นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 13 ตอนที่ 3.
ภาพที่ 1
บทที่ 13
ตอนที่ 3
ยิ่งบริเวณไหนที่ต้นไม้ทั้งสองฝั่งเบียดชิดกัน ยิ่งทำให้เกิดร่มเงาบดบังแสงมากขึ้นทุกลำดับ ราวกับเป็นอุโมงค์ขนาดยักษ์ บางช่วงก็มีเถาวัลย์ห้อยพาดเกาะเกี่ยวกันไปมา ดูระโยงระยาง สัตว์ป่าจำพวก กระรอก และลิง ค่าง พากันไต่ไปมาดูสับสนไปหมด ลิงบางตัวก็ทำเสียง คิกคอก ขย่มยอดไม้ เมื่อเห็นวัดถุประหลาดลอยอยู่บนผิวน้ำผ่านหน้ามันไป บางตัวก็กระโจนไต่ไล่ไปมาตามเครือเถาวัลย์เหมือนสงสัยในสิ่งที่มันพบเห็น นอกจากสิ่งมีชีวิตที่ว่ามาแล้ว ตามชายดงริมตลิ่งก็มีสัตว์ป่าหลายชนิดให้พบเห็น เก้ง กวาง มีให้เห็นอยู่ตลอดทั้งสองฝั่ง หรือแม้แต่สัตว์ ที่ไม่เคยพบเจอ ก็มีให้เห็นอยู่มากมาย ตามตลิ่งริมน้ำตื้นๆ หรือตามปลัก ถ้าไม่เจอ สมเสร็จ ก็เจอ ควายป่า ครั้งหนึ่ง พรานเบรีบยกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนอยู่ในความสงบ เมื่อตัวเองเหลือบไปเห็นช้างงาตัวใหญ่ ที่ยืนเอาสีข้างเบียดถูกับต้นยวน ถึงแม้มันจะดูตัวใหญ่โตในสายตามนุษย์ แต่ก็เล็กเมื่อเทียบกับขนาดโคนต้นที่มันใช้ถูอยู่ ถ้าไม่สังเกตอาจมองไม่เห็น
“ดูงาของมันสิน้า”
“ยาวเป็นวาๆเลย เกิดมาฉันเพิ่งจะเคยเห็น”เจ้าพุ่มกระซิบบอกพรานนำทาง
“ป่าแถวนี้ มันเป็นป่าอาถรรพ์”
“เอ็งไม่ต้องตกใจ ข้าว่า มันมีอะไรมากกว่านี้ ที่เอ็งและข้าไม่เคยเห็นอีกแน่นอน”พรานเบตอบเสียงแผ่วเบา พูดจบก็ทำสัญญาณมือบุ้ยใบ้ ให้แพอีกลำค่อยๆเคลื่อนผ่านไป โดยเฉพาะเจ้าพะเปรียว ที่เจ้าพุ่มใช้มือบีบปากมันไว้แน่น เพราะกลัวเจ้าพะเปรียวจะเห่าทำเสียงดัง ซึ่งเจ้าช้างงาตัวนั้นก็ไม่มีอาการหวาดระแวงต่อการมาของมุนษย์เหล่านั้น มีเพียงไม่กี่ครั้งที่มันทำทีชูงวงร่อนไปมาบนอากาศ เหมือนจะสูดดมหากลิ่นที่อาจจะมีแปลกปลอม แต่เมื่อไม่มีอะไรผิดปกติ ก็ตวัดเอาเศษดินและเศษหญ้าบนพื้นขึ้นมาพ่นรดหัวรดตัว เพื่อไล่แมลงต่างๆที่ไต่ตอมหัวหูดูน่ารำคาญ
