ภาพที่ 1
บทที่ 14
ตอนที่ 3
ตลอดระยะเวลาที่ล่วงเลยผ่านไป ความเงียบสงบก็เริ่มกลับมาเช่นเดิม เสียงรองไน ยังคงกรีดปีก กล่อมไพร ผสานกับเสียงไหลรินของสายน้ำ นานๆครั้งก็มีเสียงสัตว์ป่ากู่ร้องออกมาให้ได้ยินสักครั้งหนึ่ง เสียงมันดังออกมาจากดงทึบที่ใดสักแห่งไกลออกไป ยิ่งดึกสงัด อากาศก็เริ่มเย็นยะเยือก น้ำค้างก็ลงจนเป็นละอองฉ่ำประพรมไปทั่วทั้งบริเวณ มีเพียงกองไฟกองใหญ่เท่านั้น ที่พอจะบรรเทาความหนาวเหน็บนี้ไปได้ พรานนำทางนอนเอนหลังพิงท่อนซุง ในมือกอดปืนไว้แนบอก ส่วนพรานพรนอนขดตะแคงอยู่ข้างๆ มีปืนลูกซองวางแนบชิดตัวอยู่ไม่ห่างมือ พรานแปะและพรานโส่ยนอนคุดคู้เอาผ้าขาวม้าห่มอยู่ข้างกองไฟ มีแต่เจ้าเคิ้ง เจ้าพุ่ม และเหน๋อ ที่ผุดลุกผุดนั่งคอยเติมฟืนให้กับกองไฟรอบๆบริเวณ
“ไม่รู้ว่าพี่สิงห์จะเป็นยังไงบ้างตอนนี้”
“ขนาดเรายังจะแย่เอา”เจ้าพุ่มร้องบอกออกมาแผ่วเบา พลางซุนฟืนเข้าไปในกองไฟ
“พี่ก็ห่วงมัน”
“ป่าแถวนี้ไม่เหมือนป่าแถวบ้านเราด้วย”เหน๋อซึ่งเป็นเพื่อนเกลอร้องบอก พูดจบก็รินน้ำร้อนจากหม้อสนามลงถ้วยกาแฟ
“มีทั้งเสือ มีทั้งช้าง”
“ปืนผาหน้าไม้อะไรก็ไม่มีไว้ป้องกันตัว”เคิ้งว่า
“เราก็ทำอะไรมากไปกว่านี้ไม่ได้เหมือนกันไอ้เคิ้ง”
“พวกเราก็ออกตามมันเต็มที่แล้ว ยังไงเราก็ต้องตามมันให้เจอ”เหน๋อกล่าว พลางยกถ้วยกาแฟขึ้นจิบ
“เป็นห่วงก็ตรงสัตว์ป่ามันเยอะนี่แหละ”
“แถมยังเรื่องเสบียงอาหารอีก ไม่รู้จะหากินแบบพวกเราได้หรือเปล่า”พุ่มเสวนาตอบ
“พี่เชื่อว่ามันต้องเอาตัวรอดได้แน่ๆ”
“เรื่องหากินพี่ไม่ห่วง เพราะป่าที่นี่มันดีกว่าป่าแถวบ้านเราเยอะ คนเราเมื่อถึงจุด มันก็ต้องเอาชีวิตรอดกันทั้งนั้น”เหน๋อร้องตอบ
เวลาล่วงผ่านไปอีกครั้ง สรรพสำเนียงยังคงแว่วมาให้ได้ยินอยู่เป็นระยะ เหตุการณ์ดูราบเรียบเป็นปกติ ไม่มีแม้วี่แววของภยันตรายใดๆเข้ามากล้ำกราย และดูเหมือนว่าจะปลอดภัยและอบอุ่นกว่าเมื่อตอนหัวค่ำเสียอีก จากที่เคยตื่นเต้นและตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา พอไม่มีสิ่งใดมากระตุ้น บวกกับบรรยากาศที่เยือกเย็น ก็ทำให้เกิดอาการง่วงเหงาหาวนอนไปตามๆกัน เหน๋อนั่งกอดปืนสัปหงกไปนานแล้ว หลังจากนั่งคุยกับสองกะเหรี่ยงหนุ่มเมื่อช่วงหัวค่ำ ส่วนทั้งสองก็นั่งตาปรือเพราะความอ่อนเพลีย แต่ก็ยังแข็งใจปฏิบัติหน้าที่อย่าดีที่สุด บ่อยครั้งก็ต้องเดินบิดตัวยืดเส้นยืดสายไล่ความอ่อนเพลียและเมื่อยล้า หนักเข้าก็ต้องเดินไปวักน้ำขึ้นมาล้างหน้าล้างตาเพื่อความสดชื่น แต่ก็อดที่จะต้องสะดุ้งทุกครั้ง เมื่อฉายไฟไปเจอก้อนหินรูปทรงประหลาดก้อนนั้น ยิ่งอยู่ภายใต้แสงไฟสลัวๆแบบนี้ ยิ่งทำให้น่าขนลุกเพิ่มไปอีก ราวกับใครมานั่งถมึนทึงดูน่ากลัว
