นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 17 ตอนที่ 2 : Fishing Article
ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
คห. 4, อ่าน 1,098 โหวต: 2
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 17 ตอนที่ 2
2 ก.ค. 64
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 17 ตอนที่ 2
ภาพที่ 1
บทที่ 17

ตอนที่ 2


        เมื่อเสร็จพิธี ก็ถือว่าได้ฤกษ์งามยามดี อาหารมื้อค่ำจึงเต็มไปด้วยความเอร็ดอร่อย ถึงแม้จะเป็นเมนูที่เรียบง่าย แต่มันก็เต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติ เพียงแค่พริกป่นที่ละลาย ผสมมะขามเปียกและเกลือ ก็เป็นสิ่งชูรสทำให้เจริญอาหาร ยิ่งมีเห็ดหมกรสเค็มกำลังดีแนมด้วยแล้ว ยิ่งทำให้กินข้าวกันจนลืมอิ่ม เพราะตลอดหลายมื้อที่ผ่านมา ทั้งคณะได้ว่างเว้นจากเมนูพืชผักมาหลายมื้อ พอได้รสชาติที่แปลกใหม่ออกไป จึงทำให้เจริญอาหารกันทั่วหน้า เห็ดหมกที่ทำไว้ห่อใหญ่ หมดก่อนเนื้อเก้งและปลาย่างเสียด้วยซ้ำ

        “นานๆทีได้กินหมกเห็ด ขนาดไม่มีน้ำพริกนะนี่ ยังอร่อย”

        “พรุ่งนี้ถ้ามีเวลา ข้าจะลองเดินหาดู ป่าชื้นๆอับๆแบบนี้ เห็ดน่าจะเยอะ”พรานพรกล่าว ขณะเคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ย

        “เยอะแยะ”

        “แถวห้วยแห้งก็พอมี พวกเห็ดขอน แต่มันแก่ไปหน่อยเลยไม่ได้เก็บมา”พราแปะว่า พลางฉีกเนื้อเก้งย่างแล้วจิ้มกับน้ำพริกแบบง่ายๆโยนเข้าปาก

          “น่าจะต้องเตรียมหาเสบียงตุนไว้แล้ว”

          “ดูท่าทางไม่น่าจะพอกินกัน พรุ่งนี้เช้าก็คงหมด”พรานโส่ยกล่าว หลังจากชำเลืองไปที่เนื้อเก้งย่างอีกก้อน ที่แขวนอยู่บนราวเหนือกองไฟอย่างเป็นกังวล เพราะส่วนมากเรื่องเสบียงกรังต่างๆพรานโส่ยมักจะตรวจตราอยู่เสมอ ซึ่งครั้งนี้ สีหน้าพรานชราส่อแวววิตกจนเห็นได้ชัด

          “ลองส่องไฟหาฟันปลากันดูก็แล้วกัน แต่ต้องระวังๆกันหน่อย อย่าไปไหนมาไหนคนเดียว เลยจากที่เราพักออกไป มีแก่งตื้นๆอยู่บ้าง น่าจะพอมีปลาให้จับ”

        “เรื่องของกินข้าก็ห่วงเหมือนกัน เรามากันหลายคนก็คงจะหมดเปลืองกันเยอะหน่อย อะไรพอหาเก็บกินได้ก็เก็บมาตุนกัน ส่วนพวกสัตว์ใหญ่ก็แล้วแต่โชคของเรา ถ้าดวงเราดี ก็ขอให้มันมาเข้าทางปืนเราก็แล้วกัน ที่ผ่านมาเราไม่ได้ออกหาอาหารตุนกันไว้เลย มัวแต่เร่งตามไอ้สิงห์มัน จนบางทีข้าก็มองข้ามเรื่องนี้ไปเสีย ตาโส่ยเตือนมาแบบนี้ก็ดีแล้ว”พรานเบกล่าวออกมา

