ภาพที่ 1
บทที่ 14
ตอนที่ 1
ทุกคนต่างรีบเร่งช่วยกันรากฟืนไปสุมไฟ จนพื้นที่โดยรอบสว่างโชนไปทั่วบริเวณ กลิ่นควันไฟม่วนตลบอบอวน เพราะปราศจากกระแสลมโชย กองไฟกองใหญ่ส่งเปลวไฟสว่างจ้า ทำให้บริเวณนั้นร้อนระอุขึ้นตามไปด้วย ถึงแม้ดวงตะวันจะยังไม่ตกดิน แต่ป่าดิบทึบเช่นนี้ ก็ทำให้บรรยากาศโดยรอบดูขมุกขมัว แสงจากกองไฟ สว่างโชนส่องกระทบต้นไม้ชายป่า ป่าสูงทึบทะมึนเช่นนี้ ทำให้เกิดเป็นเงาวูบวาบ ราวกับเงาปีศาจชวนให้หลอน บรรยากาศภายในแคมป์เต็มไปด้วยความตึงเครียด ทุกคนต่างกระสับกระส่าย เพราะไม่ไว้วางใจในสถานการณ์ แต่ละคนมีอาวุธติดตัวพร้อม พรานโส่ย เจ้าเคิ้ง เจ้าพุ่ม ต่างถือปืนแก๊ปคู่กายในท่าเตรียม สายตาก็จับจ้องไปตามราวป่า ส่วนเหน๋อนอกจากปืนพกลูกโม่ขนาด.22ที่พกเหน็บอยู่ข้างเอวแล้ว ที่มือยังกุมปืนอยาวขนาด.22 ของสิงห์ไว้แน่น
“ดูกันให้ดีๆโว้ย”
“ระวังจะยิงพวกเดียวกันเอง”พรานชราร้องสั่ง
“ไม่รู้ว่าน้าเบจะเป็นยังไงบ้าง”
“สองคนนั่นก็หายไปพักหนึ่งแล้ว”เหน๋อร้องบอกเสียงสั่น
“เดี๋ยวก็รู้”
“มีไอ้แปะ กับ ไอ้พร ด้วยแบบนี้ไม่น่าห่วง พวกเรามากกว่าที่น่าห่วงกว่าทางโน้นอีก”พรานโส่ยบอก
“ก็แน่อยู่แหละพ่อ”
“เรามีแต่ปืนแก๊ปกันทั้งนั้น ทางโน้นมีแต่ลูกซอง”เคิ้งว่า แต่ยังไม่ทันขาดคำเจ้าเคิ้ง เงาตะคุ่มๆของชายทั้งสามก็โผล่มาให้เห็น
“โน่นๆ พวกนั้นมากันแล้ว”
“วู้...เป็นยังไงบ้าง”เหน๋อร้องบอกออกมาอย่างลิงโลด พรางป้องปากกู่ร้องโหวกๆ
“น้าเบก็มาด้วยนี่”
“โอ้ย ค่อยโล่งอกหน่อย”พุ่มร้องบอกอย่างดีใจ หลังจากเห็นพรานทั้งสามเดินโผล่ออกมาจากเหลี่ยมโขดหินใหญ่
“ไอ้ดาว”
“เกือบเสร็จมันไปแล้วเหมือนกัน”พรานนำทางร้องบอก พูดจบก็ยกกระบอกน้ำที่แขวนไว้ ขึ้นดื่มอึกใหญ่ ก่อนจะยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดปาก
“เป็นยังไงมายังไงถึงไปเจอมันเข้าหละ”
“ข้าคิดว่าเอ็งเสร็จมันไปแล้ว”พรานชราร้องถาม
พรานนำทางเล่าเหตุการณ์ต่อมาว่า ขณะที่กำลังเดินสำรวจเส้นทาง และความเรียบร้อย ซึ่งห่างออกไปราวๆห้าสิบวาจากจุดที่เจ้าเคิ้งและเจ้าพุ่มออกไปเก็บฟืน สายตาก็เหลือบไปเห็นรอยเลือดสดๆหยดไปเป็นทาง ด้วยความสงสัยจึงค่อยๆสะกดรอยตามไปอย่างระมัดระวัง จนพบซากกวางตัวหนึ่งพึ่งจะตายมาใหม่ๆ ถูกซุกไว้ใต้โพรงหินใกล้ๆกับต้นไม้ที่ยืนตายพรายนั่น เมื่อดูใกล้ๆก็เห็นว่าส่วนท้องถูกเปิดแหวะออกมา เครื่องในบางส่วนถูกอะไรบางอย่างลากออกมากินเป็นกอง ประจวบกับเจ้าพะเปรียวมีอาการลุกลี้ลุกลน เดินพันแข้งพันขาหางจุกตูดทำให้ผิดสังเกตุ ซึ่งอาการแบบนี้เจ้าพะเปรียวไม่เคยส่อออกมาให้เห็น ถ้ามันไม่เกิดกลัวอะไรขึ้นมา พอรู้แบบนี้พรานเบจึงรีบหลบฉากเข้าหาที่กำบังโดยทันที
