ภาพที่ 1
บทที่ 13
ตอนที่ 2
เส้นทางที่คดเคี้ยวลัดเลาะไปตามสายน้ำ จากที่เคยสัญจรได้อย่างสะดวกสบาย บัดนี้เริ่มรกแต็มไปด้วยไม้พุ่มชนิดต่างๆ บางช่วงก็เป็นดงบอนสลับกันกับดงเฟิร์นที่สูงท่วมหัว บางตอนก็มีแต่ดงหญ้าและเถาวัลย์ที่ขึ้นจนรกแทบมองไม่เห็นเส้นทาง รวมทั้งตลิ่งริมน้ำ ก็เริ่มสูงชันขึ้นเป็นลำดับ ครั้นจะเดินเลาะหลีกหลบให้ชิดลำน้ำ พื้นกรวดหินที่เคยเดินสะดวกเมื่อครั้งก่อน มาตอนนี้ก็มีแต่โคลนตมทำให้ทุลักทุเล เพราะแต่ละก้าวต้องออกแรงฉุดตัวเองจากหล่มโคลนที่ลึกเกินหน้าแข้ง กว่าจะผ่านมาได้แต่ละช่วงแต่ละตอน เล่นเอาชายหนุ่มถึงกับยืนหอบจนตัวโยก บ่อยครั้งที่คิดจะเปลี่ยนใช้เส้นทางบก แต่ก็ต้องล้มเลิกความตั้งใจ เพราะมองไปทางไหนก็มีแต่ดงรกทึบ แหวกเดินเข้าไปได้ไม่กินสิบวา ก็ต้องถอยกับมาตั้งหลักที่เดิม
เกือบสองชั่วโมง ที่ชายหนุ่มใช้เส้นทางนี้ด้วยความทุลักทุเล จนเนื้อตัวมอมแมมเปรอะเปื้อนไปด้วยดินโคลน โดยเจ้าตัวก็ไม่คิดที่จะชำระล้างทำความสะอาด เพราะล้างตอนนี้ก็ต้องเดินลุยโคลนไปเช่นเดิน หนักเขาก็ปล่อยให้มันเละอยู่อย่างนั้น ดูแล้วหมดสภาพความเป็นผู้เป็นคน จนเส้นทางนั้นมาสิ้นสุดลงที่ดงกกอันกว้างใหญ่ ที่ขึ้นขวางเส้นทาง มองไปทางไหนก็มีแต่ต้นกกขึ้นจนรกทึบไปหมด โดยมีหน้าผาสูงตั้งฉากเป็นกำแพงอยู่เบื้องหลัง เปรียบเสมือนปราการกั้นขวางอีกชั้นหนึ่ง ลักษณะโค้งโอบรับเป็นรูปปีกกา ขนาบไปกับภูเขาและป่าทึบฝั่งตรงข้าม ซึ่งมีแม่น้ำสายนั้นกั้นกลาง เหมือนแบ่งกั้นอาณาเขตของกันและกันไว้ โดยมีส่วนที่อยู่ชิดกันมากที่สุด ที่มองเห็นอยู่ลิบๆ ลักษณะเหมือนคอขวด ถ้ามองด้วยสายตาก็พอจะกะได้ว่า มันห่างกันไม่เกินยี่สิบวา
ชายหนุ่มค่อยๆลัดเลาะไปตามเส้นทางที่บีบบังคับไว้ ซึ่งเขาพยายามเดินเลาะเลียบชิดริมตลิ่งให้มากที่สุด เพราะระดับน้ำบริเวณนั้น ส่อแววว่าทำท่าจะลึกลงไปเลื่อยๆ บางช่วงก็ลึกระดับหน้าอก จนต้องถอดเป้ขึ้นมาเทินไว้บนหัว บ่อยครั้งก็ต้องสำลักน้ำจนหูตาเหลือก เพราะตกหลุม หรือไม่ก็เดินสะดุดเอากับตอไม้ใต้น้ำ จนทำให้เสียหลักหน้าคะมำ แต่ก็ยังมีสติพอที่จะประคองเป้หลังไม่ให้เปียกน้ำได้ ลักษณะบริเวณเวิ้งน้ำก็ดูไม่ค่อยน่าไว้วางใจ ทั้งด้วยความลึกจนมองดูเขียวไปหมด แถมยังดูวังเวงไม่ชอบมาพากล บางครั้งก็ต้องสะดุ้งเพราะเสียงของน้ำที่แตกดังซู่ซ่าอยู่ในดงกกนั้น แต่ก็ไม่สามารถตอบได้ว่า อะไรชนิดใด ทำให้น้ำไหวกระเพื่อมได้ขนาดนี้
