ภาพที่ 1
บทที่ 17
ตอนที่ 1
ย้อนเวลาก่อนที่ดวงอาทิตย์จะลับทิวเขา ณ สายน้ำใหญ่ที่เคยไหลเอื่อย มาตอนนี้เริ่มเชี่ยวกราก เพราะทั้งสองฝั่งเริ่มเบียดแคบลง บางช่วงก็มีเกาะแก่งหินโผล่กั้นเป็นทำนบขวาง ทำให้กระแสน้ำไหลไปอย่างไม่สะดวก เกิดเป็นมวนน้ำวนมหาศาล บางจังหวะก็ไหลกระโจนผ่านเกาะแก่งนั้นไป ราวกับถังน้ำขนาดยักษ์ถูกคว่ำเทลงมาดูน่ากลัว บางช่วงก็เกิดเป็นคลื่นสูงๆต่ำๆเหมือนกับว่าอยู่ในมหาสมุทรที่กำลังตกอยู่ในมรสุมปั่นป่วน ความลึกของระดับน้ำตอนนี้ก็เกินที่ไม้ถ่อจะหยั่งถึง ทำให้แพทั้งสองลำ เกือบจะไม่สามารถควบคุมทิศทางได้ ต้องคอยใช้ไม้ถ่อค้ำยันไปตามหน้าผาหิน หรือไม่ก็ตามแก่งหินที่โผล่พ้นน้ำออกมา มีครั้งหนึ่งแพลำหน้าที่พรานเบควบคุมอยู่ เกือบจะพลิกคว่ำ เพราะความเชี่ยวและแรงของกระแสน้ำ ทำให้แพลำนั้น ลอยเหินข้ามแนวหินที่จมอยู่ใต้น้ำ กลายเป็นระลอกคลื่นขนาดใหญ่ โชคดีที่คณะบนแพลำนั้นควบคุมสถานการณ์ได้ ทำให้ผ่านพ้นวิกฤตมาได้อย่างฉิวเฉียด ทุกคนในคณะต่างเปียกปอนไปด้วยกระเซ็นน้ำที่แตกพล่านอยู่รอบตัว เหมือนกับเดินฝ่าไปตามแนวของน้ำตก ยกเว้นห่อสัมภาระต่างๆที่ห่ออยู่ภายในผืนผ้าใบเท่านั้น ความทุลักทุเลในการเดินทาง เพิ่มความยากลำบากมากขึ้น เพราะสภาพอากาศเริ่มโรยตัวขมุกขมัว เนื้องจากความทึบทะมึนของป่าที่มีแต่ไม้ใหญ่ขึ้นปกคลุม ดวงตะวันที่เคยฉายแสง ตอนนี้ก็หายลับไปหลังทิวเขา มีแต่แสงมัวๆที่พอจะจับทิศทางและสภาพแวดล้อมรอบๆตัวได้อย่างลางเลือน
“วู้ ไอ้เบ”
“หาที่พักก่อนดีกว่ามั๊ย นี่มันก็จะค่ำแล้ว ขืนไปต่อมีหวังไปไม่ถึงไหนแน่ แถวนี้น้ำมันเชี่ยว จะไม่รอดกันหนา”พรานโส่ยป้องปากตะโกนบอกแข่งกับเสียงอึกทึกของกระแสน้ำ
“โน่น เลยไปข้างหน้าอีกหน่อย แถวนี้ไม่มีที่ให้ตั้งแคมป์เลย”
“มีแต่แก่งหินใหญ่เต็มไปหมด ไม่เห็นรึไง ตลิ่งก็ชัน”พรานเบร้องบอก พรางชี้มือไปตำแหน่งที่ตัวเองหมายตาไว้เบื้องหน้า
“นี่มันเหวชัดๆ ดูดีๆหนาไอ้เบ ไม่ใช่พาไปลงน้ำตกที่ไหนนะ”