“ใจข้าก็คิดว่าน่าจะเป็นเสืออยู่แล้ว”
“แต่ไม่รู้ว่าเสืออะไร”พรานนำทางเล่าเหตุการณ์
“ตอนแรกก็คิดว่าไอ้ลาย”
“แต่พอแหงนมองขึ้นไปบนต้นไม้ ถึงรู้ว่าเป็นไอ้ดาว”พรานนำทางตอบ พูดจบก็สูบบุหรี่ยาเส้นจนแดงวาบ
“ถ้าช้ากว่านี้หน่อย หนังหัวคงจะเปิดไปแล้ว”
“ดีที่ข้าเห็นมันก่อน”พรานเบร้องบอกคณะ พรางชี้มือไปทางต้นไม้ใหญ่สีขาวนวลลิบๆ
“มันหมอบทำหูลู่ แยกเขี้ยวขาวบนคบไม้นั่น”
“นัดแรกน่าจะโดนแถวๆสะโพก เพราะมันกระโจนสวนลงมาพอดี”
“ตอนมันตกลงมาดิ้น เห็นท่าไม่ดี เลยกดไปอีกตูมแถวๆหน้าอก”พรานนำทางพูดจบก็ดีดก้นบุหรี่เข้าไปในกองไฟ
“ข้ายังนึกอยู่เลย”
“เนื้อมันแยะขนาดนี้ เสือน่าจะเยอะตามไปด้วย”พรานพรร้องบอก
“นี่แค่เบาะๆ ข้าว่ายังมีอีกแยะ ป่ามันทึบขนาดนี้”
“ระวังตัวกันให้ดีๆ อย่าประมาทเด็ดขาด”พรานเบพูด
“มันน่าจะตกใจเสียงปืนที่เรายิงเรียกไอ้สิงห์นั้นแหละ”
“ดีนะที่ไอ้พว กนี้ไม่ได้เดินไปแถวนั้น”พรานโส่ยว่า
“ตัวโตมั๊ยไอ้เบ”
“ชักจะอยากเห็นตัวใกล้ๆ ไม่ได้เจอเสือตัวเป็นๆมาหลายสิบปีแล้ว ครั้งสุดท้ายที่เห็น ก็สักแปดขวบได้ ปู่ข้าเคยยิงได้แถวๆชายไร่”พรานโส่ยกล่าว พูดจบก็เดินไปหยิบท่อนฟืนโยนสุมเข้ากองไฟดังโครม จนลูกไฟแตกเป็นสะเก็ดแดงวูบวาบ
“เขื่องใช้ได้อยู่”
“ข้าว่าจะตัดหนวด หนังหน้าผาก แล้วก็เขี้ยว มาฝากแกแล้ว แต่ไอ้เบมันไม่ยอม”ประโยคหลัง พรานพรพูดออกมาอย่างเสียดาย
“อ้าว ทำไมละไอ้เบ?”
“ของดีๆแบบนี้หายากจะตายห่ า”พรานโส่ยบ่นอุบมาอีกคน
“อย่าไปแตะต้องอะไรมันเลย ทุกสิ่งทุกอย่างในป่านี้ มันเป็นของอาถรรพ์”
“ข้ารู้ว่ามันเป็นของหายาก แต่อย่าดีกว่า”พรานนำทางกล่าว
“น้าเบแกก็มีเหตุผลนะตาโส่ย”
“ป่าแถวนี้ มันไม่เหมือนป่าแถวบ้านเรา แค่นี้ก็ซวยกันมากพอแล้ว อย่าให้ซวยมากไปกว่านี้เลย”เหน๋อร้องบอก
“เอาๆ ก็แล้วแต่ไอ้เบละกัน เอ็งว่าไง ข้าก็ต้องว่าตาม”
“ที่เอ็งว่ามา มันก็เข้าทีอยู่”
“เอ้า เสียเวลากันมามากพอแล้ว จวนจะค่ำแล้วด้วย มากินข้าวกินปลากันดีกว่า อิ่มแล้วค่อยว่ากันอีกทีว่าจะเอายังไงกันต่อ”พรานชรากล่าวสรุป ก่อนที่จะกวักมือเรียกคณะไปที่ร้านย่างเนื้อ และหม้อต้มเนื้อเก้งที่ตอนนี้น้ำในหม้องวดลงไปเกือบครึ่ง
“นี่เราก็ล่อเก้งของเขามาอีกตัว”
