ภาพที่ 1
บทที่ 15
ตอนที่ 3
“ผม..ผมขอโทษด้วยนะครับ ที่ถามคุณไปแบบนั้น ผมไม่ได้ตั้งใจ”
“งั้นก็เป็นบุญของผมแล้วครับ อย่างน้อยๆเราก็ได้มาพบกัน คุณเองก็ไม่เหงาอีกต่อไป ถึงแม้เราจะอยู่กันคนละภูมิภพ ผมก็ยินดี”ไม่พูดเปล่า สิงห์คว้ามือของหล่อนขึ้นมาแนบแก้มของเขา
“เราขอขอบใจท่านมาก ที่ท่านไม่รังเกียจเรา”
“ไม่หรอกครับ ผมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ยินดีที่ได้พบและรู้จักกับคุณ”กล่าวจบ ชายหนุ่มค่อยๆประคองมือของหล่อนไว้ตามเดิม
“เรื่องนี้ผมจะไม่ของถามคุณให้สะเทือนใจอีกแล้วนะครับ ผมต้องขอโทษ คุณพลับพลึงอีกครั้งหนึ่ง เรื่องต่อไปที่ผมจะถาม มันอาจจะไม่มีสาระอะไรมาก เพราะผมก็ไม่เข้าใจจริงๆ เรื่องนี้ก็คือ เพราะอะไรเราถึงได้พบกันเฉพาะเวลาค่ำคืนแบบนี้หละครับ ทั้งๆที่ผมก็สัมผัส แตะต้องคุณได้แบบนี้ แล้วมันต่างอะไรกับเวลากลางวัน หรือช่วงเช้า ผมตื่นมาครั้งใด ผมก็ไม่พบคุณแล้ว”
“ชาญสมาธิ และดวงจิตของเรา สามารถกำหนดให้พบท่านได้เพียงช่วงราตรีกาลเท่านั้น เว้นแต่...”
“เว้นแต่ อะไรหรือครับ?”ชายหนุ่มร้องเร่ง
“ชาญสมาธิของเรา จะเสื่อมถอยลง เราก็จัดปรากฏกายให้ท่านได้เห็น ในช่วงอรุณรุ่ง แต่ดวงจิตของเราก็จัดดับสูญสลายไป ไม่เกินสามราตรีกาล”
“โอ้ว...น่ากลัวแท้ งั้นอย่าให้เกิดเลยครับ ผมยังอยากพบคุณอีกนาน”ชายหนุ่มอุทาน
“แต่ก็แปลกครับ ทำไม เวลานี้คุณก็ดูเหมือนคนปกติทั่วไป เนื้อหนังมังสา ผมก็สามารถแตะต้องคุณได้ แบบเดียวกับคุณก็สามารถจับต้องผมได้เหมือนกัน ไม่เหมือนที่ผมเคยดูให้หนังเลย ที่ว่าเป็นภาพวิญญาณ คนเดินทะลุไปได้ เหมือนธาตุอากาศประมาณนั้น แต่กับคุณ ดูไปก็เหมือนผมทุกอย่าง”ชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยความสังสัย
“จิตสัมผัสในกายหยาบของท่าน แล จิตสัมผัสในกายหยาบของเรา ล้วนแล้วแต่เป็นจิตอันผูกพันต่อกัน บุคคลอื่นอาจมิอาจจัดสามารถสัมผัสได้เยี่ยงท่านก็เป็นได้”
“ที่เขาเรียกว่า บุพเพสันนิวาส หรือเปล่าครับ แต่ของผมมันต่างจากคนธรรมดาทั่วๆไป”
“ต่างกันเยี่ยงไรรือ”หล่อนถาม
“บุพเพสันนิวาส ของคนปกติทั่วๆไป ก็คือเจอคนกับคนเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นคนในชาติเดียวกัน ผมหมายถึง คนประเทศเดียวกัน อาจจะต่างพื้นที่ ต่างอำเภอ หรือแม้แต่ คนละต่างเชื้อชาติ ต่างภาษา ถ้า บุพเพสันนิวาส มันชักนำมาให้พบกัน อยู่ห่างไกลกันแค่ไหนก็ได้เจอ แต่สำหรับคุณกับผมนี้สิ เราอยู่กันคนละภูมิภพกันเลย จะว่าไปมันก็ไร้พรมแดนจริงๆ ไอ้ บุพเพสันนิวาส อะไรนี่”ชายหนุ่มกล่าว พลางเกาหัวแกรกๆ