พรานนำทางค่อยๆถ่อแพไปตามลำน้ำที่คดเคี้ยว ซึ่งก็เป็นไปตามที่เขาเคยว่าไว้ ระดับน้ำที่เริ่มตื้นเป็นลำดับ จากที่ไม้ถ่อแพยาวหลายวายังแตะไม่ถึงพื้น มาตอนนี้ระดับน้ำลึกไม่เกินวา มองเห็นพื้นเบื้องล่างได้อย่างชัดเจน ตลิ่งที่เคยชัน ตอนนี้ก็เริ่มลาดเอียงกลายเป็นหาดทรายผสมกรวด สลับไปกับโขดหินใหญ่ที่โผล่พ้นน้ำ มีต้นไคร้น้ำขึ้นแซมบ้างประปราย และหาดทรายอยู่เป็นระยะ แต่ถึงกระนั้นก็ยังไม่เจอสถานที่ ที่ถูกใจพรานนำทาง เพราะตลอดเส้นทางทั้งสองฝั่งที่ผ่านมา ภูมิประเทศและชัยภูมิ ยังไม่เป็นที่น่าไว้วางใจ ถึงแม้จะดูไม่รกมากนักเหมือนป่าด้านนอก เพราะไม้ใหญ่ทอดเงาปกคลุมจนไม้เล็กไม้น้อยไม่สามารถเจริญเติบโตได้ มีแต่พวกเฟิร์นและบอนบางชนิดที่ขึ้นอยู่เป็นดงริมน้ำ ต้องออกแรงถ่อแพมากันอีกหลายโค้งกว่าจะเจอตำแหน่งที่ถูกใจ
“เอาตรงนี้แหละ”
“เดี๋ยวเราเอาแพไปจอดหลังไม้ล้มนั้น”พรานเบหันมาร้องบอกคณะ พลางบุ้ยปากไปยังตำแหน่งต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่ล้มพาดลงมาแช่อยู่ในน้ำทางด้านขวามือ
ขนาดของลำต้นที่ล้ม สูงท่วมหัวของพรานเบ ลักษณะของมัน น่าจะล้มมานานนับสิบปี เพราะส่วนที่แช่อยู่ในน้ำดูเกลี้ยงเกลา เห็นแต่เนื้อไม้สีเทาหม่นเพียงครึ่งต้น ส่วนอีกครึ่งจมหายเข้าไปในพื้นกรวดหินใต้น้ำ หรืออาจจะหัก ไม่ก็ผุพังลอยไปตามกระแสน้ำนั้นนานแล้ว ในส่วนที่พ้นน้ำขึ้นไปบนฝั่ง เปลือกที่เคยห่อหุ่มลำต้นก็หลุดลอกไปเสียเกือบหมด มีแต่ตะไคร่น้ำและเฟิร์นบางชนิดเกาะอยู่กันเขียวเป็นพรืด มันล้มชนิดที่ถอนรากถอนโคน จนพื้นดินที่มันเคยยืนต้นอยู่เปิดเผยอขึ้นมาทั้งกระบิ มองเห็นเป็นแอ่งหรือหลุมขนาดใหญ่ แต่ด้วยระยะเวลาอันยาวนานทำให้มันดูตื้น แต่ก็ยังพอมองเห็นเค้าโครงเดิมของมัน รากที่เกาะเกี่ยวกันเป็นแผงรูปวงกลมดูยุ่งเหยิง ตอนนี้มองเห็นเด่นชัดโดยมีก้อนหินขนาดเท่าครกตำน้ำพริก ไล่ไปจนถึงขนาดเท่าโอ่งน้ำ ถูกรากเกาะติดขึ้นมาด้วย เพราะผ่านระยะเวลามานานหลายปีจึงปราศจากเศษดิน มองผ่านๆก็เหมือนประติมากรรมดูแปลกตา