“ที่ราบแถวนี้ก็ไม่มี มีแต่ป่าหิน จะปีนตลิ่งขึ้นไปบนแนวป่าเห็นที่จะไม่ไหว นี่ก็จะค่ำแล้วด้วย”พรานพรร้องบอกอย่างเป็นกังวล ชั่วไม่กี่อึดใจต่อมา แพทั้งสองลำก็ลอยลิ่วมายังตำแหน่งเวิ้งน้ำตอนหนึ่ง ที่แลเห็นหาดทรายและหมู่โขดหินใหญ่น้อยที่ขึ้นแทรกสลับไปมา ระหว่างลำห้วยแห้งตอนหนึ่ง
“พักก่อนพวกเรา”
“เอาแถวๆนี้แหละ โน่นตรงเนินทรายนั้นก็ดี”พรานนำทางร้องบอกคณะ
“ตรงไหนก็เอาสักที่ จะมืดค่ำแล้ว”
“พรุ่งนี้ค่อยว่ากันใหม่ แถวนี้มันมีแต่แก่งหินทั้งนั้น น้ำก็เชียว ล่องแพก็ลำบาก สงสัยต้องเดินกันแล้ว”พรานโส่ยร้องออกมาอย่างหอบๆหลังจากช่วยคณะที่เหลือยกแพลำสุดท้ายข้ามโขดหินใหญ่ขึ้นมาเกยกับหาดทราย
“ดูทำเลให้ดีๆหนา”
“อย่าเอาแบบเมื่อคืนก่อน แถวๆก้อนหินใหญ่นั่นก็เข้าท่า ตรงที่อยู่ติดกับห้วย”พรานพรร้องบอก พรางชี้บอกไปยังตำแหน่งโขดหินใหญ่ก้อนหนึ่ง ที่ผุดแทรกเป็นหมู่ๆอยู่ระหว่างร่องห้วยแห้ง
“เดี๋ยวค่อยว่ากันอีกที”
“พวกเราช่วยกันเอาของขึ้นไปกองรวมกันไว้แถวๆนั้นก่อน ตอนนี้ยังดูอะไรไม่ค่อยสะดวก”พรานเบร้องบอก พูดจบก็กระโดดตุบลงมาจากก้อนหินใหญ่ที่ขึ้นไปยืนสำรวจ จากนั้นก็เดินดุ่มๆไปยังตำแหน่งที่ตัวเองหมายตาไว้ ครู่หนึ่งก็โบกมือเป็นสัญญาณให้คณะทั้งหมดเคลื่อนตามมา
“เอาตรงนี้แหละ เสียอย่างเดียว โล่งไปหน่อย”
“แต่ดีตรงที่มีแนวก้อนหินกั้น หาอะไรมาสะหรือไม่ก็ก่อกองไฟกันไว้ตรงปากทางนั่นก็น่าจะเข้าท่า”พรานแปะร้องบอกคณะ หลังจากเดินสำรวจตำแหน่งที่จะทำที่พักชั่วคราว
คณะเดินทางต่างช่วยกันทำงานอย่างเร่งรีบ เพราะบรรยากาศโดยรอบเริ่มมืดสลัวลงไปทุกขณะ หมอกจางๆที่เริ่มโรยตัวเมื่อชั่วครู่ ก็มีท่าทีว่าจะหนาทึบทุกลำดับ พรานเบเดินสำรวดรอบๆบริเวณ ตามความคุ้นชินในหน้าที่ ปล่อยให้คนที่เหลือจัดการความเรียบร้อยของที่พัก พรานแปะคุมกะเหรี่ยงหนุ่มสองคนเดินหาเก็บฟืนมาเตรียมก่อไฟโดยมีเจ้าพะเปรียววิ่งติดไปด้วย ส่วนพรานพร พรานโส่ย และเหน๋อ ช่วยกันขึงกันผ้าใบทำเป็นหลังคากันน้ำค้าง โดยนำไม้ถ่อแพมาประยุคทำเป็นคานสำหรับพาดขึงผ้าใบ ซึ่ง ไม่ต้องเสียเวลาไปตัดไม้ทำเสาค้ำ เพราะความยาวของไม้ถ่อสามารถพาดระหว่างแนวหินใหญ่ทั้งสองฝั่งได้พอดี จากนั้นก็ช่วยกันใช้เชือกเส้นเล็กๆผูกที่มุมทั้งสีด้านของผ้าใบ แล้วมัดรั้งไว้กับก้อนหินและเหง้าไม้ทำให้หลังคาผ้าใบตึง ส่วนผ้าใบอีกผืนใช้ปูพื้น สำหรับนอนและวางสัมภาระต่างๆ ที่พักชั่วคราวเสร็จเกือบจะพร้อมๆกับ คนทั้งสามที่ออกไปหาเก็บฟืนกลับมา
กองไฟกองใหญ่ถูกจุดสุมขึ้นมาถึงสามกอง กองแรกก่อไว้ยังตำแหน่งร่องห้วยแห้งถัดออกไปราวสิบวา ทางด้านขวามือ ซึ่งเป็นร่องห้วยติดกับแนวป่า มีท่อนซุงขนาดคนโอบล้มขวางอยู่พอดี พรานแปะใช้โอกาสจุดสุมไว้กับท่อนซุงที่ล้มนั้น เป็นไฟรุ่งโดยไม่ต้องกลัวที่จะต้องคอยเติมเชื้อ เพราะขนาดความใหญ่โตของมัน กองที่สองก่อเฉียงเยื่องออกไปทางด้านซ้ายมือ ถ้าหันหน้าออกไปทางแม่น้ำ กองสุดท้าย ก่อห่างออกไปจากหลังคาผ้าใบร่วมห้าวา เป็นกองไฟขนาดย้อมกว่ากองอื่นๆ เพื่อไว้ใช้สำหรับหุงหาอาหารและใช้ผิงไฟ แสงไฟจากกองฟืนทั้งสามกอง ทำให้พื้นที่บริเวณโดยรอบสว่างโพลน พรานโส่ยรื้อหม้อสนามขึ้นมาสองใบ เพื่อเตรียมหุงข้าว พรานพรอาสาเอาเนื้อเก้งและปลาย่างขึ้นมาอุ่นไฟ ส่วนพรานแปะรื้อห่อพริกป่นตักใส่ถ้วย แล้วละลายมะขามเปียกและเกลือ เพื่อทำน้ำพริกจิ้มกินกับเนื้อเก้งและปลาย่างแบบง่ายๆ
“ข้าวสารของเราจะหมดแล้วนะไอ้เบ”
“คงหุงกินกันได้อีกไม่เกินสองสามมื้อ”พรานโส่ยร้องบอกพรานนำทาง หลังจากกอบข้าวสารออกมาใส่หม้อสนามสองใบ
“หาขุดมันขุดเผือกกินกันได้ แถวนี้น่าจะมีอยู่เยอะ”
“หรือถ้าไม่มีจริงๆ ก็หาเก็บผักเก็บหญ้ากินกันไป จะไปยากอะไร พวกเราอดมาจนชินแล้ว”พรานเบบอกเสียงต่ำๆ พลางผลัดเสื้อผ้าที่สวมใส่ ขึ้นไปแขวนผึ่งผิงไฟกับราว ที่ทำจากไม้ถ่อแพ
“สัตว์ป่าก็แยะ ปลาก็ชุม เรื่องไม่มีข้าวสารจะกรอกหม้อคงหมดห่วง”
“พ่อปู่ฤาษีท่านคงจะไม่ว่าอะไรมั๊ง”พรานพรร้องบอกมาอีกคน ขณะใช้ผ้าขาวม้าขยี้เช็ดไปที่เส้นผมของตัวเอง
“ช่วงนี้ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็ไม่ต้องล่าอะไรมากิน พวกเรากินของที่มีอยู่ก่อน ถ้าไม่พอหรือขาดยังไง ก็ค่อยว่ากันอีกที พ่อปู่เขาก็ไม่ได้ห้าม ถ้ามันจำเป็นจริงๆ”