“มันอาจเป็นเยี่ยงนั้นก็เป็นได้ ในเมื่อจิตของเราทั้งคู่ สามารถสื่อสารกันได้ ก็มิแปลกอันใดดอก ที่ท่าน และ เรา จะได้พบกันเยี่ยงนี้ ถึงแม้นจักเป็นช่วงเพลา ของราตตรีกาลสั้นๆ เราก็สุขใจ และยินดียิ่งแล้ว”
“มันก็ดีสำหรับคุณ แต่เริ่มจะเป็นทุกข์สำหรับผมนี่สิครับ”
“บอกตรงๆแบบไม่อาย เพราะไม่รู้จะอายไปทำไม และไม่รู้ว่าวันข้างหน้า หรือวันพรุ่งนี้ ผมจะมีโอกาสได้บอกคุณหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“ท่านมีความอันใดจักบอกเรา ก็โปรดแจ้งต่อเรามาเถิด”หญิงสาวกล่าว ชายหนุ่มค่อยๆประคองมือของหล่อนขึ้นมากุมอย่างแผ่วเบาอีกครั้ง
“มันอาจจะดูบ้าบอไปหน่อยนะครับ แต่ผมก็ตัดสินใจแล้ว ถึงแม้มันจะดูแปลก และพิสดารไปหน่อยก็ตาม ผมขอสารภาพกับคุณพลับพลึงเดียวนี้เลยก็แล้วกันนะครับ”
“อันใดฤา”
“ผมรักคุณครับ ตั้งแต่วินาทีแรกที่ผมได้พบคุณ ความรู้สึกของผมก็บอกกับตัวผมเองโดยทันที ว่าผมชอบและรักคุณเข้าแล้ว ไม่รู้ว่าผมรู้สึกไปเองหรือเปล่า ผมรู้สึกเหมือนว่าผมได้รู้จักกับคุณมานานแสนนาน ผมก็บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกัน ว่าเพราะอะไรผมถึงคิดไปแบบนี้ ทั้งๆที่รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่ผมก็ไม่อาจจะห้ามหัวใจของผมได้ครับ ทุกครั้งที่ผมได้พบคุณ ผมมีความสุขมาก มันมากจนไม่อยากจะให้คุณห่างไปไหน แต่ผมก็ต้องเศร้าและเสียใจทุกครั้ง ที่ตื่นเช้ามาแล้วไม่พบคุณ”ชายหนุ่มกล่าวออกมาอย่างจริงใจ
“ผมถึงสับสนตัวผมเองอยู่นี่ไงครับ ว่าสรุปมันเป็นแค่ความฝันใช่มั๊ย ที่ผมและคุณได้พบกันเช่นนี้ หรือถ้ามันเป็นเพียงแค่ความฝันจริงๆ ผมก็อยากจะหลับแบบนี้ไปตลอดกาล ถ้าเป็นไปได้”
“มิใช่ความนิมิตร อันใดดอก ดวงจิตของท่าน และดวงจิตของเรา นั้นต่างมีความผูกพัน ซึ่งกันและกัน อย่างที่เราได้เคยบอกท่านไปแล้ว เราดีใจ ที่ท่านมีจิตต่อเราเยี่ยงนี้ แต่...”หญิงสาวเว้นระยะ พลางก้มหน้าหลบสายตา
“คุณไม่ได้มีความรู้สึก แบบผมที่มีความรู้สึกกับคุณ ใช่มั๊ยครับ ถ้าเป็นแบบนี้ผมก็ไม่เสียใจหรอกครับ ผมทำใจและเข้าใจคุณดี”
“เรามิได้หมายความว่าเยี่ยงนั้น เรากับท่าน อยู่ห่างกันคนละภูมิภพ มันผิดกฏธรรมชาติที่ถูกบัญญัติไว้แล้ว บนโลกนี้ ถึงแม้นท่านจักรัก หรือมีใจ ต่อเรามากเพียงใด หรือ เราจักรักแล มีใจให้ท่านมากเยี่ยงไรก็ตาม ความรักของเราทั้งสองก็มิอาจสามารถบรรจบพบกันได้ นอกจากจัดเป็นเส้นขนานที่มิมีวันบรรจบกัน เยี่ยงนี้”