ชายหนุ่มยืนพิเคราะห์สถานที่อยู่เพลินๆก็ต้องสะดุ้งสุดตัว เพราะเสียงป่าแตกดังโครมครามมาจากชายดงทึบ มันดังไล่มาจนถึงป่ากกที่ขึ้นอยู่ชายตลิ่ง จนดูไหววูบมาเป็นทาง พร้อมๆกับเสียงขู่กรรโชกของสัตว์ป่าชนิดหนึ่ง มันดังสับสนไปหมด และดูทีท่าว่าจะใกล้เข้ามายังตำแหน่งของเขาเป็นลำดับ เมื่อสถานการณ์ดูไม่น่าไว้วางใจ ชายหนุ่มจึงต้องมองหาลู่ทางและชัยภูมิที่ได้เปรียบ เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมา สอนให้เขาได้ตระหนัก เพราะไม่รู้ว่าสิ่งที่จะต้องเผชิญอยู่นั้นเป็นเช่นไร จะเป็นภัยอันตราแก่ตัวเองหรือไม่ก็ไม่อาจคาดเดาได้ เมื่อกวาดตาไปโดยรอบ ก็ประจวบเหมาะที่เห็นต้นไทรใหญ่ต้นหนึ่งที่ขึ้นอยู่บนเนินเดินใกล้ๆ กะความสูงด้วยสายตาก็น่าจะไม่ต่ำกว่าสิบวา จึงค่อยๆไต่ขึ้นไปบนตลิ่ง เพื่อจะลองสังเกตุเหตุการณ์เบื้องหน้า แต่ก็ไม่อาจสังเกตุอะไรได้ถนัดนัก เพราะป่ากกสูงท่วมหัวบดบัง เห็นแต่ยอดของมันไหวๆเท่านั้น ด้วยความสงสัยอยากรู้จึงปีนต้นไทรใหญ่เพื่อสังเกตุการณ์ เพราะสถานการณ์ไม่น่าไว้ใจ อยู่บนต้นไม้ย่อมดีกว่าอยู่บนพื้นดิน ความสูงของต้นไทรทำให้เขาได้รู้ว่า เสียงที่ได้ยิน คือเสียงขู่ของหมาใน เกือบสิบตัว พว กมันพากันล้อมหน้าล้อมหลังไล่ต้อนเจ้ากวางหนุ่ม ซึ่งตอนนี้กระเสือ กกระสนหนีเอาชีวิตรอดเขาไปจนมุม ลอยคอแช่น้ำอยู่ในดงกกนั้น จะด้วยระดับน้ำที่ลึก หรือหมาในพวกนั้นไม่กล้าลงน้ำก็ไม่อาจทราบได้ ทำให้พว กมันได้แต่วนเวียน วิ่งพล่านกันไปมาอยู่แบบนั้น ส่วนเจ้ากวางหนุ่มก็หนีไปไหนไม่ได้เช่นกัน เพราะติดดงกกที่ขึ้นอยู่หนาทึบ จะขึ้นก็ไม่ได้ จะถอยก็ไม่ได้ ทำได้แต่ลอยคอแช่น้ำอยู่แบบนั้น แต่ทันใดนั้นเอง สิ่งที่ชายหนุ่มต้องตกใจสุดขีด ชนิดที่ว่าเย็นไปถึงสันหลังก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า เมื่อเขาเหลือบไปเห็นอะไรชนิดหนึ่งค่อยๆโผล่ขึ้นมาจากวังน้ำนั้น
