้าว่า มันก็ต้องเคยมีคนเคยผ่านหรือหลงเข้ามาแบบเราเหมือนกัน จะโดยตั้งใจ หรือไม่ตั้งใจก็ดี”
“ที่ข้าเคยเล่าให้พวกเอ็งฟังแล้วไงว่า มันเคยมีคนเข้ามา และหายสาบสูญไปเลยก็มี มันอาจจะนานหลายสิบปีมาแล้วก็ได้ เพราะสิ่งที่ข้าเคยได้ฟังเขาเล่ามา มันก็เล่าต่อกันมาหลายชั่วอายุคนแล้ว แต่ก็ช่างมันเถอะ ที่สำคัญที่สุดกว่าก็คือ ไอ้สิงห์ต้องไม่ตาย และเราต้องตามหามันให้เจอ”พรานเบกล่าวออกมาหนักแน่น พูดจบก็พยักหน้าให้พรานพร ซึ่งเจ้าตัวก็เพิ่งจะเข้าใจความหมาย และเพิ่งจะนึกอะไรขึ้นออก จากนั้นก็รีบล้วงมือเข้าไปในย่าม อึดใจ ก็หยิบอะไรชนิดหนึ่งออกมา พรานแปะที่นั่งอยู่ใกล้ที่สุด รีบตะครุบวัตถุชิ้นนั้นเข้ามาดู ก่อนจะอุทานมาว่า
“นี่มันสายเป้นี่หนา”
“สายเป้หลังของไอ้สิงห์แน่นอน น้าพรไปเจอมาจากไหนนี่”พรานแปะร้องออกมาอย่างยินดี เกือบจะลืมเรื่องหัวกระโหลกที่ตัวเองเจอมา
“ไอ้เบมันส่องไฟเจอ”
“มันติดอยู่ที่กิ่งไม้ แถวๆที่พวกข้าไปเดินส่องปลา แถวโน่น”พรานพรว่า พลางบุ้ยปากไปที่แนวแก่งหิน ทิศทางที่ตนและพรานนำทางพบกับสายของเป้หลัง แล้วก็เริ่มเล่าเรื่องราวที่ทั้งสองผ่านพบมา ทั้งเรื่องของการพบ หลักฐานชิ้นสำคัญของชายที่สูญหาย และสภาพแวดล่อมต่างๆ ทั้งกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก รวมไปจนถึงแก่งแง่หินต่างๆ ที่จะเป็นอุปสรรคในการเดินทาง ซึ่งอย่างหลังทั้งสองพราน ต่างเป็นกังวลเป็นอย่างยิ่ง
“มันก็เข้าเค้าอยู่หนา อย่างน้อยๆก็พอจะแน่ใจได้อีกเปราะหนึ่ง ว่าไอ้สิงห์อาจจะลอยหรือผ่านมาทางนี้”
“แต่ข้าเห็นแก่งหินพวกนั้นแล้ว เสียวๆยังไงพิกล”พรานโส่ยว่า พลางกราดไฟฉายส่องฝ่าสายหมอกไปตามแนวแก่งโขดหิน ที่โผล่อยู่กลางกระแสน้ำเชี่ยว
“ขนาดเราล่องแพกันมา ยังจะเอาตัวเกือบไม่รอด แพก็เกือบจะแตกไปตั้งหลายหน”
“นี่มันมาตัวเปล่าๆ น้ำก็เชี่ยวขนาดนี้ ไม่รู้จะลอยไปกระแทกหินบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้”พรานแปะร้องเสริม
“มันคงไม่เป็นอะไรหรอก ในฝัน พ่อปู่ฤาษี ท่านก็เหมือนจะบอกใบ้ไว้แล้ว ว่ามันไม่เป็นอะไร”