“เดี๋ยวต้องไหว้ขอขมา เจ้าที่ เจ้าทางกันเสียหน่อย เพื่อความสบายใจ”พรานชราพูดจบก็จัดแจงเตรียมกระทงใบไม้ ที่เย็บกลัดด้วยกิ่งไม้แบบง่ายๆขึ้นมาสามสี่ใบ พอแกทำเสร็จ ใบแรกแกก็ตักต้มเก้งใส่ลงไปจนเต็ม ใบที่สองเป็นเนื้อเก้งย่างพริกเกลือ ใบที่สามเป็นเนื้อปลาย่างที่บิใส่อีกครึ่งตัว ส่วนใบสุดท้ายใส่ข้าวสวยร้อนๆที่ตักแบ่งออกมาจากหม้อสนาม จากนั้นก็ค่อยๆลำเลียงไปไว้บริเวณพื้นหิน ที่มีก้อนหินทรวดทรงประหลาด
“เออ..แกก็เข้าใจเอาไปไว้แถวนั้น”
“ไอ้หินก้อนนี้ข้าเห็นตั้งแต่แรกแล้ว ดูพิลึกยังไงชอบกล”พรานพรกล่าว
“จริงของน้าพร”
“ฉันก็คิดว่าเห็นแบบนั้นอยู่คนเดียว ยังกับคนแก่นั่งชันขา ไม่มีผิด”พรานแปะเสวนาบ้าง
“ใช่ๆ เหมือนคนแก่นั่งชันขาจริงๆด้วย ยิ่งดูมุมนี้ยิ่งเหมือน”
“ดูดีๆก็เหมือนฤาษี! โอ๊ย เหมือนจนน่าขนลุกแท้”เหน๋อผู้ซึ่งตาขาวตลอดการเดินทางกล่าว พรางใช้มือลูบไปตามแขนขาด้วยความสยิว
หินรูปร่างทรวดทรงประหลาดนี้ พรานนำทางก็เห็นเป็นจริงอย่างที่ทุกคนในคณะว่ามา ครั้งแรกที่ถ่อแพเข้าไปใกล้ ยังตกใจคิดว่าคนแก่ที่ไหนมานั่งจับเจ่าอยู่ตรงนี้ แต่พอเพ่งมองดูดีๆถึงรู้ว่า ภาพที่เห็นคือก้อนหินธรรมดาเท่านั้น เพียงแต่มีรูปร่างแปลกตา มองผ่านๆเหมือนฤาษีแก่ๆนั่งชันขาหลังค่อมอยู่ไม่มีผิด ลวดลายบนก้อนหินนั่นก็ดูพิลึก เพราะมีพวกตะไคร่น้ำ และพืชจำพวกไลเคน เกาะอยู่เป็นจุดๆ ราวกับชุดอาภรณ์ที่ส่วมใส่ ส่วนบนที่มองดูเหมือนศรีษะ ด้านหลังมีลักษณะคล้ายมวยผมที่ถูกมัดรวบไว้เป็นขมวดแถวๆท้ายทอย ซึ่งตอนนี้ยืนล้ำออกไปด้านหน้าเล็กน้อย ส่วนใบหน้ามองไม่ถนัดเพราะตอนนี้มีตะไคร่น้ำขึ้นอยู่เต็มไปหมด ทำให้จินตนาการแล้วเหมือนเคราคนแก่ เพราะไม่อยากให้ทุกคนในคณะเสียขวัญและกำลังใจมากไปกว่านี้ พรานนำทางจึงเก็บงำเรื่องนี้ไว้คนเดียว จนมาตอนที่พรานโส่ยนำเครื่องเซ่นมาไหว้นี่แหละ ถึงได้รู้ว่าทุกคนก็เห็นเหมือนกันกับตน
“ใครก็ได้ มวนบุหรี่ยาเส้นมาให้ข้าสักสามมวน”
“ไอ้เคิ้ง เอาย่ามหมากมาให้ข้าที แขวนไว้ตรงรากไม้โน่น”พรานโส่ยร้องบอก พรางจัดแจงวางสำรับกับข้าว เครื่องเซ่นต่างๆอย่างบรรจง พอได้ที่ดีแล้ว ก็รับบุหรี่ยาเส้นที่พรานพรมวนให้ถึงสามมวน วางลงบนใบไม้ จากนั้นแกก็ล้วงย่ามใบเก่าคร่ำเพื่อหยิบกระปุกปูนแดง ชิ้นลูกหมากแห้งบางๆ ยาฉุน ใบพลูเหี่ยวๆขึ้นมาสามใบ และเทียนไขเล่มเล็กๆอีกเล่ม
“เหล้าป่ายังมีอยู่ จะเอาด้วยมั๊ย”
“ถ้าเอา ข้าจะตัดไม้ทำจอกให้เดี๋ยวนี้”พรานเบร้องบอก
“ดีๆ”