“ฮึย!....ไ อ้เ ข้”ชายหนุ่มอุทาน
ส่วนหัวอันใหญ่โตของจระเข้ ค่อยๆลอยโผล่ เข้าไปใกล้เจ้ากวางหนุ่มจากทางด้านหลัง เพียงเสี้ยววินาที เสียงหุบน้ำดังตูมสนั่น เหมือนใครขับรถปิคอัพเสียหลักพุ่งลงน้ำ เขาเห็นถนัดชัดเจนที่สุดว่ามันคาบกวางหนุ่มไว้กลางตัว จนน้ำสาดกระเซ็นไปทั่ว ก่อนที่มันจะม้วนพลิกตัวหมุนเป็นเกลียว จนป่ากกหักลู่ไปเป็นแถบ เศษเนื้อและคราบเลือดกระจัดกระจายไปทั่ว มันกระเซ็นไปถึงตำแหน่งที่ชายหนุ่มเฝ้ามองอยู่ บนต้นไทรด้วยใจระทึก พร้อมๆกับร่างของเจ้ากวางหนุ่มก็หายวูบเข้าไปในดงกก เหลือไว้เพียงแรงกระเพื่อมของวังน้ำและคราบเลือดสีแดงจางๆ ที่โคต รไอ้ เข้ฝากไว้ให้เขาดู ส่วนไ อ้พ วกหมาใน ไม่ต้องพูดถึง พว กมันพากันตกใจวิ่งพล่านหายเข้าไปในดงทึบ ปล่อยไว้แต่ชายหนุ่ม ที่ตอนนี้มือเท้าช้าไปหมด แทบจะเป็นลม เสียสติ เพราะสิ่งที่เห็นอยู่ไม่กี่อึดใจที่ผ่านมา มันเป็นเหตุการณ์สยองขวัญ ยิ่งกว่าเจอพวกฝูงค้างคาวผีไปสิบเท่า ใครจะเชื่อว่าจระเข้ที่เขาเห็นมันจะใหญ่โตขนาดนั้น เล่าให้ใครฝังก็คงไม่มีใครเชื่อ อย่าว่าแต่กวางหนุ่มเคราะห์ร้ายตัวนั้นเลยที่มันคาบทีเดียวหายไปต่อหนาต่อตา ต่อให้มีช้างสักตัวมันคงจะลากลงน้ำไปกินได้ง่ายๆ คิดแล้วก็เสียวสันหลังวาบ เมื่อนึกไปถึงตอนที่ตัวเองลงไปแช่น้ำเมื่อสักครู่ เดชะบุญขนาดไหน ที่ทำให้เขาไหวตัวขึ้นมาจากวังน้ำมฤตยูแห่งนั้น ถ้าเขาคิดช้าไปสักนิดก็คงไม่ต่างจากลูกเขียดตัวเล็กๆที่โดนปลาชะโดฮุบเอาไปกินเป็นของหวานเป็นแน่แท้
เกือบชั่วโมงที่ชายหนุ่มแขวนเติ่งตัวเองให้ติดอยู่บนต้นไทรต้นนั้น เหมือนร่างกายไม่มีความรู้สึก เพราะทุกส่วนมันชาไปหมด ราวกับถูกสะกดจิตไว้ กว่าจะรู้สึกตัวก็บ่ายคล้อยลงไปมาก เมื่อรวบรวมสติได้ ก็ค่อยๆไต่ลงมาอย่างระมัดระวัง โดยไม่ละสายตาไปจากคุ้งน้ำบริเวณนั้นเลย ก่อนจะค่อยๆหย่อนเท้าแตะลงพื้น จนตัวเองมายืนอยู่เต็มสองเท้า เพราะได้ขึ้นไปอยู่บนนั้นอยู่นาน จึงมีโอกาสได้เห็นช่องทางการหลบหลีก ชายหนุ่มค่อยๆเดินเลาะไปตามชายดง โดยเว้นระยะห่างจากริมตลิ่งออกไปพอสมควร อันด้วยยังหวาดระแวงกับเหตุการร์สยองที่เพิ่งจะเกิดขึ้นไปไม่นานนี้ ชนิดที่ว่ากลิ่นคาวเลือดยังคละคลุ้งอยู่ทั่วบริเวณ บงบอกว่าที่ผ่านมาเขาไม่ได้ฝันไป