“เราต้องเจอมันแน่นอน แต่ไม่รู้จะตอนไหน และเมื่อไหร่ ขอเพียงเราอย่าหยุดหรือท้อแท้ไปเสียก่อน มาว่ากันเรื่องหัวกระโหลกที่พวกเอ็งไปเจอมา จะเอายังไงกันต่อ”พรานเบว่า พลางหันหน้าไปทางกลุ่มของพรานแปะ
“ฉันก็แล้วแต่น้าเบแหละ ว่าจะเอายังไงกันดี แต่ใจฉันก็อยากจะพาไปดูอีกครั้ง เพราะเผื่อจะได้ร่องรอยอะไรบ้างเกี่ยวกับคนตาย และอีกอย่าง จะได้กลับไปเอาของด้วย มีเถาวัลย์อีกขน กับ เห็ดอีกหอบ ที่พวกฉันทิ้งไว้ ไม่ได้ติดมาด้วย”
“รีบร้อนไปหน่อย ฉันก็ว่า ถ้าพวกน้าไม่ไป ฉันกับไอ้สองคนนี่จะย้อนกลับไปเอง”พรานแปะตอบ พลางบุ้ยปากไปที่สองกะเหรี่ยงหนุ่ม
“ไปก็ไป ข้าก็อยากไปเห็นเหมือนกัน ว่าอะไรมันเป็นอะไร จะได้รู้”
“ใครไม่ไปก็อยู่เฝ้าแคมป์ก็แล้วกัน”พรานเบกล่าวจบ ก็ทำท่าจะขยับเดิน แต่แล้วพรานโส่ยก็ร้องบอกขึ้นมาว่า
“ไปกันหมดนี่แหละ ข้าก็อยากเห็น หรือพวกเอ็งจะอยู่เฝ้าแคมป์”
“หรือเอ็งจะอยู่ ไอ้เหน๋อ”ประโยคสุดท้าย พรานชราร้องถามบุคคลที่มีตาขาวมากกว่าตาดำ แทนคำตอบเหน๋อสั่นหัวเป็นปลาดุกถูกทุบหัว แสดงการปฏิเสธ
“ไม่ต้องมีใครเฝ้าแคมป์หรอกรึ พากันไปกันหมดแบบนี้”
“ไม่ใช่พอกลับกันมา ของหายหมดเกลี้ยง จะไม่ฉิ บหายกันไปใหญ่”พรานพรว่า
“คงไม่มีอะไรหรอก จะว่ามีสัตว์อะไรจะมารื้อแคมป์ ก็คงยาก รอยสัตว์ใหญ่ก็ไม่มีให้เห็นเลย ถ้ากลัวนักก็เอาแต่ของใส่เป้หลังไปให้หมด ยกเว้นพวกผ้าใบ ไม่ต้องเอาไป”
“ถ้วยชามรามไห ของกิน ก็เอาแขวนที่สูงๆ หรือหาที่ซุกไว้ก่อน แพก็ลากขึ้นมาไว้ข้างบนอีกหน่อย เอาเชือกล่ามอีกที มันคงไม่ลอยไปไหนหรอก”พรานเบสรุป ทุกคนพากันเห็นด้วย ต่างจัดแจงปฏิบัติตามคำชี้แนะของพรานนำทาง ต่างคนต่างจัดเก็บสิ่งของต่างๆลงเป้หลัง นอกจากเสื้อผ้าที่แขวนผิงไฟของแต่ละคน ที่ไม่ได้เก็บ เพราะยังคงเปียกชื้นอยู่ คงปล่อยให้พาดแขวนราวไม้ไผ่อยู่แบบนั้น เสบียงอาหารต่างๆ เช่น เนื้อย่าง ที่ยังเหลืออยู่อีกก้อน และข้าวสาร พริกเกลือ ถูกบรรจุเก็บไว้ในถุงปุ๋ย พร้อมถ้วยชามต่างๆ พรานชรานำไปซุกแอบไว้ในซอกหินลึกตอนหนึ่ง ก่อนที่จะให้พรานเบกับพรานพรช่วยกันดันกลิ้งก้อนหินลูกขนาดเท่าครกตำข้าว