          หลังจากอาหารมื้อค่ำ ทั้งหมดก็แบ่งกลุ่มออกเป็นสามชุด ชุดแรกมีสี่คนคือ พรานแปะ เหน๋อ เจ้าพุ่ม เจ้าเคิ้ง ชุดนี้แยกออกไปตรวจที่กองไฟที่ก่อสว่างโชนอยู่ที่กลางห้วยแห้ง นอกจากกองไฟที่จะต้องตรวจความเรียบร้อยแล้ว ทั้งหมดก็ช่วยกันหาเก็บเถาวัลย์มาไว้ใช้สำหรับซ่อมแซมแพทั้งสองลำ ชุดที่สองมี พรานพร และพรานเบ ทั้งสองคนออกเดินส่องไฟสำรวจไปตามชายตลิ่งริมน้ำ เพื่อส่องหาฟันปลาที่อาจจะหลบอยู่ตามแก่งหิน ปล่อยให้พรานโส่ยเฝ้าที่พักอยู่เพียงลำพังกับเจ้าพะเปรียว ซึ่งพรานเฒ่าก็ไม่ได้นิ่งดูดาย เพราะหลังจากอิ่มข้าว แกก็ลากฟืนมาสุมไฟกองใหญ่อีกกอง บริเวณหาดทรายใกล้ๆกับแพทั้งสองลำ จนบริเวณโดยรอบที่พัก สว่างไสวไปทั้งบริเวณ ไล่ความมืดและความหนาวเย็นได้เป็นอย่างดี

        พรานเบและพรานพร เดินสะพายปืน ส่องไฟลัดเลาะไปตามแก่งหินริมตลิ่ง ด้วยความเชี่ยวและความแรงของกระแสน้ำ ทำให้บริเวณผิวน้ำปั่นป่วน จนส่องไฟสำรวจไม่ค่อยถนัดนัก แต่ก็ยังพอมีช่องว่างให้ส่องมองเห็นได้เป็นบางช่วง ปลาพลวง และปลาเวียน ขนาดข้อมือสามสี่ตัว ถูกพรานทั้งสองใช้สันมีดเหน็บฟันขึ้นมาร้อยพวงกับรากไม้ นอกจากจะส่องไฟหาปลาแล้ว บางจังหวะตามชายป่า พรานทั้งส่องก็พากันส่องไฟหาสัตว์ที่พอจะล่ามาได้ แต่นอกจากหนู และ นกเค้าแมว ไม่กี่ตัว ทั้งสองก็ไม่พบสัตว์ใหญ่อะไรเลย

          “สัตว์มันไปหลบอยู่ไหนกันหมด”

          “ทีเมื่อคืนเดินกันให้ควั่ก เก้ง กวาง สารพัด”พรานพรบ่นงึมงำกับตัวเอง พลางสาดไฟฉายไปตามแนวป่า

          “เอาแน่เอานอนไม่ได้ บทจะเจอมันก็เจอ ตั้งใจหา เดินกันให้ตายก็ไม่เจอ”

        “สัตว์บกไม่ได้ ก็ล่อสัตว์น้ำก็แล้วกัน ปลาแถวนี้มันก็น่าจะเยอะอยู่หรอก แต่ตลิ่งมันชันเหลือเกิน น้ำก็ลึกเป็นเหว น้ำก็เชี่ยวเป็นคลื่นส่องไฟก็ลำบาก”พรานเบร้องตอบ พลางฉายไฟไปตามผิวน้ำเหนือแก่งหิน ที่ตอนนี้กระทบแสงของไฟฉายเห็นเป็นริ้วคลื่น

        “มันจะลอยไปยันไหนก็ไม่รู้”

        “ข้าเป็นห่วงไอ้สิงห์เสียจริงๆ ยิ่งเห็นสภาพน้ำแบบนี้แล้ว ทำใจยาก”พรานพรกล่าว

        “น้ำเชี่ยวแบบนี้ มันคงลอยไปไกล ขนาดพวกเราล่องแพกันมา แพยังลอยลิ่ว”