“ชั่งกฎเกณฑ์ อะไรนั้นไปเถอะครับ ผมแค่อยากให้คุณรู้ ว่าผมรักคุณ แค่นั้น เพียงเท่านี้ผมก็สุขใจแล้วครับ แค่รู้ว่าคุณก็ไม่ได้รังเกียจอะไรผม ที่เป็นแค่มนุษย์ตาดำๆ ไม่ได้มีฤทธิ์เดชอะไร ผมไม่สนและไม่แคร์อะไรทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะอยู่ภูมิไหนก็ตาม ในเมื่อ บุพเพสันนิวาส หรือไม่ก็ พรหมลิขิต กำหนดให้เรามาพบกันแล้ว ผมก็จะรักคุณไม่มีวัน
เปลี่ยนแปลง”กล่าวจบชายหนุ่มก็ยกมือของหล่อนที่กุมอยู่ ขึ้นมาจูบอย่างแผ่วเบา หญิงสาวมีอาการสั่นน้อยๆ ก่อนที่จะซบหน้าลงที่อกของชายหนุ่ม หยาดน้ำตาที่เอ่ออยู่ก่อนแล้ว พลันรินไหลออกมาเป็นทาง อาบทั้งสองแก้มของหล่อน
“เราก็มิต่างอันใด จากท่านดอก ที่ทุกข์ทรมานในความรักเยี่ยงนี้”หญิงสาวกล่าวสะอื้น ชายหนุ่มโอบประคอง กอดหล่อนไว้ พลางปลุกปลอบขึ้นมาว่า
“อย่าร้องไห้เสียใจไปเลยครับ ความรักมันก็เป็นแบบนี้แหละ มีทั้งสุข มีทั้งทุกข์ ประปนกันไป ถึงแม้เราจะอยู่ร่วมกันแบบคนปกติสุข ที่เขาทำกันไม่ได้ ได้เพียงเท่านี้ ผมก็พอใจแล้ว และผมก็สัญญาว่า ผมจะรักคุณตลอดไป ตลอดจนลมหายใจสุดท้ายของผม”กล่าวจบ ชายหนุ่มก็จับปลายคางของหล่อนเชิดขึ้นช้าๆ แล้วใช้หัวแม่มือทั้งสองข้าง ปาดเช็ดน้ำตาของหล่อนที่ไหลอาบแก้มอยู่
ตาประสานตากันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันยาวนานกว่าปกติ ราวกับถูกมนต์สะกด หรือ อะไรมาบันดาล ดลจิต ดลใจ ให้ชายหนุ่มเกิดความกล้า บ้าระห่ำ ก็ไม่อาจทราบได้ ชายหนุ่มค่อยๆก้มใบหน้าลงไปชิดหล่อน ก่อนที่ ริมฝีปากของเขาจะค่อยๆ ประกบจูบบนริมฝีปากของหล่อนแบบแนบสนิท ร่างของหล่อน ถูกประคองให้เอนราบไปกับพื้นช้าๆ ในขณะที่หล่อนหลับตาพริ้ม ไม่ได้แสดงอาการขัดขืนแต่อย่างใด นอกจากอาการสั่นเทิ้ม ของหล่อนเท่านั้น แก้มทั้งสองข้างของหล่อน ถูกระดมจูบ และหอมอย่างหนักหน่วง แต่ก็ดูแผ่วเบาและอ่อนโยน ไล่ไปจนถึงซอกหู และซอกคอ ที่ถูกซุกไซ้ไปมาทั้งสองฝั่ง มันยิ่งทำให้ชายหนุ่ม สัมผัสได้ถึงกลิ่นกายของหล่อนได้อย่างลึกซึ้ง มันหอมรัญจวนเกินกว่าจะห้ามใจไหว เหมือนเป็นตัวเร่งเพิ่มเชื้อไฟให้โหมกระพือขึ้นไปอีก จนหล่อนสะท้านไปทั้งร่าง
กองไฟที่ลุกโชนอยู่ภายนอก ก็ยังร้อนแรงไม่เท่า ไฟรักไฟปรารถนา ที่กำลังก่อตัวอยู่ภายในคูหาน้อยๆแห่งนั้น ซึ่งตอนนี้ก็เปรียบเสมือนคูหาสวรรค์ของคนทั้งคู่ มันร้อนระอุไปด้วยเปลวไฟเสน่ห์หา ของบุคคลทั้งสอง ที่ตอนนี้แทบจะกลืนหาย ละลาย หล่อหลอมเข้าไปในร่างเดียวกัน ผ้าสะไบผืนบาง ที่ไม่อาจปกปิดสองประทุมถรรของหล่อนได้ เพราะมันเป็นสิ่งที่คอยปิดบังอำพรางไว้เพียงแค่หมิ่นเหม่ แค่ใช้มือปัดออกเบาๆ ก็เปิดเผยให้เห็นประทุมถรรทั้งสอง ได้อย่างง่ายดาย มันตระหง่านขาวโพลนอยู่ภายใต้แสงไฟสลัว