พรานนำทางเลือกชัยภูมิที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะมีต้นซุงที่ล้มพาดขวาง เปรียบเสมือนแนวกำแพงป้องกันภัยจากทางด้านหลัง มันทอดขวางล้ำเข้าไปในแม่น้ำ หากจะมีสัตว์ชนิดใดข้ามมาทางนี้ก็คงจะยากลำบาก เพราะขนาดของซุงใหญ่โตเกินจะข้ามหรือกระโจนผ่าน ครั้นจะมุดลอดมาใต้ท้องซุงก็ทำไม่ได้ เพราะส่วนของท่อนซุงบริเวณนี้จมหายฝั่งเข้าไปในพื้นทรายและกรวดหิน ทิศทางที่ต้องคอยระวังภัย จึงถูกจำกัดเฉพาะะด้านหน้าของปากพักเท่านั้น ด้านหลังติดท่อนซุง ด้านซ้ายติดลำน้ำ ด้านขวายังติดแผงรากไม้อีก
“เราจะพักกันตรงนี้”
“โคนต้นไม้นั่น พอจะหลบแดดหลบน้ำค้างได้อยู่”พรานนำทางร้องบอกคณะ พูดจบก็กระโดดตุบขึ้นไปบนฝั่งก่อนใคร จากนั้นก็โบกมือส่งสัญญาณให้แพอีกลำ ที่ลอยอยู่อีกฟากให้ข้างฝั่งมาสมทบ
“ตรงไหนก็เอา รีบๆเข้าเถอะ”
“ป่ามันทึบแบบนี้มืดเร็วกว่าป่าข้างนอก ไม่ทันไรหมอกทำท่าจะลงเอาเสียด้วย”พรานโส่ยร้องบอกอย่างกังวน
“รีบๆช่วยกันขนของลง”
“อย่าลืมล่ามแพไว้ด้วย”พรานพร ร้องบอกมาอีกคน พูดจบแกก็ใช้ไม่ถ่อดันแพจากทางด้านหลัง ส่วนเจ้าพุ่มและพรานเบ ช่วยกันชักลากจากทางด้านหน้า จนส่วนหัวเกยขึ้นไปบนฝั่ง อีกลำก็ใช้วิธีเดียวกัน เพียงไม่กี่อึดใจ แพทั้งสองลำก็ขึ้นไปเกยอยู่บนฝั่งเกือบทั้งหมด มีแต่ส่วนท้ายที่แช่น้ำอยู่ปริ่มๆ
“ประมาทไม่ได้”
“ป่าที่นี้ ไม่เหมือนป่าแถวบ้านเรา เผลอทำแพหลุดไปกับน้ำ จะลำบากกัน”พรานนำทางพูดจบ ก็สะพายปืนเดินขึ้นไปสำรวจตำแหน่งที่ตนหมายตาไว้ เมื่อตรวจดูว่าเรียบร้อยดี ก็โบกมือให้สัญญาณ ให้คณะขนสัมภาระขึ้นไปสมทบ
“คืนนี้เราจะพักกันที่นี้ก่อน”
“ไอ้เคิ้ง ไอ้พุ่ม เอ็งสองคนออกไปเก็บฟืนเตรียมก่อไฟไว้มากๆหน่อย”
“ไอ้แปะ เอ็งไปเป็นเพื่อนพวกมันอีกคน ปืนผาอย่าให้ห่างมือ”
“ป่ามันไม่น่าไว้ใจ ไม่ต้องออกไปไกลกันมาก เอาแค่พอมองเห็นกันก็พอ”พรานเบร้องสั่ง พูดจบก็ใช้ไม้ไผ่ที่ใช่ถ่อแพ แหย่กระทุ้งไปตามก้อนหินที่มีรากของไม้ล้มเกาะเกี่ยวอยู่ เพื่อตรวจสอบความปลอดภัย และมั่นใจว่าหินพวกนี้จะไม่มีวันล่วงหล่นลงมา ส่วนบุคคลทั้งสามก็ไม่ได้รีรอ เมื่อได้รับคำสั่งก็รีบจ้ำอ้าวไปแต่โดยดี โดยมีเจ้าพะเปรียววิ่งติดตามไปด้วย
“มาไอ้เหน๋อ เอ็งมาช่วยข้าปูผ้าใบ”
“อย่ามัวแต่ยืนทื่อเป็นสากกร ะเบือ”พรานโส่ยพูดจบก็ยัดลูกแปใส่สะโพกเจ้าเหน๋อดังป้าบเล่นเอาเจ้าตัวถึงกับสะดุ้งโหย่ง เพราะมัวแต่ยืนเหม่อชมวิวทิวทัศน์
“เย็นนี้จะกินอะไรกันดีละ”