        “ลอยน้ำไม่เท่าไหร่ เห็นแง่หินพวกนี้แล้ว ข้าก็อดห่วงมันไม่ได้”พรานเบตอบ พลางฉายไฟจับไปตามแก่งโขดหินที่โผล่พ้นน้ำ ซึ่งมีเศษกิ่งไม้และท่อนซุงลอยค้างก่ายกองกันอยู่ ทันใดนั้น แสงของไฟฉายก็สะดุดกับวัดถุอะไรชนิดหนึ่ง ครั้งแรกพรานนำทางมองผ่านๆคิดว่าเป็นเศษใบไม้ที่ลอยมาติด แต่เมื่อเพ่งมองดีๆจึงรู้ว่าไม่ใช่

        “เฮ้ย ไอ้พร ดูนั่น”

      “นี่มันสายรัดเป้หลังนี่หว่า ของใครกัน ใช่ของพวกเราหรือเปล่า”พรานเบร้องบอก พลางส่องไฟจี้ไปยังสายรัดของเป้หลังเส้นหนึ่ง ลักษณะเป็นเส้นแบนๆสีเขียวขี้ม้า กว่าประมาณหนึ่งนิ้ว ส่วนปลายด้านหนึ่งถูกกิ่งไม้เล็กๆเสียบหรือไม่ก็เกี่ยวไว้ อยู่เหนือระดับน้ำขึ้นไปเกือบคืบ ทิ้งส่วนปลายที่อยู่ด้านล่างให้ไหลแกว่งระไปกับกระแสน้ำ

      “เออ! ใช่จริงๆด้วย สายเป้”

      “สายเป้ไอ้สิงห์นี่ ไม่ใช่ของพวกเราแน่นอน ของไอ้เหน๋อเป้ของมันสีดำทั้งลูก”พรานพรร้องบอกละล่ำละลัก พูดจบก็ผลัดชุดออกแล้วเดินลุยน้ำลงไปเก็บวัตถุพยายชิ้นสำคัญที่ค้นพบ ซึ่งระดับน้ำที่เดินลุยไป มีความลึกอยู่ระดับอก มันเป็นสายรัดของเป้สนามจริงตามที่คาด ซึ่งไม่ใช่ของใครที่ไหน นอกจากชิ้นส่วนของเป้หลัง ที่เจ้าของเดิมของมันก็ได้สูญหายไปจากคณะ จะว่าเป็นของสมาชิกในคณะก็ไม่ใช่ เพราะนอกจากเหน๋อที่มีเป้สะพายหลังสีดำทั้งลูกแล้ว นอกนั้นใช้ย่ามกะเหรี่ยงหรือกระสอบถุงปุ๋ยดัดแปลงทำเป็นเป้สะพายใส่ของด้วยกันทั้งนั้น

        “ของไอ้สิงห์แน่นอน ไม่ผิดแน่”

        “เราน่าจะมากันถูกทางแล้ว”พรานเบกล่าวออกมาตาเป็นประกายมีความหวัง เมื่อพิจารณาถึงระดับความสูงของกิ่งไม้ที่เสียบติดอยู่กับระดับของสายน้ำที่อยู่ห่างกันเกือบคืบ มันเป็นไปได้ ที่ชายหนุ่มจะลอยมาพร้อมกับเป้หลัง ไม่จังหวะใดก็จังหวะหนึ่ง สายเป้ที่พบอยู่นี่ อาจจะเกี่ยวเข้ากับกิ่งไม้ก็เป็นได้ จะว่าลอยมาเฉพาะแต่สายก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะส่วนปลายได้เกี่ยวอยู่สูงขึ้นไปจากระดับผิวน้ำ หลังจากทั้งสองพรานผลัดกันดูสายรัดเป้ที่พบ พรานพรก็ม้วนเก็บสายรัดนั้นลงย่าม แล้วทั้งสองก็ชวนกันพาเดินส่องหาปลากันต่อ