เห็นแม้กระทั้ง ตุ่มเม็ดสีทับทิมอ่อน ที่ประดับอยู่บนส่วนของปลายยอดของถรรนั้น ทั้งสองถรรถูกเคล้าคลึง อย่าทะนุถนอม มันเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่สร้างสรรค์ ให้บุรุษนั้นคู่กับสตรีเพศ แต่ระหว่างเขาและหล่อนสิ มันผิดธรรมชาติ ฝืนกฎเกณฑ์ และผิดเพี้ยนเสียไปหมด มนุษย์หรือ ที่จะมาสมสู่กับหญิงที่เปรียบเสมือน เทพธิดานางไม้ แต่ความรู้สึกของเขามันบอกกับตัวเองว่า หล่อนไม่ใช่ผีสางนางไม้ที่ไหน ทุกสัดส่วน เนื้อตัวที่ถูกสัมผัส รวมไปถึงกลิ่นกายที่หอมรัญจวนใจ มันแตะต้อง และสัมผัสได้ ริมฝีปากที่ อ่อนนุ่ม อบอุ่น ไม่แข็งกระด้าง เหมือนจูบกับก้อนหินก้อนดินที่ไหน เนื้อตัว หรือผิวกายของหล่อน ก็นุ่มเนียน ไม่ผิดกับผิวกายของมนุษย์ปุถุชนธรรมดาทั่วๆไป หรือนี่จะเป็นแค่ความฝันลมๆแล้งๆที่เกิดจากจิตสำนึก ที่เขาได้มโนสร้างสรรค์ขึ้นมาเอง ให้กลับกลายเป็นภาพหลอน ในห้วงจินตนาการ แต่ให้ตายเถอะ ต่อให้ฟ้าเป็นพยาน ก็หล่อนคนนั้นได้มาอยู่แนบชิดกายเขาอยู่นี่ มันไม่ใช่ภาพหลอนหรือช่วงความฝันอะไรทั้งนั้น
ในบัดดลนั้นเอง ขณะที่ชายหนุ่มกำลังโรมรัน และเคลิบเคลิ้มในไฟพิศวาส ที่ตัวเขาเอง ก็ไม่อาจจะควบคุม และยับยั้ง มันเป็นพลานุภาพ แห่งกามารมณ์ ที่เริ่มก่อตัวเพิ่มมากขึ้น เป็นทบทวีคูณ มันร้อนแรงเกินกว่าจะหักห้ามใจ แต่ในเสี้ยวของอารมณ์และความหน้ามืดตามัวนั้นเอง ยังเปิดโอกาสให้ โสตประสาท ที่ยังพอมีหลงเหลืออยู่เพียงน้อยนิด ก่อนที่มันจะเลยเถิดไปมากกว่านี้ สติได้ยั้งคิดในคำพูดของหล่อน ที่เคยกล่าวกับเขาว่า
“ชาญสมาธิของเรา จะเสื่อมถอยลง เราก็จัดปรากฏกายให้ท่านได้เห็น ในช่วงอรุณรุ่ง แต่ดวงจิตของเราก็จัดดับสูญสลายไป ไม่เกินสามราตรีกาล”
ชาญสมาธิของหล่อน หรืออาจจะเป็นจิตวิญญาณของหล่อน ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิด ถ้าสิ่งที่เขากระทำกับหล่อนอยู่ในขณะนี้ มันจะส่งผลกระทบโดยตรง หรือมีส่วนทำให้ศีลหรือตบะ ที่หล่อนเพียนปฏิบัติมาเกิดราคี หม่นหมอง มันจะเกิดความเป็นไปกับหล่อนหรือไม่ ถ้าเกิดเหตุการณ์ตามที่หล่อนเคยว่าไว้ เขาจะแก้ไขได้อย่างไร เพียงแค่หล่อนเคยบอกว่า ชีวิตของหล่อน หรือดวงปราณ จะคงเหลือเพียงแค่สามราตรีกาล จิตวิญญาณของหล่อนก็จะสูญสลายไป แค่คิดเพียงเท่านี้ หัวใจของเขาก็แทบแตกสลายเป็นเสี่ยงๆ โอ้ว นี่เรากำลังทำอะไรลงไป คิดเพียงเท่านี้ ชายหนุ่มถึงกับหยุดชะงัก
“ไม่...ผมทำแบบนี้ไม่ได้”
“ผมไม่อยากเสียคุณไป เพียงเพื่อสนองอารมณ์ของผมแบบนี้” ชายหนุ่มกล่าวออกมา พลางผละออกมานั่งใช้มือทั้งสองข้างกุมขมับ
“ผม..ผม...”