เมื่อได้เวลาของผลัดที่สอง พรานโส่ยและพรานแปะ ก็ตื่นขึ้นราวกับตั้งนาฬิกาปลุกไว้ ทั้งคู่ตื่นมารับยามก่อนถึงเวลาที่กำหนดไว้เสียด้วยซ้ำ เมื่อสอบถามถึงสถานการณ์จากสองกะเหรี่ยง ก็ได้รับคำตอบว่าที่ผ่านมาปกติ มี เก้ง กวาง และหมูป่าสองสามตัว เท่านั้น ที่เดินเฉียดเข้ามาใกล้ที่พัก กับเสียงช้างป่า หักไม้ไร่ห่างออกไปไกลๆ นอกจากสิ่งที่ว่ามาแล้ว ทุกอย่างดูปกติไม่น่าเป็นห่วง ฟืนที่จะเอามาก่อสุมเติมเชื้อ ก็ยังมีอีกเหลือฟือ
“เออ ดีแล้ว ที่ไม่มีอะไร”
“งั้นพวกเอ็งสองคนก็ไปนอนพักได้แล้ว ปลุกไอ้เหน๋อ ไปนอนให้เรียบร้อย เห็นแล้วทุเ รศลูกกะตา ดูมัน นั่งหลับน้ำลายยืดเชียว”พรานชราร้องบอก พูดจบก็รินน้ำร้อนใส่ถ้วยกาแฟ สองใบ จากนั้นก็ยื่นส่งถ้วยกาแฟใบหนึ่งให้พรานแปะ ที่ตอนนี้กำลังยืนบิดกาย อ้าปากหาวอยู่ใกล้ๆ
“นี่ก็ราวๆห้าทุ่มเห็นจะได้”
“หนาวชิบหา ยอะไรอย่างนี้ หนาวกว่าตอนที่ขึ้นไปนอนที่เขาสกอีก”พรานแปะร้องบอก พลางยกกาแฟที่พรานโส่ยส่งให้ขึ้นจิบ ก่อนที่จะทรุดกายลงไปนั่งยองๆข้างกองไฟ
“จะให้ไม่หนาวได้ยังไง ก็เราเล่นมานอนกันริมน้ำขนาดนี้ แค่นอนติดห้วยก็หนาวเกินทนแล้ว”
“แต่ทำยังไงได้ ชายป่ามันก็ดูไม่น่าไว้วางใจ แถมทึบเสียอีก แถวนี้มันโล่งกว่าเยอะ มองอะไรได้ถนัดหน่อย”พรานโส่ยกล่าว พลางถือคลึงถ้วยกาแฟอยู่ในมือทั้งสองข้าง
“หัวค่ำไม่เท่าไหร่”
“ถึงคิวเรา ต้องระวังกันให้ดีๆ ป่าแถวนี้ก็เงียบดูแปลกๆ”พรานแปะร้องบอก พลางแหงนมองขึ้นไปบนฟ้า ที่ตอนนี้มืดมิด ปราศจากหมู่ดาว อาจเป็นไปได้ที่ว่าทั้งคณะเข้ามาอยู่ในดงใหญ่ ไม้ใหญ่ที่ขึ้นอยู่หนาทึบ อาจทอดกิ่งใบปกคลุมจนไม่เห็นท้องฟ้า
“ดาวสักดวงก็มองไม่เห็น”
“จะว่ายอดไม้มันบังก็ไม่น่าจะใช่ เอ...ฉันว่ามันแปลกๆแล้วนะ ตาโส่ย”พรานแปะร้องบอก พลางผุดลุกขึ้นมาอย่างลืมตัว
“เออ จริงของเอ็ง ตะกี้ ข้าเดินไปดูแพที่ล่ามไว้ ก็คิดแบบเอ็ง ตรงปากทางที่เข้ามามันไม่มียอดไม้ ก็พอจะมองเห็นท้องฟ้าอยู่บ้าง”
“แต่แปลกตรงที่ไม่มีดาวสักดวง กะว่าจะดูดาวดูเดือน ว่ามันสักกี่โมงยามแล้วตอนนี้ จะว่าเมฆ หมอก กับยอดไม้บัง ก็ไม่น่าจะใช่”พรานชรากล่าว พลางใช้ไฟฉายส่องจับไปบนยอดไม้เบื้องบน ซึ่งพอจะมองเห็นช่องโหว่ของยอดใบไม้ได้
กาแฟของทั้งคู่หมดไปนานแล้ว พร้อมๆกับเสียงกรนเบาๆที่แว่วออกมาให้ได้ยินจากใครคนใดคนหนึ่ง ที่นอนคุมโปรงขดอยู่ข้างกองไฟ พรานโส่ยเดินกุมปืนแก๊ปในท่าเฉียง สำรวจความเรียบร้อยอยู่รอบๆ พรานแปะ แบกฟืนไปเติมกองไฟอยู่เป็นระยะโดยไม่ขาด นอกจากสัตว์เล็ก จำพวก เก้ง กวาง หมูป่า ที่ออกมาให้เห็นอยู่บ้างเป็นบางครั้งแล้ว สัตว์ใหญ่ จำพวก เสือ และ ช้างป่า ไม่ปรากฏให้เห็นเลย นอกจากเสียงร้องของมันนานๆครั้ง แต่ก็ไกลออกไปมาก โดยเฉพาะ เสียงหักไม้ดัง โผงผาง ซึ่งน่าจะเกิดจากช้างป่าหักไม้ไร่หากิน
หริ่งหรีด รองไน ยังคงส่งเสียงท่วงทำนองดุริยางค์ขับกล่องไพรไม่ขาดช่วง คละเคล้าไปกับเสียงไหววูบ ของยอดไม้ใหญ่ที่โอนเอนไปตามแรงลมเอื่อยๆ นานๆครั้งก็มีเสียงกิ่งไม้หักดังโครมคราม แต่เมื่อเงี่ยหูฟังแล้วไม่มีสิ่งใดขยับหรือเคลื่อนไหว มันน่าจะเป็นกิ่งไม้แห้งธรรมดาที่ตกลงมาที่ใดสักแห่ง สัตว์ป่าที่เคยพบเห็นมาช่วงค่ำที่ผ่านมา เริ่มห่างหาย จนในที่สุดก็ไร้วี่แววของสัตว์ป่าเหล่านั้น นานๆครั้ง ก็ได้ยินเสียง แกรกกราก ของใบไม้แห้ง แว่วมาใกล้ๆ มันคงเป็นสัตว์ป่าจำพวกหนู หรือไม่ก็ สัตว์เลื้อยคลานขนาดเล็กเสียมากกว่า ส่วนทางด้านริมน้ำ นานๆครั้งก็มีเสียงปลาฮุบน้ำเสียทีหนึ่ง เมื่อลองใช้ไฟฉายสาดส่องลงไป ปลาเล็กปลาน้อย จำพวก ปลาซิว และปลาสร้อย ที่อาศัยอยู่ริมตลิ่ง ต่างพากันกระโจนหนีไปตามผิวน้ำ จนแลเห็นตัวขาวพรืดไปหมด เพราะพวกมันคงจะตกใจแสงไฟฉายนั้น พรานแปะเดินส่องไฟสำรวจไปที่ริมน้ำใกล้แพที่ล่ามไว้ เมื่อแสงไฟไปจับนิ่งกับดวงตาสีแดงคู่หนึ่ง อยู่ระหว่างซอกหินที่อยู่ใต้น้ำ มันสะท้อนแสงไฟฉายออกมาเรืองๆ เมื่อขยับส่องเข้าไปใกล้ ถึงรู้ว่าเป็นกุ้งนางขนาดเขื่อง ขนาดของมันโตพอๆกับกระบอกไฟฉาย พรานแปะนึกสนุก จึงสะพายปืน แล้วค่อยๆพับขากางเกงทั้งสองข้างขึ้นมาถึงหัวเข่า จากนั้นค่อยๆย่องลงไปที่เป้าหมาย ซึ่งอยู่ลึกลงไปในน้ำไม่เกินหน้าแข้ง มือซ้ายถือไฟฉายส่องจับไปที่กุ้งนาง มือขวาค่อยๆเอื้อมไปทางด้านหลังของเป้าหมาย พอได้จังหวะก็ตะคุบมือลงไปทันที เพียงอึดใจ ก็ได้กุ้งนางตัวนั้นอยู่ในมือ พรานแปะโยนกุ้งนางตัวเขื่องที่งมได้ขึ้นไปดิ้น กระแด่วๆ อยู่บนลูกบวบแพ จากนั้นก็ส่องสำรวจไปตามซอกหินแถวนั้น ก็ปรากฏว่าพบกุ้งนางเข้าอีกตัว แต่ตัวนี้ขนาดย่อมกว่าตัวแรก และด้วยวิธีเดียวกัน กุ้งนางอีกตัวก็ถูกจับขึ้นมาอย่างง่ายดาย