“อีกอย่าง เนื้อเก้งของเมื่อวานก็ยังเหลืออีกเยอะ คงแบ่งกันกินได้อีกสักมื้อสองมื้อ คงพอดีกับข้าวสารที่เราเหลือพอดี หรือแกว่าไงตาโส่ย”ประโยคสุดท้ายพรานนำทางหันไปร้องถามพรานโส่ย ซึ่งตอนนี้กำลังเอาหม้อสนามขึ้นแขวนกับราวไม้ข้างกองไฟ
“ก็คงจะพอแบ่งกันกินได้อยู่หร๊อก หลังจากข้าวสารของเราหมด ก็คงไม่พ้นข้าวลิง”
“แถวนี้นอกจากเนื้อก็คงมองอะไรไม่เห็นแล้ว ผักหญ้าคงจะหายากอยู่ เพราะเราอยู่ในดงทึบ ถ่อแพมาตั้งแต่เช้ายันค่ำ ผักกูดสักต้นข้ายังมองไม่เห็นเลย จะหาแวะเก็บมาตามทางก็ยังลำบาก มีแต่เห็ดขอน กับเห็ดหูหนูที่พอจะหาเก็บได้เยอะอยู่”กล่าวจบพรานโส่ยก็รื้อห่อผ้าที่บรรจุเห็ดขอนและเห็ดหูหนู ที่แกถือโอกาสเก็บติดมาด้วย ในระหว่างทาง ที่คณะแวะหยุดพัก
“ปลาชุมแบบนี้ไม่ยากหร๊อก”
“ไม่ต้องมีเบ็ดหรือแหอะไร แค่เดินส่องไฟใช้มีดฟันก็เกินกินแล้ว ปลาชุมจริงๆป่าแถวนี้ เมื่อคืนก่อน ฉันเดินส่องไฟเล่นๆยังได้กุ้งนางตัวใหญ่ๆมาเผากินตั้งหลายตัว ไม่เชื่อถามตาโส่ยดูสิ”พรานแปะร้องบอกคณะ ขณะนุ่งผ้าขาวม้าตัวเดียวผิงไฟ
“อะไรก็ไม่เท่าไอ้บ่างผีพวกนั้น”
“ไม่รู้ว่าคืนนี้มันจะบุกเราแบบเมื่อคืนก่อนหรือเปล่า สุมไฟให้สว่างๆเข้าไว้เป็นดี”พรานเบร้องบอก
“เมื่อคืนพวกเราก็สอยลงมาตั้งหลายตัว”
“ที่เจ็บไปอีกก็แยะ พวกมันคงจะไม่กล้ากับเราแล้วมั๊ง”เหน๋อกล่าวออกมาลอยๆ พูดจบก็โรยเกลือคลุกเคล้าลงไปในกองเห็ดที่พรานโส่ยเก็บมา จากนั้นก็ห่อด้วยใบไม้ขนาดใหญ่ ลักษณะเหมือนใบพลวง แล้วหนีบคีบกับกิ่งไม้สดขึ้นย่างไฟอ่อนๆ
“จะกี่ตัวก็เถอะ อย่าประมาท ไอ้นร กพวกนี้มันไม่เกรงกลัวอะไรเราหรอก ตรงกันข้ามมันคงคิดว่าเราเป็นของหวานของพวกมันมากกว่า”
“ถ้ามาอีกก็รบกับมันเหมือนเดิม จะไปยากอะไร ไอ้พว กนี่ต้องล่อให้สูญพันธุ์ให้หมด”พรานพรกล่าวออกมาอย่างเหี้ ยมเกรียม จากนั้นก็กล่าวต่อมาอีกว่า