“ผม ไม่ควรกระทำกับคุณแบบนี้เลย นี่ผมทำอะไรลงไป”ชายหนุ่มพึมพัมบอกกับตัวเอง
“ท่านมิได้ทำการใดผิดไปดอก”
“เพื่อคนที่เรารักแลปรารถนา แม้นจิตวิญญาณของเรา เราก็จัดอุทิศให้ได้ เพียงเพื่อคนที่เรารักแลปรารถนามีความสุข มันก็เพียงพอแล้วสำหรับเรา”หญิงสาวที่มีนามว่าพลับพลึงกล่าว พูดจบหล่อนก็โผเข้ากอดชายหนุ่มจากทางด้านหลัง ก่อนที่ร่างของหล่อนจะสั่นเทิ้ม พร้อมๆกับอาการสะอื้นไห้
“ถ้าเป็นแบบที่คุณว่า ผมก็เป็นผู้ชายที่เห็นแก่ตัว และเลวทรามที่สุด เพียงเพื่อสนองอารมณ์และตัณหา ของตัวเอง โดยไม่คำนึงถึงว่า ใครจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะคนที่ตัวเองรักแบบนี้”
“การที่ผมกระทำอะไรลงไป แล้วจะทำให้คุณ มีอันเป็นไปแล้วละก็ ผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลยจริงๆครับ ผมมีความสุขทุกครั้งที่ผมได้พบคุณ ถึงแม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆก็ตาม แต่ผมจะอยู่ต่อไปไม่ได้ หากผมไม่มีโอกาสได้พบกับคุณอีก เรื่องชีวิตของผมในตอนนี้ เอาจริงๆผมก็ไม่เสียดาย และอาทรอะไรแล้ว ตั้งแต่ผมรู้จักและได้พบคุณ”ชายหนุ่มกล่าว พลางพลิกกายเข้าไปหาหล่อนอีกครั้ง ก่อนที่จะกล่าวต่อมาอีกว่า
“ใช่ว่าผม จะไม่ต้องการคุณนะครับ คุณพลับพลึง แต่ถ้าความต้องการของผม มันทำให้ผมเสียคุณไปตลอดกาล ผมไม่ขอแลกกับมันแน่นอนครับ ขอให้ผมได้รัก ได้พบคุณไปแบบนี้ตลอดกาลยังจะดีกว่า”
“ทีนี้ คุณเชื่อผมแล้วหรือยังครับคุณพลับพลึง ว่าผมรักคุณจริงๆ ผมรักด้วยใจบริสุทธิ์ ถ้าคุณไม่เชื่อในความรักที่ผมมีให้ต่อคุณ จะให้ผมพิสูจน์ให้คุณเห็นอย่างไรก็ได้ครับ ผมพร้อมทั้งนั้น”ชายหนุ่มกล่าวออกมาหนักแน่น กล่าวจบก็ก้มลงจูบหน้าผากของหล่อนหนึ่งครั้ง หญิงสาวพยักหน้าให้เขาครั้งหนึ่ง
“เราเชื่อ เชื่อในสิ่งที่ท่านได้กล่าวบอกเราทุกประการ แต่ความรักของเรานั้น มันมิอาจเป็นไปตามกฎเกณฑ์ของธรรมชาติได้ มันเป็นความรักที่แสนจะปวดร้าว ทุกข์ทรมานใจยิ่งนัก”
“ที่เรายอมพลีจิตวิญญาณให้กับท่านนั้น ก็เพราะความรักที่เราก็มีต่อท่านเช่นกัน ถึงจิตวิญญาณของเราจะดับสลายไป เราก็พร้อม ถ้าหากสิ่งนั้นจักทำให้ ท่านมีความสุข “
“ไม่หรอกครับ ถ้าคุณทำแบบนั้น ผมก็ไม่ใช่คน”