มาปิดไว้ที่ปากโพรงหรือซอกหินนั้น ส่วนคนที่เหลือช่วยกันชักลากแพทั้งสองลำ ให้ขึ้นมาเกยอยู่บนฝั่งอีกเกือบห้าหกวา แถมพรานแปะยังเอาเชือกไนลอน โยงผูกล่ามกับโคนไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่ชายป่าริมตลิ่งอีกชั้น จนแน่ใจว่าแพทั้งสองลำจะไม่มีโอกาสหลุดลอยไปตามกระแสน้ำ
“เรียบร้อย”
“ถ้าไม่ใช่ช้างมาลากไป ก็ไม่มีวันหลุดไปไหนได้”พรานแปะว่า พลางยืนมองผลงานที่ตัวเองทำไวอย่างยิ้มๆ
“ฟืนไฟสุมดูดีๆ ระวังอย่าให้ลามไปไหนได้”
“สุมฟืนเผื่อไว้มากๆไปเลย ไม่รู้ว่าพวกเราจะเข้ากันไปนานหรือเปล่า สุมไฟไว้เยอะๆ จะได้ไล่สัตว์ไปในตัว”พรานพรสั่ง ก่อนจะเดินตวัดปืนลูกซองยาวขึ้นสะพายไหล พลางพยักหน้าแสดงเครื่องหมายการเดินทาง ไปที่พรานเบ ไม่กี่นาทีต่อมาคณะทั้งหมดก็พากันเคลื่อนขบวนไปยังตำแหน่งของหัวกระโหลกปริศนา ท่ามกลางบรรยากาศที่ปกคลุมไปด้วยสายหมอกจางๆ ที่พอจะมองเห็นหลังกันได้ โดยการนำทางของพรานแปะ ที่พาออกเดินรุดนำหน้าไป ซึ่งเพียงไม่นานก็พากันเดินมาตามลำห้วยแห้ง ที่เห็นท่อนซุงท่อนใหญ่กำลังติดไฟลุกโชนส่งควันกลุ่น ส่งแสงเรืองๆ เห็นเปลวไฟเต้นไหวไปมา เป็นเงาสะท้อนอยู่ระหว่างร่องห้วย ท่ามกลางสายหมอกที่แผ่กระจายไปทั่วแบบนี้ มองแล้วไม่ผิดอะไรกับเงาผี เลยจากท่อนซุงนั้นไปอีกช่วงไม่กี่อึดใจ ทั้งหมดก็มาถึงตำแหน่งที่ค้นพบหัวกระโหลก ซึ่ง ณ ตอนนี้ สภาพที่ครั้งแรกเป็นเช่นไร ก็ยังคงเป็นเช่นนั้นไม่มีการเปลี่ยนแปลง พรานเบกราดไฟฉายจับไปยังหัวกระโหลกนั้น ก่อนที่จะเดินดุ่มๆเข้าไปสำรวจ
“หัวกระโหลกคนจริงๆ”
“แต่น่าจะเก่ามาก คงจะหลายสิบปีมาแล้ว”พรานเบว่า หลังจากก้มพิจารณาหัวกระโหลกมนุษย์ที่ตกอยู่บนพื้น ซึ่งสภาพของมันบ่งบอกถึงอายุและกาลเวลาที่ผ่านมา จนไม่อาจจะกะอายุของมันได้ เพราะสภาพดูเก่าคร่ำครึและดูทรุดโทรมไปมาก บริเวณผิวของกระโหลกมีคราบของเศษดินและตะไคร่น้ำเกาะเปรอะไปหมด ส่วนบริเวณที่เป็นชิ้นส่วนที่ตกกระทบพื้น และที่แตกกระจายออกมา ก็ดูเปราะ มีเศษของชิ้นส่วนที่แลเห็นเป็นฟันที่ติดอยู่กับกระดูกขากรรไกรแตกหักหลุดออกมาเป็นกระบิ ส่วนที่เป็นเบ้าตาทั้งสองข้าง และโพรงจมูก ดูกลวงโบ๋ มองเห็นเศษดินลักษณะเป็นขุยสีดำๆอัดแน่นอยู่ภายใน