พรานแปะสนุกและเพลิดเพลินไปกับการส่องไฟ จับกุ้งนางจนลืมตัว เพราะตลอดระยะเวลาที่ส่องสำรวจอยู่ใกล้ๆ ล้วนทำให้ตนเองตื่นเต้นตลอดเวลา เพียงไม่นานก็ได้กุ้งนางถึงสี่ตัว ยังนึกเสียดายอยู่ในใจว่า ถ้ามีฉมวกสักอันติดมาด้วย ก็คงจะดีไม่น้อย เพราะนอกจากกุ้งนางหลายตัวที่ไม่สามารถลงไปจับได้ เนื้องจากพวกมันอยู่ลึกลงไปแล้ว พวกปลากดเหลือง และปลากดคัง มีให้เห็นอยู่ไม่ขาด แต่ละตัวใหญ่ขนาดโคนขา เล็กที่สุดก็ตัวเท่าแขน รวมไปถึงปลาชนิดอื่นๆอีกมากมาย บางชนิดก็ดูรูปร่างหน้าตาแปลกประหลาดเพราะไม่เคยเห็นที่ใดมาก่อน ครั้นแล้วพรานแปะก็ต้องหยุดนิ่ง เพราะแสงไฟฉายส่องกระทบไปที่ดวงตาสีแดงวาวประหลาดคู่หนึ่ง ที่ลอยเรี่ยอยู่ที่ผิวน้ำ ขนาดของมันโตพอๆกับลูกมะนาว ที่อยู่ห่างออกไปราวยี่สิบวา เพียงแวบเดียวเท่านั้น ดวงตาประหลาดคู่นั้นก็จมวูบหายเข้าไปในสายน้ำ พร้อมๆกับพรายน้ำที่ม้วนวนเป็นวงใหญ่ พรานแปะใจหายวาบ เมื่อนึกถึง จระเข้ ที่พรานพรพบรอยมันเมื่อวันก่อน คิดได้ดังนั้น ก็รีบจ้ำอ้าวขึ้นมาจากน้ำทันที พลางส่องไฟไปรอบๆอย่างหวาดระแวง เมื่อขึ้นมาบนฝั่งได้ ก็หิ้วกุ้งนางทั้งสี่ตัวที่จับได้ เดินพรวดๆขึ้นไปบนแคมป์โดยทันที
“ตะกี้ไปส่องกุ้งเล่น”
“เห็นตาอะไรแดงๆก็ไม่รู้ สงสัยจะ ไอ้เข้”พรานแปะร้องบอกพรานโส่ย ก่อนจะโยนกุ้งนางตัวเขื่องทั้งสี่ตัว ลงไปข้างกองไฟ
“ทำเป็นเล่นไปได้ไอ้แปะ ไอ้เบมันก็บอกอยู่หยกๆ ว่าอย่าออกไปไหน”
“เอ็งนี่ ทำประมาทไปได้ ไอ้ที่เอ็งเห็นอาจจะใช่ ไอ้เข้ ก็ได้ ดีที่มันไม่รากเอ็งไปกิน”พรานโส่ยบอกเสียงขุ่น
“ฉันก็ส่องไฟดูดีแล้ว ที่แรกก็ไม่คิดจะลงน้ำหรอก พอดีเห็นกุ้งหลายตัว มีแต่ตัวใหญ่ๆทั้งนั้น แถมน้ำก็ไม่ลึก แค่หน้าแข้งนี่เอง นึกสนุกเลยลงไปจับ ดูสิ แต่ละตัวใช่ย่อยที่ไหน”
“ปลาก็ใหญ่ นี่ฉันยังนึกเสียดายอยู่เลย ถ้าเรามีฉมวกติดมาด้วย สงสัยได้กินกุ้ง กินปลา กันเป็นกองๆ ถ้าลุงได้เห็นไอ้คังแล้วจะตกใจ ตัวนี่ เท่าโคนขาเลย ไม่เชื่อก็ลองดูก็ได้ แถวๆโคนไม้นั้นแหละ มีสองสามตัว สงสัยมันมาดักกินปลาเล็ก”พรานแปะกล่าวจบ ก็ใช้ท่อนฟืนเล็กๆ เขี่ยถ่านแดงๆออกมาจากกองไฟ จากนั้นก็ใช้มีดเหน็บ เหลากิ่งของต้นไคร้น้ำที่เหลือจากการทำร้านย่างเนื้อ พอได้ปลายไม้ที่แหลมตามต้องการ ก็จัดการเสียบย่างกุ้งนางทั้งสี่ตัว
“เอ็งไม่ต้องมาหลอกข้าเสียให้โง่ ข้าไม่ลงไปหรอก”
“หนอยไอ้นี่ จะหลอกให้ข้าไปโดนไอ้เข้ขบกบาลซิไม่ว่า”พรานโส่ยพูดจบก็ขยับมานั่งข้างๆพรานแปะ ที่กำลังถือไม้ย่างกุ้งอยู่ข้างกองไฟ ถ่านแดงๆทำให้สีสันเดิมของกุ้งนาง เริ่มเปลี่ยนสี กลายเป็นสีส้มอมแดง พอเปลือกเริ่มสุกเกรียม น้ำในตัวกุ้งเดือดปุดๆ หยดลงกองไฟดัง ฉี่ฉ่า ส่งกลิ่นหอมน่ากิน
“ดูอย่างกุ้งที่ฉันงมมาสิ แถวบ้านเราเต็มที่ก็ไม่เกินนิ้ว”
“ตัวขนาดนี้ ฉันคงไม่มีปัญญาไปซื้อกินหรอก คิดดูดีๆ ป่าแถวนี้มันก็น่าอยู่ดีเหมือนกันนะลุง เสียอย่างเดียว เสือ กับ ช้าง ชุมไปหน่อย”พรานแปะพูดพลาง พลิกกลับกุ้งย่างไปมาบนกองไฟ