“เพียงเท่านี้ เพียงเท่านี้จริงๆครับ ผมก็สุขใจ และพอใจแล้ว มันไม่จำเป็นแล้วสำหรับผมในตอนนี้ ขอเพียงแค่ได้พบคุณ ได้อยู่กับคุณไปแบบนี้ มันไม่คุ้มหรอกครับ ถ้าจะแลกกันด้วยชีวิตและจิตวิญญาณของคุณ เพียงเพื่อความสุขแค่เวลาสั้นๆของผม ผมไม่ขอแลกกับมันหรอกครับ”
“แล้วก็ช่างกฎเกณฑ์บ้าบอ อะไรไปเถอะครับ ผมไม่แคร์หรอก ถ้าผมจะมารักกับผีหรือนางไม้นางตะเคียน ความรักมันไม่มีพรมแดนหรอกครับ ผมเชื่อ เชื่อในความรู้สึกของผมลึกๆว่า สักวันหนึ่ง เราจะได้พบกันและได้อยู่ร่วมกันตลอดไป ยิ้มสิครับ คนดีของผม คุณยิ้มให้กับความรักของเรา เวลานี้อย่าไปคิดกังวลอะไรทั้งนั้น พรุ่งนี้มันจะเป็นอย่างไรช่างหัวมัน ขอให้วันนี้ และวินาทีนี้ของเรา มีแต่ความสุขแบบนี้ตลอดไปเถอะครับ”ชายหนุ่มกล่าวส่งยิ้มออกมาอ่อนโยนให้กับหล่อน หล่อนยิ้มตอบ ถึงแม้จะเป็นรอยยิ้มที่เปรอะไปด้วยน้ำตา มันก็เป็นรอยยิ้มที่แฝงความสดใส ทำให้คนเห็นพลอยใจชื้นขึ้นมาบ้าง
แสงไฟในกองฟืนในตอนนี้เริ่มโรยราอ่อนแสงลง เพราะเริ่มหมดเชื้อไฟ อากาศที่เคยอบอุ่นเพราะรับอิทธิพลจากไอความร้อนของกองฟืน มาบัดนี้ ก็เริ่มเย็นยะเยือกลงทุกขณะ เหมือนกับอารมณ์แห่งไฟราคะ ที่เคยโหมกระพือร้อนแรงกัดกินอยู่ภายในใจของชายหนุ่ม มาในตอนนี้มันมอดดับลงแล้วอย่างสนิท ความรัก มันไม่จำเป็นแล้วสำหรับเขา ถ้าหากจะต้องแลกมาด้วยจิตวิญญาณของหล่อนคนนั้น มันไม่ยุติธรรมสำหรับหล่อนเลย ถ้าหากเพียงเพื่อความสุขเพียง แค่ชั่วครั้งชั่วคราวของเขาเอง มันไม่จำเป็นที่จะต้องมาแลกกับชีวิต และไม่จำเป็นที่หล่อน จะต้องมาสังเวยความรักของหล่อนที่มีให้เขา เพียงเพื่อสนองกับราคะ ความเป็นคนจะหมดสิ้นไป หากสิ่งที่เขาคิดกระทำอยู่นั้นมันส่งผลให้หล่อน ต้องจากเขาไปตลอดกาล ชีวิตเขาก็ไร้ซึ่งความหมายหากไม่มีหล่อน
หญิงสาวและชายหนุ่มในตอนนี้รู้ซึ้งแล้ว ซึ่งจิตใจต่อกัน ความรักของเขาทั้งคู่ ถึงแม้จะอยู่คนละภพ คนละชาติ แต่คนทั้งสองก็ไม่แคร์อะไรแล้ว คงปล่อยให้มันดำเนินไปตามครรลอง ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับคนทั้งคู่ก็ช่างมัน คงปล่อยมันไปตามธรรมชาติ ตามลิขิตของสวรรค์ จะไม่ฝืน ไม่อาทร ไม่เรียกร้องใดๆ อะไรจะเกิดมันก็ต้องเกิด ปล่อยตัวปล่อยใจ ให้เหมือนสายน้ำที่ไหลไปตามกาลเวลา ทุกคนต่างทำใจและยอมรับกับมันแล้ว เมื่อถึงเวลาก็ต้องจาก แต่เมื่อได้เวลาก็ต้องพบ มีพบและมีจาก ไปตามกาลเวลาที่กำหนด คนทั้งคู่ต่างยิ้มให้กับโชคชะตา