“อย่าให้ขาด เซ่นทั้งที ต้องมีเหล้าถึงจะขลัง”พรานโส่ยพูดจบ ก็ใช้ไม้พายเล็กๆควักปูนแดงออกมาทาบนใบพลูทั้งสามใบ จากนั้นก็บิชิ้นลูกหมากแห้งๆโรยลงไปสามสี่ชิ้น ก่อนจะม้วนเป็นมวนคล้ายบุหรี่ ส่วนยาฉุน แกใช้มือคลึงปั้นเป็นก้อนกลมๆขนาดเท่าหัวแม่มือสามก้อน เมื่อทำเสร็จทุกอย่างก็เอาไปวางเรียงคู่กับบุหรี่ยาเส้น
“เอา”
“จอกเหล้าของแก”พรานเบร้องบอก พูดจบก็ส่งจอกเหล้าไม้ไผ่ ที่แกทำจากส่วนปลายของไม้ถ่อแพ
“เหล้าอย่าลืม”
“ค่อยๆเท ของมีน้อยระวังหกด้วย”พรานแปะพูดพรางส่งแกลอนใส่เหล้าไปให้พรานโส่ย ภายในแกลอนมีเหล้าอยู่เกินครึ่ง พรานผู้ทำพิธีรับเอาไปรินอย่างบรรจง จนเกือบเต็มแล้วจึงนำไปวางรวมกับชุดหมากพลูและบุหรี่ยาเส้น ก่อนส่งแกลอนเหล้าคืน แกก็เทเหล้าใส่ฝาแล้วยกพรวดลงคออึกใหญ่ พอทำท่าว่าจะมียกที่สอง พรานแปะก็ทำเสียงกระแอมแกถึงหยุดแล้วปิดฝาส่งแกลอนเหล้าคืน
เมื่อเครื่องเซ่นทุกอย่างครบตามที่พรานโส่ยต้องการ แกก็ค่อยๆปลดผ้าขาวม้าที่แกใช้โพกหัว ออกมาคลี่เป็นผืน แล้วสะบัดอยู่สองสามที ก่อนจะเอามาพาดเฉียงไว้ที่ไหล่ซ้าย จากนั้นก็ทรุดกายลงไปนั่งยองๆแล้วจุดไม้ขีดรนไปที่ก้นเทียนพอให้ละลายแล้วเอาไปแตะติดไว้กับพื้นหินกลางเครื่องเซ่น พอเทียนเล่มนั้นติดแน่นดีแล้ว แกก็จอเปลวไฟจากไม้ขีดก้านเดิมเพื่อจุดไส้เทียนจนบริเวณนั้นสว่างวอมแวม
“ตาโส่ยนี่แน่นอนจริงๆ”
“วิชาคงจะเยอะน่าดูชม”พรานแปะทำเสียงกระซิบบอกพรานพร
“เรื่องพวกนี้ต้องยกให้แก”
“แกผ่านโลกมาก่อนเรา เราเทียบแกไม่ติดหรอก”พรานพรกระซิบตอบ ตาก็มองไปที่พรานชราที่ตอนนี้นั่งทำปากขมุบขมิบ มือไหว้กราบพื้นอยู่ปะหลกปะหลก
“ไม่รู้คืนนี้จะเจอดีอะไรกันอีก”
“ขออย่าให้เจออะไรเลย เจ้าพระคูณ”เหน๋อพูดเสียงอ่อย หลังจากเห็นพรานชราเอื้อมมือไปจุดบุหรี่ที่ใช้เป็นเครื่องเซ่น
“นั่นแหละ ข้าถึงบอกกับทุกคนไงว่า พวกเราอย่าประมาท”
“ป่าแถวนี้มันไม่เหมือนป่าแถวบ้านเรา”พรานเบพูดเสียงขรึม พรางมองป่าไปรอบๆทิศทาง
“เดี๋ยวตอนกินข้าว เราค่อยมาคุยกัน ว่าใครจะอยู่ยามกันช่วงไหน”
“ไม่อยู่ยามกัน เห็นทีจะไม่ไหว ป่ามันน่ากลัวกว่าที่คิดไว้ ป่าเสือ ดงช้างแบบนี้ ไว้ใจไม่ได้จริงๆ”พรานพรพูดเสริม จากนั้นก็ร้องเรียก กะเหรี่ยงหนุ่มทั้งสองคนให้เตรียมสำรับกับข้าว
*****เหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร คณะของผู้ติดตาม จะพบเจอกับเรื่องลี้ลับ หรืออถรรพ์ของไพรมืดแห่งนี้อีกหรือไม่ โปรดติดตามในตอนต่อไป*****
ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภันมา ณ ที่นี้ด้วยครับ