“ปลาย่างก็พอมีอยู่แต่ไม่มากนัก ก็พอทำกินได้อีกสักมื้อ”พรานพรร้องบอก ก่อนจะรื้อห่อปลาย่างขึ้นมาจากกองสัมภาระ แต่ไม่ทันที่ใครจะว่าอะไรต่อ ทุกคนก็ต้องตกใจเมื่อได้ยินเสียงเจ้าพะเปรียวเห่า เหมือนมันกำลังไล่อะไรบางอย่าง ติดตามมาด้วยเสียงดัง ตูม ของปืนลูกซอง
“อ่าว เฮ้ย ใครยิงอะไร”
“สงสัย ไอ้แปะล่ออะไรให้เข้าแล้ว”พรานพรโพร่งออกมา พรางยืนชะเง้อไปยังที่มาของเสียงปืน เพียงไม่กี่อึดใจก็เห็นพรานแปะเดินแบกวัดถุหรือสัตว์ชนิดใดชนิดหนึ่ง เลาะมาตามโขดหินเข้ามาใกล้
“โน่น แบบอะไรมาด้วย ตัวแดงเถือกเลย สงสัยจะเก้ง”
“ออกไปยังเห็นหลังอยู่ไวๆ ไม่ทันไรก็ได้ยิง เออดีแท้ๆ กำลังคิดอยู่เลยว่าจะทำอะไรกินดี”พรานพรร้องบอกด้วยความยินดี
“สัตว์เยอะจริงๆเลยน้า”
“หลังโขดหินใหญ่นั่น มีแต่ทางด่าน รอยตีน เก้ง กวาง หมูป่า ย่ำไว้เปรอะไปหมด”พรานแปะร้องบอก ก่อนจะโยนเก้งหม้อเขางามที่ยิงได้ลงพื้นดังตุบ
“พอดีฉันขึ้นไปยืนคุมเชิงอยู่บนก้อนหินใหญ่ขาวๆนั่น ดูไอ้สองคนนั้นเก็บฟืน”
“อยู่ไม่อยู่ ไอ้พะเปรียวก็วิ่งไล่เห่า ไอ้เก้งตัวนี้ก็โผล่ออกมาจากชายดง”พรานผู้ลั่นกระสุนร้องบอก
“โชคของเราแท้ๆ นี่ถ้าอยู่ป่าแถวบ้านเราคงเดินหากันเป็นวันๆกว่าจะได้กิน”
“เผลอๆไม่ได้ตัวด้วยซ้ำ”
“นี่ไม่ทันไร ก็ได้ตัวมากินกันแล้ว”พรานชราร้องบอกมาอีกคน หลังจากขนสัมภาระต่างๆขึ้นไปกองจัดเตรียมไว้บนพืนผ้าใบ
“สัตว์มันชุมยิ่งกว่ายุงเสียอีก”
“ว่าแต่ พี่แปะยิงปืนเสียงดังขนาดนี้ ไม่รู้จะดังพอให้ไอ้สิงห์ได้ยินหรือเปล่าก็ไม่รู้”คำพูดของเหน๋อทำให้ทุกคนฉุกคิดขึ้นมาอีกครั้ง
“ถ้ามันอยู่ใกล้ๆห่างเราไม่เกินกิโล ก็อาจจะได้ยินเสียงปืน”
“แต่แถวนี้ไม้ใหญ่มันเยอะ เสียงปืนมันก้องไปทั่ว แถมเสียงน้ำตามแก่งหินมันก็ดัง ข้าว่ามันจะกลบเสียงปืนไปเสียหมด” พรานพรตอบออกมาอย่างมีเหตุผล เพราะสถานที่และภูมิประเทศมันเป็นไปตามที่พรานพรพูดมา
“ทำไมเราไม่ลองยิงปืนเรียกมันดูสักนัดสองนัดละน้าเบ”
“อย่างน้อยๆถ้ามันอยู่ใกล้เรา มันอาจจะได้ยิน”เหน๋อกล่าวออกมาอย่างใช้ความคิด
“ลองดูสักนัดก็ได้ไอ้เบ”
“ใช้อีแก๊ปก็ได้ จะได้ไม่ต้องเปลืองลูกปืนลูกซอง ของยิ่งหายากๆอยู่”พรานชราเสนอความคิด