“มันกลิ้งลงมาจากบนโน่น”
“ที่เห็นเถาวัลย์เส้นเล็กๆเส้นนั้น ฉันกระตุกเถาวัลย์เส้นที่เห็น อยู่ไม่อยู่ ไอ้หัวผีนี่ มันก็กลิ้งตกลงมา บอกตรงๆหัวใจฉันแทบวาย”เหน๋อร้องบอก พลางส่งไฟฉายจับไปยังเส้นเถาวัลย์ที่ทอดยาวสูงขึ้นไปบนตลิ่งริมห้วย
“ไอ้พร เอ็งไปกับข้า เดี๋ยวข้าจะปีนขึ้นไปดู”
“จะได้รู้กันไป ว่าอะไรเป็นอะไร”พรานเบร้องบอกพรานพร ที่กำลังใช้ไฟฉายส่องสำรวจและใช้ปลายมีดเหน็บเขี่ยพลิกหัวกระโหลกปริศนาหัวนั้นไปมา จากนั้นก็ปลดย่ามหลังที่สะพายมาลงกองไว้กับพื้น แล้วตวัดปืนลูกซองยาวที่หนีบไว้ตรงซอกแขนขึ้นสะพายไหล่
“เดี๋ยวฉันกับไอ้พุ่ม จะปีนไปดูอีกฝั่ง”
“ตาโส่ย กับไอ้เคิ้ง อยู่เป็นเพื่อนไอ้เหน๋อข้างล่าง คอยเฝ้าของนี่ล่ะ ไอ้เหน๋อเอ็งก็อย่าทำเป็นใจเสาะอีก มากันตั้งหลายคน ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว หรือจะก่อกองไฟเพิ่มอีกสักกองก็ดี มันจะได้สว่างมองอะไรเห็นมากกว่านี้”พรานแปะกล่าวจบ ก็ปลดเครื่องหลังที่สะพาย แล้วโหนเส้นเถาวัลย์ และรากไม้ที่แตกเป็นผอยโผล่ออกมาจากผนังร่องห้วย ส่วนพรานพรและพรานเบ พากันปีนไต่ไล่กันขึ้นไปอีกฝั่งห้วย ทางด้านที่หัวกระโหลกกลิ้งตกลงมา ไม่กี่อึดใจ ทั้งคู่ก็ไต่กันขึ้นไปยืนส่องไฟสำรวจอยู่ทางด้านบน พร้อมๆกับเสียงหักไม้แห้งดัง ผัวะเผละ มาจากก้นห้วย เพียงไม่นานก็มีแสงไฟสีส้มสว่างโชนส่งควันกรุ่น ทำให้บริเวณนั้นสว่างพอที่จะสังเกตุหรือมองเห็น บริเวณที่รัศมีของแสงจากกองไฟนั้นได้พอสมควร ถึงแม้จะมีหมอกปกคลุมอยู่ทั่วก็ตาม พรานเบส่องไฟไล่ไปตามเส้นเถาวัลย์ ที่เป็นเหตุทำให้กระโหลกพลัดกลิ้งตกลงมา ส่วนพรานพรเดินแยกออกไปทางป่าด้านซ้ายมือไม่ห่างออกไปมากนัก ซึ่งตอนนี้รกไปด้วยป่าเถาวัลย์เส้นใหญ่ๆ ไม่กี่นาทีหลังจากพรานเบส่องไฟไล่ไปตามเส้นเถาวัลย์นั้น พรานนำทางก็อุทานขึ้นมาว่า
“เจอแล้ว”