ถึงแม้จะมีความรู้สึกปวดร้าวหัวใจด้วยกันทั้งคู่ แต่ทั้งสองก็ไม่แสดงให้คนตรงข้ามได้เห็นหรือได้สัมผัสถึงอาการ และความรู้สึกของกันและกัน สำหรับหญิงสาวนั้นย่อมเก็บซ่อนอารมณ์และความรู้สึกได้ดีกว่าชายหนุ่ม เพราะหล่อนไม่ใช่คนปกติทั่วๆไป หล่อนหยั่งรู้ถึงความรู้สึกนึกคิดของคนฝั่งตรงข้ามได้เป็นอย่างดี ผิดกับชายหนุ่ม ที่ไม่สามารถอ่านใจหรือทายใจหล่อนคนนั้นได้เลย ถ้าหากจะวัดความปวดร้าวทางด้านหัวใจแล้ว คนที่น่าสงสารก็คงหนีไม่พ้นหล่อนแน่นอน
“นี่ก็คงจวนได้เวลาที่คุณจะต้องจากผมไปอีกแล้วสินะครับ”ชายหนุ่มกล่าว ขณะที่ตัวเองนอนหนุนตักของหญิงสาวต่างหมอน พลางใช้มือสัมผัส เกลี่ยเรี่ยไปบนแก้มของหญิงสาว
“ใช่แล้ว จวนจักใกล้เพลา ที่เราจัดต้องจากท่านไปแล้ว”หญิงสาวกล่าว พลางใช้มือลูบไรผมของชายหนุ่มอย่างแผ่วเบา
“เวลามันช่างไวเสียจริงๆ ผมยังไม่อยากให้คุณจากผมไปไหนเลย แต่ผมก็เข้าใจ และทำใจที่จะต้องจากคุณไปแบบนี้ ถ้านี่เป็นเพียงแค่ความฝันของผม ผมก็อยากจะให้มันเป็นแบบนี้ตลอดไป ผมไม่อยากหลับตา แล้วตื่นขึ้นมา แล้วไม่พบคุณอีก”
“เราสัญญากันแล้วนะครับ ว่าคุณจะมาหาผมในทุกๆคืน อย่าผิดสัญญานะครับ คุณพลับพลึง”สิงห์กล่าวออกมาแผ่วเบา พลางยกมือของหล่อนขึ้นมาจูบ แล้วนำมือข้างนั้น ขึ้นมาไว้แนบชิดแก้มของเขา
“เราให้สัญญา ในทุกราตรีกาล เราจัดได้พบกัน ตราบชั่วชีวิตแลจิตวิญญาณของเรา”พูดจบหล่อนก็ก้มลงจูบ ไปที่ยังตำแหน่งหน้าผากของชายหนุ่ม
“ราตรีจงมีสวัสดิ์แด่ท่าน”
“ครับ..คุณพลับพลึง”
“ผมจะรอ สุดที่รักของผม”กล่าวจบ ชายหนุ่มที่มีความคิดอุตริไปหลงรักนางไม้นางตะเคียน ก็ค่อยๆปิดเปลือกตาลง อย่างช้าๆ ภายใต้กลิ่นหอมรัญจวนที่เขาคุ้นเคย ผสมกับเสียงหริ่งหรีด เรไร ที่เหมือนจะคอยกล่อม ท่วงทำนองบรรเลงเพลงไพร ทุกกลิ่นอายที่เขาสัมผัสได้ มันแทรกลึกลงไปในทุกอณู ทุกสัดส่วนและจิตใจ จะเรียกได้ว่าทุกเสี้ยวจิตวิญญาณของหล่อนเลยทีเดียว นี่แหละหนา ความรักไร้พรมแดน ความรักมันมากมายเกินขอบเขตของห้วงจักรวาล ไม่เลือกเพศ ไม่เลือกวัย และไม่เลือกสถานะ แม้แต่จิตวิญญาณ
เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร เหตุการณ์ของคนทั้งคู่ต่อจากนี้จะดำเนินไปแบบไหน โปรดติดตามในตอนต่อไป
ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภันมา ณ ที่นี้ด้วยครับ