“เอาอย่างงั้นก็เอา”
“ลองดูสักนัดสองนัด”พูดจบพรานนำทางก็คว้าปืนแก๊ปของพรานโส่ยขึ้นมาเล็งปากกระบอกปืนขึ้นฟ้า จากนั้นก็เหนี่ยวไกลั่นกระสุนดังตูมสนั่น เสียงปืนดังก่องป่าไปทั่วบริเวณ เพียงไม่กี่อึดใจก็ค่อยๆเงียบหายไป
“มาไอ้เบ ส่งปืนมาให้ข้า เดี๋ยวข้าจะอัดลูกให้ใหม่”
“ดี ที่ยังยิงออก ข้าคิดว่ามันจะด้านเสียแล้ว”พรานโส่ยพูดจบ ก็รับปืนแก๊ปคู่กายของแกขึ้นมาบรรจุดินปืนใหม่อีกครั้ง หลังจากใช้แซ่เหล็กกระทุ่งอัดดินปืนและหมอนใยมะพร้าวอยู่ครู่ เพราะเป็นการยิงเรียก เน้นเฉพาะเสียง แกเลยไม่บรรจุลูกตะกั่วให้เปลืองโดยใช่เหตุ ไม่นานนักเสียงดัง ตูม ติดตามมาด้วยเสียงดัง ซ่า ไล่ไปตามแนวป่าก็ดังขึ้นอีกครั้ง และครั้งนี้ก็ไม่ต่างจากครั้งแรกที่ผ่านมา
“เสียเวลาเปล่า”
“น่าจะไม่ได้ผล แต่ก็เอาเถอะ ก่อนค่ำค่อยลองใหม่อีกสักทีสองที”พรานเบร้องบอก ก่อนจะส่งปืนแก๊ปคืนเจ้าของ
“เดี๋ยวข้าจะออกไปเดินดูอะไรแถวนี้หน่อย”
“อยู่ทางนี้ก็จัดแจงหุงข้างหุงปลาไว้ให้เรียบร้อย ถ้าหิวก็กินกันไปก่อนไม่ต้องรอ”พรานนำทางพูดจบก็สะพายปืนเดินหายเข้าไปในหมู่หินใหญ่ริมน้ำ โดยมีเจ้าพะเปรียววิ่งเหยาะๆตามหลังไปติดๆ
“มาไอ้พร เอ็งกับข้ามาช่วยกันทำเก้ง”
“มืดค่ำจะลำบากกัน ไอ้เหน๋อเอ็งก็เตรียมหุงข้าว โน่นไอ้สองตัวนั่นแบกฟืนมากันแล้ว”พรานเฒ่าพูดจบก็พยักหน้าส่งสัญญาณเรียกพรานพร จากนั้นก็ช่วยกันลากเก้งหม้อตัวเขื่องลงไปชำแหละที่ริมน้ำ ส่วนเจ้าเหน๋อก็รีบจัดแจงเตรียมหม้อข้าวหม้อแกงอยู่กับพรานแปะ
กองไฟกองใหญ่ถูกจุดสุมขึ้นมาอย่างรวดเร็ว มันอยู่ห่างออกไปจากปางพัก เหนือขึ้นไปทางแนวป่าเกือบสิบวา ส่วนนี้พรานเบกำชับไว้กับเจ้าพุ่มและเจ้าเคิ้ง ที่เดินสวนทางกันมา ว่าให้ก่อไว้ใช้กั้นเป็นอาณาเขต เพื่อกันสัตว์ร้ายหรือภัยที่อาจจะมาในรูปแบบต่างๆ และต้องก่อทิ้งไว้ทั้งคืน ฟืนที่หามาจึงต้องมากเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรนัก เพราะบริเวณที่อยู่อุดมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ เด็กหนุ่มทั้งสองลงแรงไม่เท่าไหร่ก็ได้ฟืนแห้งท่อนเขื่องๆมาเป็นกองพะเนิน ส่วนอีกจุดให้ก่อไว้ใกล้ที่พัก แถวๆหลุมของโคนต้นไม้นั้น จุดนี้เอาไว้ใช้หุงหาอาหาร และไว้ผิงไฟในยามค่ำคืน