      ส่วนที่ลำห้วยแห้ง ที่มีกองไฟก่อลุกโชนอยู่ที่ท่อนซุงแห้ง โดยมีส่วนปลายของท่อนซุงด้านหนึ่ง หักพับถทิ่มตกลงมาที่ร่องห้วย ซึ่งมีความสูงชันหลายวา ลักษณะของร่องห้วยกว้างราวๆห้าถึงหกวาเห็นจะได้ ส่วนที่เป็นพื้นและผนังทั้งสองด้าน เป็นดินปนทราย ผสมกับหินก้อนใหญ่ๆ มีรากฝอยของต้นไม้โผล่แซมปะปนอยู่กับเครือเถาวัลย์ขนาดท่อนแขนอยู่ดาษดื่น บริเวณพื้นห้วยแห้งมีเศษใบไม้และกิ่งไม้แห้งหล่นอยู่กลาดเกลื่อน ผิดกับบริเวณที่เป็นดงชายป่า ซึ่งมองแทบไม่เห็นพื้นดิน เพราะมีใบไม้หล่นทับถมอยู่หนาทึบ บ่งบอกว่าครั้งหนึ่ง เมื่อถึงฤดูน้ำหลาก ร่องห้วยแห่งนี้ คงจะเป็นที่ระบายน้ำให้กับป่าได้เป็นอย่างดี สังเกตุได้จากเศษใบไม้และกิ่งไม้แห้งที่มีอยู่บางตากว่า พรานแปะส่องไฟฉายชี้ให้ดูรอยหมูป่าและสัตว์ป่า จำพวกตีนกีบ ที่เดินย่ำทิ้งไว้ แต่ทุกรอยเป็นรอยที่เก่ามานานมากแล้ว อันเนื้องมาจากพวกมันคงเคยย้ำไว้เมื่อครั้งพื้นก้นห้วยยังเป็นดินโคลน แต่มาบัดนี้ พื้นก้นห้วยแห้งสนิทมีเพียงความชื้นพอให้ดินหมาดๆเท่านั้น

          “ไฟไม่น่าจะลามไปไหนได้นะน้าแปะ”

        “ท่อนซุงท่อนนี้มันหักพาดลงมาที่ก้นห้วยเฉยๆ ปลายด้านบนนั้นก็ไม่ได้เชื่อมกับป่าข้างบน ร่องห้วยมันสูงแบบนี้ ไฟคงพุ่งไปไม่ถึง”เหน๋อร้องบอก พลางส่องไฟสำรวจท่อนซุงขนาดสองคนโอบ ที่พรานแปะก่อไฟสุมอยู่ที่ส่วนปลายที่หักทิ่มลงมาที่ก้นห้วย

        “อย่าว่าแต่ทั้งคืนเลย”

        “สามวันก็คงไหม้ไม่หมด ซุงใหญ่ขนาดนี้ ไม่ต้องมีใครมาคอยเติมฟืนอะไรหรอก”เคิ้งว่า พลางใช้มือตบไปที่ท่อนซุงที่ใช้ก่อไฟ

        “แถวนี้คงหาเถาวัลย์เส้นเล็กๆยาก ไม่เหมือนป่านอกที่เราผ่านมา ดูสิ แต่ละเส้นใหญ่เท่าแขนทั้งนั้น”

      “คงต้องลองส่องไฟหาดูไปตามห้วยนี้แหละ น่าจะเดินง่ายดี ไม่รก”พุ่มร้องเสริม พลางส่องไฟฉายไปตามแนวลำห้วย ที่ทอดยาวหายเข้าไปในดงทึบ

      “จะดีรึ น้าเบแกสั่งไว้ไม่ให้ออกไปไหนไกลเกินแนวกองไฟ”

      “อีกอย่างป่าแถวนี้เราก็ไม่คุ้นชินด้วย ขืนทะเล่อทะล่า ออกไปมีหวังได้หลงกันตายห่ า”เหน๋อกล่าว

      “เอาแค่แนวลำห้วยคงไม่หลงไปไหนมั๊งพี่เหน๋อ หรือถ้ามันจะมีแยกออกไปทางไหนอีก เราก็ไม่ต้องไป ถือว่าเป็นการส่องสัตว์หรือหาเสบียงไปในตัวก็ได้ เดินตามลำห้วยแห้งแบบนี้ ง่ายกว่าเดินอยู่ในป่ารกๆเสียอีก ใครหลงก็บ้าแล้ว”