“คืนนี้ท่าทางจะหนาวกว่าคืนที่แล้ว ป่ามันแคบลงมาทุกที ลมก็โกรกอยู่ตลอดเวลา แถมยังอยู่ใกล้น้ำอีก ขนาดนั่งผิงไฟอยู่นี่ยังหนาว พวกเอ็งสองคนเสร็จธุระแล้วก็รีบเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ เดี๋ยวจะไม่สบายเอา”ประโยคสุดท้ายพรานพรหันไปร้องบอก กะเหรี่ยงหนุ่มทั้งสอง ที่กำลังง่วนอยู่กับกองฟืนที่ช่วยกันลากมากองรวมกันไว้
“ขนาดมีลมโกรกอยู่ตลอดแบบนี้ หมอกก็ยังหนา”
“ถ้าเป็นไปได้ ข้าไม่อยากให้ใครออกไปไหนเกินแนวกองไฟที่เราก่อกันไว้”พรานเบกล่าว พูดจบก็ดีดก้นบุหรี่ยาเส้นลงไปในกองไฟ
“มีรอยสัตว์ลงแบบครั้งที่แล้วหรือเปล่า”
“แต่ที่ข้าดูๆ ก็น่าจะไม่มีนะ ตลิ่งที่เราพักอยู่นี่ มันชันเหลือเกิน ถ้าจะมีลง ก็คงจะลงมาตามแนวห้วยแห้ง”พรานพรบอก พลางมองไปที่แนวลำห้วยแห้ง ซึ่งตอนนี้สว่างโพรนไปด้วยกองไฟกองใหญ่
“ไม่มีเลยน้าพร มีแต่รอยหมูป่า แต่เก่ามากแล้ว ตลิ่งมันชันอย่างที่น้าว่านั้นแหละ สัตว์อะไรจะลงมาคงจะลำบากน่าดู”
“เดี๋ยวอีกสักพัก กินข้าวกินปลาเสร็จ ฉันว่าจะขอออกไปดูกองฟืนอีกรอบ กลัวมันจะไหม้ลามเข้าป่าไปเสียฉิบ”พรานแปะว่า
“เดี๋ยวฉันออกไปดูเป็นเพื่อนอีกคน”
“แต่เมื่อกี้ ฉันก็เดินดูรอบๆที่เราพักแล้ว ไม่มีรอยสัตว์อะไรลงเลย มีก็เก่ามาก น่าจะเป็นเดือนแล้ว ทำเลมันไม่น่ามีตัวอะไรลงมากินน้ำหรือหากินดินโป่งเลย”เหน๋อบอก ขณะพลิกย่างห่อหมกเห็ดอยู่ไปมา
“ดีแล้วที่ไม่มีด่านสัตว์ลง”
“อย่างน้อยๆก็เบาใจเรื่องสัตว์จะลงกวน ไม่มีเนื้อ เสือก็ไม่ลง คอยระวังไอ้บ่างผีพวกนั้นก็พอ”พรานโส่ยกล่าว พรางยกซุนฟืนเข้าไปใต้หม้อสนามทั้งสองใบ ซึ่งตอนนี้น้ำในหม้อกำลังเดือดพล่าน ไหลล้นหยดลงใส่กองไฟดัง ฉี่ฉ่า
ตลอดเวลาที่คณะทั้งหมดนั่งปรึกษาหารือกับเส้นทางที่ผ่านมา ทุกคนล้วนแล้วแต่เห็นตรงกันว่า สภาพเส้นทางที่ใช้สัญจรในการถ่อแพ เริ่มลำบากและมองเห็นความไม่ปลอดภัย เพราะกระแสน้ำที่เชี่ยวกราก รวมไปจนถึงเกาะแก่งชะง่อนหินที่โผล่เหลื่อมล้ำออกมา อาจก่อเกิดอันตราย พรานนำทางจึงสรุปได้ว่า ให้เดินทางด้วยวิธีถ่อแพให้ถึงที่สุด จนกว่าจะไม่สามารถไปต่อกันได้ เมื่อถึงเวลานั้น ค่อยเปลี่ยนมาเป็นการเดินเท้าแทน เพราะให้เหตุผลว่า การถ่อแพไปตามลำน้ำ สิ้นเปลืองเวลาน้อยกว่าการเดินเท้า ถึงแม้จะมีอุปสรรคอยู่บ้างก็ตาม แต่ถ้าทุกคนไม่ประมาทก็คงจะสามารถผ่านพ้นไปได้