“โอโห้ ปลากระแหเพียบเลย”
“มีแต่ตัวใหญ่ๆทั้งนั่น”เหน๋อร้องบอก เมื่อมองเห็นฝูงปลากระแหจำนวนมาก ที่พากันมารุมกินเศษเครื่องใน บริเวณที่พรานโส่ยและพรานพรนั่งชำแหละเก้งอยู่ บางส่วนก็ไล่ตอดเศษเครื่องในที่ลอยไปตามกระแสน้ำ เสียงดัง จุ๊บ จั๊บ ราวกับปลาตามบ่อเลี้ยงหรือตามสวนสาธารณะที่ไล่แย่งกินเศษขนมปังไม่มีผิด
“โน่นแถวๆโขดหินนั่น”
“ข้าฟันมาได้ตั้งหลายตัว มาแบบนี้เห็นทีจะไม่ต้องกลัวอดกันแล้ว”พรานโส่ยร้องบอก พรางบุ้ยปากไปทางหมู่หินริมตลิ่ง ที่มีปลากระแหดิ้นกระแด่วๆ อยู่หกเจ็ดตัว แต่ละตัวขนาดเท่าฝ่ามือกางๆ นอกจากปลากระแหที่พรานชราใช้มีดฟันขึ้นมาได้แล้ว พรานพรยังใช้มีดฟันปลาตะพากขึ้นมาอีกสามตัว แต่ละตัวขนาดเขื่องพอๆกัน
“เอ๊า ไอ้เหน๋อ เอ็งลงมาเอาขาเก้งไปย่างทิ้งไว้ก่อน”
“ท่าเกลือเสียหน่อยก็ดีเหมือนกัน”พรานพรร้องเรียกเจ้าเหน๋อ ซึ่งตอนนี้กำลังกรอกข้าวสารลงหม้อสนามสองใบ
“ส่วนเอ็งสองคนช่วยไปตัดไม้สดให้ข้าทำร้านย่างเนื้อ”
“เอาต้นไคร้น้ำก็ได้เลือกต้นใหญ่ๆหน่อย แถวนี้ไม้เล็กหายากจริงๆ”พรานแปะหันไปร้องบอกกะเหรี่ยงหนุ่มสองคน ที่กำลังช่วยกันปัดกวาดจัดเตรียมพื้นที่ให้โล่งเตียนน่าอยู่
ร้านย่างเนื้อถูกสร้างขึ้นมาอย่างรวกๆแต่ก็ดูแข็งแรง ไม่นานเนื้อขาหลังติดสะโพกทั้งสองข้าง ก็ถูกขึ้นไปอยู่บนร้านย่าง เพื่อให้ความเค็มของเกลือเข้าได้ทั่วถึง เนื้อส่วนไหนที่หนา พรานโส่ยก็ใช้มีดเหน็บกรีดบั้งไว้เป็นริ้วๆ นอกจากขาหลัง และเนื้อเก้งบ้างส่วนที่ถูกขึ้นย่างไฟ บนร้านย่างเนื้อยังมีปลากระแหและปลาตะพากรวมอยู่ด้วย แต่ละตัวถูกผ่าหลังแบะออกมาทั้งเกล็ด ส่วนนี้พรานโส่ยจะแยกเก็บไว้เป็นเสบียงแห้งในยามจำเป็น เพราะไม่อาจคาดเดาได้ว่า เส้นทางเบื้องหน้าจะเป็นเช่นไรต่อจากนี้