      “น้าแปะแกก็แบกลูกซองมาด้วย  แถมที่เอวพี่ยังเหน็บปืนสั้นมาอีกกระบอกจะไปกลัวอะไร ดูฉันกะไอ้เคิ้งสิ ไม่มีอะไรเลย นอกจากไฟฉายกะอีเหน็บ ว่าจะเอาปืนแก๊ปมาด้วยก็คงยิงไม่ออก เปียกน้ำเปียกท่าฉิบหา ยหมดแล้วเมื่อตอนล่องแพ”พุ่มว่า พลางมองไปทางพรานแปะ ที่กำลังส่องไฟสำรวจบริเวณลำห้วย เหมือนจะหยั่งเสียงพรานที่อาวุโสกว่า

      “เอาตามที่ไอ้พุ่มว่านั้นแหละ อย่าลืมเราต้องหาเก็บเถาวัลย์ไปซ่อมแพด้วย แถวนี้มีแต่เส้นใหญ่ๆ ลองส่องดูไปตามก้นห้วยนี่แหละ เผื่อจะเจอเส้นที่ใช้ได้ ถ้าเจอทางแยก หรือถ้าได้เถาวัลย์พอแล้วก็ค่อยกลับกัน”

      “เดินส่องไฟไปเรื่อยๆก็ดีเหมือนกัน เผื่อจะเจอตัวอะไรไว้เป็นเสบียงได้บ้าง ไม่ได้สัตว์ ได้พวกเห็ดก็ยังดี ชื้นๆอับๆแบบนี้ เห็ดน่าจะเยอะ ดูที่ท่อนซุงนั่นสิ มีแต่เห็ดขอนดอกใหญ่ๆทั้งนั้น แต่เสียดาย มันแกไปหน่อย เอามาแกงกินคงจะเคี้ยวกันเมื่อยกราม”พรานแปะว่า พลางฉายไฟไปที่ท่อนซุง บริเวณนั้นมีเห็ดขอนดอกใหญ่เกือบเท่าฝ่ามือกางๆเกาะขึ้นอยู่ขาวโพลนไปหมด แต่ทุกดอกก็โรยราหรือไม่ก็แห้งเหี่ยวจนแข็งกระด้าง

          ชุดสำรวจลำห้วยทั้งสี่คน เดินตรวจตราบริเวณที่ก่อไฟ จนแน่ใจว่าตลอดทั้งคืน ท่อนซุงที่ใช้ก่อไฟท่อนนี้ จะลุกโชนไหม้ไปตลอดทั้งคืน รวมถึง จะไม่สามารถติดลุกลามไปยังบริเวณอื่นได้ ไม่ว่าจะเศษใบไม้และกิ่งไม้ ซึ่งอาจจะเป็นเชื้อไฟทำให้ลุกลาม ทั้งหมดก็ช่วยกันปัดกวาดจนรอบๆรัศมีท่อนซุงจนโล่งเตียน เมื่อเรียบร้อยดีแล้ว ก็เดินส่องไฟไปตามลำห้วยแห้งที่ทอดยาวเข้าไปในดงทึบ ครั้งหนึ่งไฟฉายของพรานแปะ ที่เดินนำอยู่หัวขบวน ก็จับนิ่งอยู่ที่ดวงตาสีแดงเรื่อๆคู่หนึ่ง ที่สนิทนิ่งอยู่กับรากไม้ที่ห้อยโผล่ออกมาจากผนังห้วยทางด้านซ้ายมือ แค่เพียงอึดใจ ก็ผละไฟฉายส่องไปยังบริเวณอื่น เพราะแสงของดวงตาที่กล่าวมา เป็นแสงกระทบตาของหนูหวายตัวขนาดเขื่อง