“ถ้ามันชุมอย่างที่เอ็งว่า มันก็ไม่ใช่ปัญหาอะไรนี่ ฉมวกไม่มี ก็เหลาไม้ทำเอาก็ได้ หาไม้ไผ่แก่ๆหน่อย เหลาให้ดีแล้วย่างไฟแบบลูกทอย ก็น่าจะเอาอยู่ ต่อด้ามยาวๆเข้าอีกหน่อย จะได้ไม่ต้องไปลุยน้ำให้เสี่ยง ไม่ก็ลองทำลอบดักเอา แต่เราไม่มีเวลาขนาดนั้น หน้าที่เราคือตามหาไอ้สิงห์ให้เจอ ส่วนเรื่องอาหารก็แล้วแต่โชคของเรา แบบวันนี้ อยู่ไม่อยู่เอ็งก็ยิงเก้งมาได้ ที่อยู่บนร้านนั้น ข้ากะว่าคงได้อีกสักสองสามมื้อเลยทีเดียว”
“ตอนเช้า ถ้าพอมีเวลา ข้าว่าจะชวนกันไปที่ซากกวางด้วยซ้ำ เสียดายของ ถ้าได้ขาหลังมาย่างเก็บไวสักข้าง ก็น่าจะดีไม่น้อย จะได้ประหยัดเวลา ไม่ต้องไปหายิงให้เปลืองแรง”พรานโส่ยว่า
“แหม่...ขนาดต้องแย่งเนื้อเสือมากินเลยรึ”
“แต่ความคิดลุงก็เข้าท่าดีนะ ไม่เปลืองลูกปืนด้วย งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เราไปกันเองสองคนก็ได้นี่ เห็นว่าเลยไปทางที่ฉันยิงเก้งได้นิดเดียวเอง”พรานแปะกล่าว พูดจบก็รูดกุ้งย่างออกจากไม้เสียบ ส่งให้พรานชราสองตัว พรานโส่ยรับไปเป่าอยู่ในมือไม่ทันไร ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดัง พรึบ เหมือนสัตว์หรือตัวอะไรบางอย่าง ร่อนไปเกาะอยู่ที่ต้นไม้ใหญ่ ที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆที่พัก ด้วยความสงสัย พรานแปะจึงฉายไฟ ไปยังตำแหน่งลำต้นของต้นไม้นั้น แวบแรกที่แสงไฟฉายสาดกระทบ ก็ปรากฏดวงตาสีแดงจ้า สะท้อนตอบกลับมาแวบหนึ่ง เพราะต้นไม้ใหญ่มีความสูงจึงมองเห็นอะไรไม่ถนัดนัก จากนั้นเจ้าของดวงตาปริศนา ก็หลบวูบไปอยู่ด้านหลังของลำต้นที่มันเกาะอยู่
“โถ่ บ่างนี่เอง”
“คิดว่าตัวอะไร หลบไปอยู่หลังต้นไม้แล้ว”พรานแปะพึมพำออกมา พร้อมๆกับเจ้าพะเปรียวผลุดลุกขึ้นมานั่งทำหูตั้งจ้องไปทางยอดไม้เหนือหัว
“พรึบ”
“อ่าว นั่นมาอีกตัวแล้ว โน่นก็อีกตัว ไต่อยู่ตรงนั้น”พรานแปะว่า พลางฉายไฟส่องออกไปยังตำแหน่งที่เห็น สัตว์ที่ตนเองเข้าใจว่าเป็นบ่างอยู่ไปมา แต่ทุกครั้งที่ไฟฉายในมือสาดกระทบถูกดวงตาสีแดงจ้า มันก็รีบหลบวูบทันที พอละแสงไฟออกจากตำแหน่งที่เคยส่องไฟ สัตว์หรือบ่างชนิดนั้น ก็โผล่ออกมาให้เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆ
“ไอ้แปะ บ่างมันต้องสู้ไฟสิ ไม่ใช่หลบไฟอยู่แบบนั้น ทำเป็นไม่เคยส่องสัตว์ไปได้เอ็ง ข้าว่ามันไม่ใช่บ่างเสียแล้ว ดูท่ามันแปลกๆไม่ได้การณ์”