“เดี๋ยวช่วยกันก่อไฟอีกสักกอง แถวๆแพ จะได้มองเห็นกัน”
“กินข้าวกินปลาเสร็จแล้ว พวกเราไปช่วยกันตรวจแพ ล่องแพกันมาสองวันแล้ว ยังไม่ได้ดูเลย ว่ามีลูกบวบหลวมคลอนบ้างหรือเปล่า ถ้ามีก็จะได้ช่วยกันซ่อม”พรานเบกล่าว
“แพที่ข้าถ่อมามีหลวมอยู่หลายจุด เถาวัลย์ที่ใช้ผูกลูกบวบก็เริ่มหลวม บางที่ก็ขาด ข้าว่าจะบอกอยู่เหมือนกัน ดีแล้วที่เอ็งเตือน ฝืนถ่อไปมีหวังแพแตกเอาสักวัน กินข้าวกันแล้วค่อยว่ากัน กองทับต้องเดินด้วยท้อง”พรานโส่ยร้องตอบ กล่าวจบก็ยกหม้อสนามทั้งสองใบออกมาวางเรียงไว้ที่พื้นดินริมผืนผ้าใบ
“เถาวัลย์แถวโน่นก็พอมี”
“น่าจะใช้ได้ เดี๋ยวเอ็งสองคนไปช่วยข้าอีกแรง”พรานแปะกล่าว พลางบุ้ยปากไปที่ลำห้วยแห้ง
“ป่าแถวนี้ที่เราอยู่ ยังดูดีกว่าป่าที่เรานอนมาเมื่อคืนก่อน”
“ถึงมันจะแคบไปหน่อย ฉันว่ามันก็ยังดีกว่าที่เรานอนเมื่อคืน รอยสัตว์อะไรก็แทบจะไม่มีเลย”เหน๋อบอก พลางใช้มีดผ่าแหวะห่อเห็ดที่ย่างไฟจนสุกส่งกลิ่นหอม จากนั้นก็ตักแบ่งใส่กระทงใบไม้เล็กๆที่พรานโส่ยทำไว้แบบง่ายๆจนพูน เครื่องเซ่นสำหรับค่ำคืนนี้มีเมนูบ้านป่าแบบง่ายๆ นับตั้งแต่ เนื้อเก้ง และ ปลาย่าง ที่พรานโส่ยฉีกแบ่งไว้บนใบไม้ พร้อมกับข้าวสวยร้อนๆและหมกเห็ด อย่างละกระทง พรานโส่ยนำเครื่องเซ่นทั้งหมดวางเรียงไว้บนลานหินเรียบก้อนหนึ่ง ที่อยู่ใต้ต้นไคร้น้ำเตี้ยๆ และสิ่งที่ขาดไม่ได้ก็คือเหล้าป่าอีกจอกเต็มๆ หลังจากปักธูปเทียนกราบไหว้ และท่องบทสวดอะไรของแกอยู่งึมงำ พรานผู้ชำนาณในเรื่องไสยเวทย์ก็ก้มลงกราบ ถือว่าเป็นอันเสร็จพิธี
เหตุการณืต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร คณะของพรานนำทางจะพบเจออะไรอีกหรือไม่ ในค่ำคืนนี้ โปรดติดตามในตอนต่อไป
ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภันมา ณ ที่นี้ด้วยครับ