“มีคนมานอนตายอยู่จริงๆด้วย”พรานเบร้องบอกคณะ พลางฉายไฟฉายจับไปยังร่างของโครงกระดูก ที่นอนพาดอยู่ระหว่างโคนไม้ใหญ่ที่ขึ้นเกือบจะเบียดชิดกันเป็นง่าม สภาพของโครงกระดูก นอนหงายหันศรีษะมาทางร่องห้วย มีส่วนปลายเท้าและกระดูกท่อนขาข้างหนึ่งพาดเหยียดยาวเข้าไปในป่า ส่วนอีกข้างจมหายเข้าไปในเศษดินและกองใบไม้หนาเตอะ แขนทั้งสองข้างของโครงกระดูกนั้น หลุดร่วงตกอยู่ห่างออกไปเกือบวา
“ไม่ผิดแน่”
“หลุดมาจากโครงนี่แหละ เส้นเถาวัลย์มันงอกแล้วร้อยเข้าไปเกี่ยวกับหัวกระโหลกพอดี”พรานเบว่า พลางสาวเส้นเถาวัลย์เส้นนั้น ที่มีแนวพาดไปตามร่างของโครงกระดูก
“คงนอนตายมานานแล้ว”
“นาน จนเถาวัลย์งอกร้อยศพอยู่แบบนี้ คงจะร้อยหรือไม่ก็เกี่ยวอยู่กับหัวพอดี พอไอ้เหน๋อมันกระตุก หัวกระโหลกคงจะหลุดติดมากับเส้นเถาวัลย์นั้นด้วย”พรานพรร้องบอก พลางส่องสำรวจโครงกระดูก และบริเวณพื้นดินในรัศมีรอบๆโคนต้นไม้ใหญ่ ที่ศพปริศนานอนตายพาดอยู่ เพียงไม่นานก็พบเข้ากับวัตถุชนิดหนึ่ง ลักษณะเป็นแท่งยาวกระดำกระด่าง มีเศษดินและสนิมเกาะเขรอะ โผล่มาจากพื้นดินประมาณคืบ
“อะไรอีกหละนั้น”
“ไอ้เบ มาช่วยกันดูหน่อยสิ”พรานพรร้องบอก พรานเบกระโจนพรวดเดียวมาที่ตำแหน่งของไฟฉาย ที่พรานพร ส่องจับอยู่
“นี่มันลำกล้องปืนนี่”
“ปืนจริงๆด้วย”ไม่พูดเปล่า พรานเบกระชากแท่งโลหะแท่งนั้นขึ้นมาจากพื้นดินที่ฝั่งอยู่ ยาวเกือบช่วงแขน เพราะพื้นดินบริเวณนี้มีสภาพร่วนซุย กระบอกหรือลำกล้องเหล็กท่อนนั้น ก็หลุดพรวดขึ้นมาจากพื้นดินได้อย่างง่ายดาย มันเป็นส่วนของลำกล้องปืน ตามที่พรานเบบอก ขนาดของมันโตเกือบจะเท่าของลำกล้องปืนลูกซอง สภาพของมันเก่าคร่ำครึ มีสนิมเกาะกรังอยู่หนาเตอะ ส่วนปลายของลำกล้องพอที่จะมองเห็นรู ซึ่งตอนนี้ถูกอุดตันไปด้วยเศษดิน มันเป็นลำกล้องเปล่าๆปราศจากพานท้าย ซึ่งคงจะเป็นไม้และน่าจะผุพังไปตามกาลเวลา แต่ที่น่าสนใจก็คือ ชุดโลหะ ที่เป็นกลไก ที่เกาะติดอยู่ที่ส่วนท้าย
เหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร ปืนอะไร ที่พรานทั้งสองค้นพบ โปรดติดตามในตอนต่อไป
ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภันมา ณ ที่นี้ด้วยครับ