          ตลอดเส้นทางการเดิน ที่คณะทั้งสี่ส่องไฟสำรวจ มีเห็ดขอนและเห็นหูหนู ให้เก็บอยู่พอสมควร ซึ่งยิ่งเดินลึกเข้าไปมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีเห็ดให้เก็บมากขึ้นตามไปด้วย ตรงข้ามกับสัตว์ป่า ที่จะสามารถยิงหรือล่ามาเป็นเสบียง กลับไม่พบเลย นอกจากสัตว์ตัวเล็กๆ จำพวกหนู และนกที่หากินตอนกลางคืน ซึ่งไม่คุ้มค่ากับกระสุนปืนที่จะยิงออกไป เพราะพรานแปะบอกกับคณะว่า อย่างน้อยๆก็ต้องมีเก้งขึ้นไปถึงจะยิง แต่ที่หายากพอๆกับสัตว์ก็คือ เถาวัลย์ขนาดเล็กที่จะเอาไปใช้ซ่อมแพ กลับเป็นวัสดุที่หายาก ถึงแม้จะอยู่ในป่าในดงก็ตาม แต่ละเส้นที่พบมีขนาดใหญ่เกินกำลังที่จะฉุดลาก เพราะเส้นเถาวัลย์เหล่านั้นเกาะเกี่ยวกันระโยงระยางอย่างเหนี่ยวแน่น

          “ไม่ไหว เดินกันมาได้สักพักแล้ว เจอที่ใช้ได้แค่เส้นเดียว”

        “สงสัยต้องตัดเป็นท่อนยาวๆเอามาทุบให้เป็นเส้นๆแบบคบตีผึ้ง แล้วควั้นทำเป็นเชือกแทน”พรานแปะกล่าว หลังจากโยนม้วนเส้นเถาวัลย์ เส้นขนาดเท่าหัวแม่มือที่หาได้ยาวไม่กี่วาลงพื้น จากนั้นก็พลางทรุดกายลงนั่งกับก้อนหินก้อนเตี้ยๆก้อนหนึ่ง ที่โผล่อยู่กลางลำห้วยแห้ง ส่วนคนอื่นๆก็เดินส่องไฟสำรวจไปรอบๆบริเวณ

        “อยู่ในดงแท้ๆ กลับหายากเสียนี่ ป่ามันก็ออกจะดิบขนาดนี้ ดันไม่มี ถึงมีก็ใหญ่เกินใช้ไม่ได้”

        “เวลาจะใช้ก็แบบนี้แหละพี่แปะ บทจะใช้ขึ้นมากลับหาไม่เจอ ลองไม่ได้ใช้หรือไม่ต้องการสิ”เหน๋อว่า พลางส่องไฟกราดไปตามตลิ่งริมลำห้วยฝั่งขวามือ ที่แลเห็นเส้นเถาวัลย์ห้อยระย้าลงมา ครั้งแล้วก็พบเข้ากับเส้นเถาวัลย์ขนาดนิ้วชี้เส้นหนึ่ง ซึ่งขนาดของมันกำลังน่าใช้ จึงเดินดุ่มๆไปที่เส้นเถาวัลย์ที่พบ จากนั้นก็ออกแรงกระชากลงมา นอกจากเส้นเถาวัลย์ที่ถูกกระชากลงมาแล้ว ปราฏว่า มีวัตถุอะไรบางอย่าง ลักษณะเป็นก้อนกลมๆเหมือนกะลามะพร้าว กลิ้งตกลงพื้นดัง โพละ ซึ่งขณะนั้น ไม่มีใครสังเกตุหรือสนใจกับเหน๋อ ที่กำลังง่วนอยู่กับเส้นเถาวัลย์บริเวณนั้น เพราะต่างคนก็ต่างกระจัดกระจายกันออกไป แต่แล้วเมื่อเจ้าตัวส่องไฟฉายไปที่ตำแหน่งที่ก้อนปริศนาตกลงมา ก็ร้อง จ๊าก หงายท้องล้มก้นจ้ำเบ้า

          “ผะ..ผะ..ผี”

        “ผีหลอก โว้ย ช่วยด้วย”เหน๋อร้องเสียงหลง ก่อนที่จะล้มลุกคลุกคลานทำท่าจะวิ่งเผ่นไปในป่าอย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง โชคดีที่พรานแปะนั่งขวางเส้นทางอยู่กลางลำห้วย จึงใช้เท้าแหย่สะกัด ทำให้เหน๋อที่กำลังทำท่าจะวิ่งสติแตกล้มหน้าคะมำ