“โน่นๆ ไต่ลงมาอยู่กลางต้นไม้หลายตัวแล้ว เฮ้ย! นะ..นะ..นั้นมันไอ้บ่างผีนี่”พรานโส่ยร้องบอกละล่ำละลัก ช่วงที่พรานชรากำลังตกตะลึงอยู่นั้นเอง บ่างผีสิงตัวหนึ่ง ก็บินร่อนลงมาจากต้นไม้นั้น ทิศทางของมัน ตรงดิ่งมายังพรานเฒ่า ซึ่งตอนนี้กำลังยืนตัวแข็งทำอะไรไม่ถูก
“ลุง..!”
“ระวัง!”พรานแปะร้องบอก ก่อนที่จะกระโจนผลักไปที่พรานเฒ่า จนล้มคะมำกลิ้งกันไปทั้งคู่ บ่างผีสิงตัวนั้นร่อนเฉียดก้านคอของพรานชราไปเพียงศอกเศษเท่านั้น เมื่อผิดเป้าที่หมายตาไว้ ก็ร่อนหายเข้าไปในความมืด พร้อมๆกับเสียงร้อง กรี๊ด แหลมแสบแก้วหู
“ตูม...”
“ทุกคนหาที่หลบเร็ว!”พรานเบ ร้องบอกเสียงเอ็ด หลังจากซัดปืนลูกซอง ส่องบ่างร้ายตัวหนึ่งที่กำลังไต่ดิ่งลงมา ตกตุบลงพื้น ดิ้นแด่วๆ เสียงปืนที่ดัง ทำให้ทุกคนพากันสะดุ้งตื่น เหน๋อที่งัวเงียอยู่ เมื่อเห็นว่าอะไรเป็นอะไร ก็กระโจนหลบวูบเข้าไปหลังโขดหินทั้งโปงผ้าห่ม เจ้าพุ่ม กับ เจ้าเคิ้ง วิ่งอ้าวไปทางด้านโคนซุงใหญ่ ซึ่งตอนนี้พรานพรกำลังตั้งป้อมส่องปืนลูกซองเล็งอยู่
“ตูม...”
“กรี๊ดดด..”บ่างนรกตัวหนึ่งร้องด้วยความเจ็บปวด ก่อนจะร่อนถลาเสียทรง ลงมาดิ้นกระพือปีกอยู่กับพื้นอยู่ ผับๆ เจ้าพะเปรียวเห็นโอกาสกระโจนฟัดไปที่บ่างผีเคราะห์ร้ายตัวนั้น เสียงกระดูกหรือไม่ก็ส่วนหัวที่เป็นกะโหลกแตกดัง กร๊อบ ตาถลนออกมานอกเบ้า
“ไอ้เคิ้ง ระวังทางนั้นด้วย มันมาอีกหลายสิบตัวเลย”
“เฮ้ย! พวกเรา มารวมกันที่นี่ดีกว่า ทางนี้ปลอดภัยกว่ากันเยอะ”พรานพรร้องบอก ก่อนที่จะส่งกระสุนของปืนลูกซองอีกตูม บ่างผีอีกตัวที่ทำท่าจะกางปีกร่อนลงมา แหลกเละราวกับก้อนเนื้อถูกสับละเอียด ยังไม่ทันที่ควันปืน ของพรานพรจะจางหาย เสียงปืนแก๊ป ทั้งสามกระบอกก็ดังเสียงเอ็ดอึงไปทั้งบริเวณ บ่างนรกสองสามตัว ร่วงพล็อยลงมาชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น พรานโส่ย เจ้าพุ่ม เจ้าเคิ้ง กระโจนออกไปใช้มีดฟันซ้ำเสียจนแหลกเละ ส่วนปืนแก๊ปที่ยิงออกไปแล้วโยนทิ้งไว้แถวนั้น เพราะไม่มีโอกาสได้บรรจุลูกใหม่
“ไอ้เหน๋อมันไปอยู่ไหน”
“มีใครเห็นมันบ้างหรือเปล่า”พรานเบร้องบอก ก่อนจะเหนี่ยวไก ส่งลูกปืนไปอีกตูม บ่างผีจากนรกส่งมาเกิด ร่วงลงมาตีปีกผับๆถึงสามตัว เพราะโดนอำนาจของลูกปรายเก้าเม็ด ที่กระจายออกไปเป็นกลุ่ม ตัวไหนโดนจังๆก็ตายสนิท ไม่ท้องแตกก็สมองเละ โดนไม่จังก็ลงมาดิ้นพร่านเพราะปีกหัก กระเสือกกระสนหาทางหนี แต่ก็ไปไหนไม่รอด เพราะเจ้าพะเปรียวไล่ฟัดไล่กัด ขบจนกะโหลกแหลกเหลว
“วู้ ไอ้เหน๋อโว้ย”