นอกจากด้านบนของร้านย่างเนื้อที่มีเนื้อเก้งและปลาย่างอยู่เต็มร้าน ด้านล่างร้านย่างยังมีราวไม้แขวนหม้อสนามอีกสองใบ ซึ่งตอนนี้ภายในกำลังเดือดปุดๆ โดยมีเนื้อเก้งทาพริกเกลือย่างเสียบไม้อีกหลายไม้วางอิงพาดไว้อยู่กับราว บางไม้มีเนื้อติดมันปนอยู่ด้วย พอโดนความร้อนไขมันที่แซกอยู่ในเนื้อก็ไหลหยดลงกองไฟดังฉ่า ส่งควันและกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย ใกล้ๆกันบนเส้าหินทั้งสามก้อน ก็มีหม้อต้มเนื้อเก้งและเครื่องใน น้ำในหม้อกำลังเดือดพล่าน ข่า ตะไคร้ และหัวหอมส่งกลิ่นหอมฉุยน่ากิน ทำให้หลายคนแอบกลืนน้ำลายด้วยความหิวไปหลายอึก
“เจ้าป่าเจ้าเขา ท่านยังเมตตา”
“ดูสิ มาลำบากลำบนแบบนี้ ยังไม่อดเลย”พรานชราร้องออกมาดังๆ ก่อนจะยกหม้อสนามออกจากราวที่แขวนไว้ พร้อมเนื้อเก้งย่าง ที่สุกส่งกลิ่นหอม
“สา..ธุ”
“เจ้าป่าเจ้าเขา ผีป่า ผีเรือน เทวดา นางไม้ ขออย่าให้ไอ้สิงห์มันเป็นอะไรไปเลย”เจ้าเหน๋อสหายเกลอพูดพร้อมพนมมือไหว้ท้วมหัว ก่อนจะพูดดังๆขึ้นมาอีกว่า
“ถ้าได้พบไอ้สิงห์อีกครั้ง แล้วพากันรอดกลับออกไปได้”
“ลูกช้างจะเลิกจับปืนตลอดชีวิต เพี๊ยง”เหน๋อกล่าวจบก็ก้มลงกราบพื้นดิน แต่ยังไม่ทันจะเงยหน้าขึ้น ทุกคนในปางพักก็ต้องสะดุ้ง เพราะเสียง อ้าว มาจากชายดงทึบพร้อมๆกับเสียงปืนดังตูมสนั่นป่า มันดังมาจากทิศทางเดียวกันกับเส้นทางที่ พรานนำทางขอออกไปเดินสำรวจ
“เสือ!”
“ไอ้เบ ล่อเสือเข้าให้แล้ว”พรานพรร้องระล่ำระลัก
“ตูมมม..ซ่า...”
“เฮ้ย ไม่ได้การณ์แล้ว รีบไปดูมันเร็ว!”
“ไอ้แปะ เอ็งก็ข้า ไปด้วยกัน ที่เหลือเฝ้าแคมป์กันอยู่ที่นี้ อย่าออกไปไหนเด็ดขาด”พรานพรร้องเสียงเอ็ด ก่อนจะคว้าปืนลุกซองที่พาดอิงไว้ข้างปางพัก แล้ววิ่งกรูกันไปตามทิศทางของเสียงปืน
“โอ้ย จะอยู่กันได้ไหมนี่”
“เกิดมาก็เพิ่งจะเคยเจอนี่แหละ ป่ามันแรงจริงๆให้ตายเถอะ”เหน๋อร้องบอกเสียงสั่น
“เราจะเอายังไงกันดีพ่อ”
“ป่านี้ท่าทางจะดุน่าดู”เจ้าเคิ้งร้องถามพรานโส่ย
“เร็ว พวกเราอย่ามัวแต่ขวัญเสีย”
“มาช่วยกันสุมไฟให้กองใหญ่กว่าเดิม โน่นไอ้พุ่ม เอ็งกับไอ้เหน๋อ ไปช่วยกันลากฟืนไปสุมเพิ่มตรงนั้นอีกกอง แถวๆตอไม้นั้น ก่อสุมตอไปเลย อย่ามัวชักช้า”พรานโส่ยร้องบอกเสียงหลง
*****พรานเบจะเป็นอันตรายหรือไม่ คณะติดตาม จะพบกับเรื่องร้ายๆอีกหรือไม่ โปรดติดตามในบทที่ 14*****
ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภันมา ณ ที่นี้ด้วยครับ