        “ใจเย็นๆโว้ย”

        “ผีเผอ อะไรกัน ข้าไม่เห็นจะมีอะไรเลย”พรานแปะตวาด พลางกระโดดขึ้นไปนั่งคร่อมทับตัวเหน๋อไว้ ส่วนคนอื่นๆที่ได้ยินเสียงเอะอะ ก็พากันวิ่งกรูเข้ามายังตำแหน่งของทั้งสองคน

        “ผีจริงๆ”

      “นะ..โน่น ตรงที่ฉันดึงเถาวัลย์นั่น ผะ..ผะ..ผี..หะ..หัว..ขะ..ขาด”เหน๋อร้องบอกเสียงสั่น พลางชี้โบ้ชี้เบ้ไปยังตำแหน่งที่ตัวเองเผชิญมา ทำให้เจ้าเคิ้ง และเจ้าพุ่ม ที่วิ่งกันมาถึง พากันส่องไฟฉายไปที่ตำแหน่งที่เหน๋อชี้บอก ภาพที่ปรากฏต่อสายตาต่อมาก็คือ วัดถุทรงกลมขะมุกขะมอม สภาพเก่าคร่ำครึ ตกกองอยู่กับพื้น ตรงบริเวณที่กระทบพื้นแตกยุบลงไป เหมือนลักษณะของผลแตงโม ที่ตกลงมาจากที่สูงแล้วแตกกระจาย คงเหลือส่วนบนเท่านั้น ที่พอจะเป็นเค้าโครงหรือรูปร่างทรงกลม ที่พอจะอนุมานได้ว่ามันเป็นหัวกระโหลก ด้วยความสงสัย เจ้าพุ่มจึงเดินเข้าไปดูใกล้ๆ พอเห็นอะไรได้อย่างถนัดชัดเจน จึงร้องออกมาตื่นๆว่า สิ่งที่เห็น คือ หัวกระโหลกของมนุษย์

        “หัวกระโหลกคนจริงๆนั้นแหละน้าแปะ”

        “แถวนี้มันมีคนเคยมาด้วยหรือนี่”เจ้าพุ่มร้องเสียงตื่น

        “เอ็งดูให้ดีๆ ว่าใช่หัวคนจริงๆรึ มันอาจจะเป็นหัวของสัตว์อะไรก็ได้”

        “มันไม่น่ามีคนมาอยู่แถวนี้อย่างที่เอ็งบอกนั่นแหละ”พรานแปะร้องตอบ พูดจบก็ร้องบอกให้เจ้าเคิ้งอยู่เป็นเพื่อนเหน๋อ ซึ่งตอนนี้หน้าซีดเป็นไก่ต้ม ดวงตาเหลือกลาน กลอกกลิ้งไปมาด้วยความกลัวสุดขีด จากนั้นก็เดินดิ่งไปที่เจ้าพุ่ม เมื่อเห็นชัดๆด้วยสายตาของตัวเอง ก็แทบผงะ เพราะสิ่งที่เห็น มันคือหัวกระโหลกของมนุษย์

        “เออวะ หัวกระโหลกคนจริงๆด้วย ชักไม่เข้าท่าเสียแล้ว เรารีบกลับที่พักกันดีกว่า”

        “ไปโว้ยพวกเรา ป่านนี้พวกน้าเบ กับ น้าพร คงกลับกันมาแล้ว”พรานแปะร้องบอกคณะ ก่อนที่ตัวเองจะเดินไปที่เจ้าเหน๋อ กว่าจะพูดปลอบขวัญกันได้ ก็เล่นเอาเหนื่อย เพราะรู้ๆกันอยู่ว่า เหน๋อเป็นคนที่ตาขาวที่สุดในคณะ ยิ่งเป็นสิ่งลี้ลับ ประเภทผีสางอะไรด้วย ตัวของเขาเองยิ่งอ่อนไหวในเรื่องนี้มากกว่าคนอื่น



        เหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร ใครเป็นเจ้าของกระโหลกปริศณาชิ้นนั้น โปรดติดตามในตอนต่อไป

              ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภันมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024