“ไอ้เหน๋อ มาหลบทางนี้ เอ็งไปอยู่ไหน ไอ้แปะ เอ็งลองไปดูทางโน้นดูสิ เดี๋ยวข้าจะยิงคุ้มกันให้ โน้นๆ อยู่ในโปรงผ้าห่มหลังโขดหินนั้น ไอ้หอ กเอ๊ย”พรานพรร้องบอก พลางยกปืนขึ้นเล็งบ่านนรกตัวหนึ่ง ที่บินร่อนลงมาทางพรานเบ ซึ่งตอนนี้กำลังยัดลูกปืนลูกใหม่เข้าไปในรังเพลิง นัดไหนก็นัดนั้น บ่างนรกตัวนั้นก็ไม่ต่างอะไรจากเป้าบินดีๆนี้เอง สิ้นเสียงตูม ร่างของมันก็แหกขาดครึ่ง ก่อนจะหมุนควงตกลงมา กลิ่นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว พื้นดินและหมู่หิน ตอนนี้แดงฉานไปด้วยเลือดและกองเศษซากของค้างคาวนรกหย่อมๆ
“ไปโว้ย ไอ้แปะ รีบไปลากคอไอ้เหน๋อมาหลบทางนี้ด้วยกัน”
“เดี๋ยวทางนี้ พวกข้าจะคอยยิงคุ้มกันให้เอง เอามันให้เรียบ อย่าให้มันหนีไปไหนได้สักตัว”พรานโส่ยคำราม ก่อนจะกระโจนพรวดออกไปใช้มีดฟันไปที่หัวค้างคาวผีตัวหนึ่ง ที่กำลังกระพือปีกอยู่บนพื้นเร่าๆเพราะโดนกระสุนปืน ฉับเดียวเท่านั้นหัวของมันก็แบะ เห็นมันสมองกระจาย พรานแปะได้จังหวะก็กระโจนหมอบหลบ แล้วคลานศอกไปตามแนวหินใหญ่ โดยมีค้างคาวมรณะบินโฉบฉวัดเฉวียน เฉี่ยวไปมาสองสามตัว เพียงไม่นานก็ไปถึงตำแหน่งที่เห็นโปรงผ้าห่ม
“ไอ้เหน๋อ”
“ไปโว้ย จะมาหลบหาพระแสงอะไรอยู่ทางนี้ พวกเราไปรวมกันอยู่โน่น”พรานแปะตวาดลั่น พลางกระชากผ้าห่มออก แล้วเขย่าไปที่ เจ้าเหน๋อ ซึ่งตอนนี้นอนคุดคู้หมอบกระแตเอามือกุมหัวหลับตาปี๋ กว่าจะเรียกสติกลับมาได้ก็โดนฝ่ามือของพรานแปะตบไปหลายฉาด ส่วนทางแคมป์ไม่สามารถลำดับเหตุการณ์ต่างๆได้ เพราะต่างก็ตกอยู่ในสภาวะตะลุมบอน กระสุนปืนระเบิดจนหูดับตับไหม้ ลูกปืนบางนัดกระทบก้อนหินกระดอนดัง ปิ้ว แล่นเฉียดฉิว หวาดเสียวว่าจะถูกกันเอง จนพรานเบต้องร้องเตือนคณะ
ฝูงค้างคาวมรณะยังคงบุกโจมตีคณะอยู่อย่างต่อเนื่อง ราวกับฝูงต่อแตกรัง แต่ก็ไม่อาจจะทนทานอำนาจการทำลายล้างของลูกกระสุนของปืนลูกซองไปได้ ทุกนัดที่ระเบิดออกไปนั้นหมายถึงชีวิตของค้างคาวเดนตายเหล่านั้น อย่างน้อยๆต้องร่วงลงมาสองถึงสามตัว หรือในบางครั้งก็มากกว่านั้นเพราะบางจังหวะพวกมันเกาะกลุ่มกันอยู่หลายตัว ทำให้ตกเป็นเป้ากระสุนได้โดยง่าย ครั้งหนึ่งพรานเบถึงกับอุทานลั่น เมื่อเห็นค้างคาวผีตัวหนึ่ง ร่อนลงมาเกาะอยู่ที่หลังของเจ้าพะเปรียวขณะที่ตัวมันเองเผลอ ซึ่งตอนนั้นกำลังง่วนอยู่กับการฟัดค้างคาวบาดเจ็บอีกตัวที่ถูกยิงตกลงมา พร้อมๆกับเสียงร้อง เอ๋ง ด้วยความเจ็บปวด เพราะค้างคาวนรกตัวนั้นได้ฝังคมเขี้ยวของมันลงไปยังตำแหน่งต้นคอด้านหลังของเจ้าพะเปรียว ครั้นจะยิงก็ไม่ได้ เพราะเกรงว่าลูกปืนจะไปถูกหมาที่ตัวเองเลี้ยงมา
“ไอ้พะเปรียว!”
“ทุกคนอย่ายิง เดี๋ยวลูกปืนไปโดนมันเข้า”พรานเบ ร้องเสียงหลง ก่อนจะปล่อยกระสุนไปที่ค้างคาวผีอีกตัว ที่ทำท่าจะร่อนลงมาสมทบ จนบินเสียหลักร่อนถลาเข้าไปในกองไฟ ที่ตอนนี้กำลังลุกโชติช่วงอยู่ พร้อมๆกับเสียงร้อง กรีดแหลม ด้วยความเจ็บปวดทุกทรมาน พักเดียวเท่านั้น ก็ดำหงิกงอ เป็นตอตะโก ส่วนเจ้าพะเปรียวก็ล้มลุกคลุกคลานจนฝุ่นตลบ จะเอี้ยวตัวไปไล่งับไล่กัดก็ทำได้ไม่ถนัด โชคดีที่เจ้าพุ่มทันเห็นเหตุการณ์ และอยู่ใกล้ที่สุด อารามด้วยความตกใจหรือไม่ก็กลัวว่าเจ้าพะเปรียวจะตกเป็นเหยื่ออันโอชะ จึงง้างเท้าเตะสุดแรงไปที่ร่างนั้น ราวกับมันเป็นลูกฟุตบอล อย่างไม่รู้ทิศรู้ทาง เสียงดัง ผลัก เห็นผลทันตา ไอ้ค้างคาวนรกตัวนั้นกระเด็นหลุดออกไปจากหลังเจ้าพะเปรียว แต่ด้วยที่ไม่ทันได้ดูทิศทาง ลูกบอลมีชีวิตที่ส่งมาจากนรกตัวนั้น กลับกระเด็นไปกระแทกเจ้าเคิ้งที่นั่งหมอบหลบอยู่ตรงกองฟืนใกล้ๆกัน จนทำให้มีดในมือของเจ้าเคิ้งกระเด็นหลุดหายไป พร้อมๆกับเสียงร้อง ว๊าก ด้วยความตกใจระคน ขยะแขยง เมื่อตั้งสะติได้ ก็คว้าท่อนฟืนที่อยู่ใกล้มือกระหน่ำหวดไปอย่างลืมตัว แถมยังใช้เท้าเตะซากนั้นกระเด็นผลุบเข้าไปในกองไฟ ส่วนพรานแปะและเหน๋อ กว่าจะเข้ามารวมกลุ่มได้ก็ต้องลากกันมาอย่างถูลู่ถูกัง หน้าแข้งถลอกปอกเปิกได้เลือดไปตามๆกัน เมื่อฝ่ายมนุษย์กลับมารวมกลุ่มได้ มีหรือจะยอมเสียเปรียบให้กับพวกสัตว์เดรัจฉาน ที่จ้องจะคอยกินเลือดกินเนื้อ ราวกับว่า เหยื่อที่พวกมันเห็นนั้นเคี้ยวกินง่ายๆ เหมือนเหยื่อที่พวกมันเคยเสพมาแล้วอย่างที่ผ่านๆมา ตัวแล้วตัวเล่าที่ต้องสังเวยให้กับกระสุนปืน กี่ชีวิตที่ต้องแหลกเละจนจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ และอีกกี่ชีวิตที่ต้องไหม้หงิกงออยู่ในกองไฟ
เหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร คณะติดตามคนหายจะรบกับฝูงบ่างผผีสิงได้หรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป
ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภันมา ณ ที่นี้ด้วยครับ