จากลุยน้ำลุยโคลน มาจนตอนนี้ต้องมาเดินลุยป่า ทั้งดงหนาป่าทึบที่ต้องก้าวผ่าน ทุกย่างก้าวเต็มไปด้วยความระแวกระวังภัยสุดขีด เพราะไม่อาจไว้วางใจได้ทั้งนั้น ทั้งโพรงไม้ โพรงหิน หรือแม้แต่ซุ้มไม้ ถ้าดูแล้วไม่น่าไว้ใจ เขาก็จะเลี่ยง หรือถ้าจำเป็นไม่อาจจะเลี่ยงได้ ก็หักไม้ขว้างหินทำให้เกิดเสียงดังเข้าไว้ เผื่อว่าจะมีสัตว์อะไรวิ่งส่วนออกมา จะได้หลบหลีกได้ทันท่วนที กว่าจะเจอที่โล่งโปร่งสบาย เดินได้อย่างสะดวก เนื้อตัวก็ถลอกได้เลือดไปไม่น้อย เพราะต้องมุดลอดผ่านซุ้มไม้หนามหลายที่ บางแผลก็โดนพวกคมหญ้าแฝกบาด เนื้อตัวมอมแมมจนดูสารรูปตัวเองไม่ได้ จนมาถึงลานหินกว้างติดหน้าผาหินตอนหนึ่ง ลักษณะเป็นเวิ่งเข้าไปเป็นถ้ำตื้นๆ ปากทางกว้างไม่เกินช่วงแขน ลึกเข้าไปไม่ถึงสามวา แต่ก็กว้างพอที่ให้เขาเข้าไปหลบอาศัยได้อย่างไม่อึดอัดนัก
เมื่อเดินสำรวจดูแล้วเห็นว่าปลอดภัย ก็จัดแจงวางแผนการพักแรมในคืนนี้ โชคดีที่ภายในนั้นมีแอ่งน้ำเล็กๆ ที่เกิดจากตาน้ำที่ไหลซึมออกมาจากแนวผาหินนั้น มากพอที่จะใช้ดื่มกิน และล้างหน้าล้างตาได้อย่างสบาย กว่าจะจัดการตัวเองให้ดูดีขึ้นมาอีกครั้ง ก็บ่ายคล้อยลงไปทุกขณะ ป่าใหญ่ดงทึบเช่นนี้ แค่ช่วงบ่าย บรรยากาศก็เย็นยะเยือก ยิ่งมีไม้ใหญ่ขึ้นหนาทึบจนแทบจะมองไม่เห็นตะวัน ก็ยิ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบดูมืดครึ้มลงไปอีก เพราะต้นไม้เยอะ ฟืนแห้งจึงหาได้ง่ายไฟกองใหญ่จึงถูกจุดสุมขึ้นมาอย่างง่ายดาย อย่างน้อยๆก็ทำให้รู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยขึ้นกว่าเดิม
ช่วงเวลาที่ชายหนุ่มกำลังสาละวนอยู่กับสถานที่พักแรมนั้นเอง อีกฟากหนึ่งของดงทึบ แพไม้ไผ่ทั้งสองลำ กำลังแล่นเคียงคู่กันมาตามสายน้ำเอื่อยๆนั้น นอกจากวิกฤตของสายน้ำวน ที่ทั้งหมดได้เผชิญมาแล้ว ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานี้ ไม่พบกับสิ่งอันตรายใดๆ นอกจากบางครั้งต้องผ่านตามโตรกหรือแก่งหินที่มีน้ำไหลเชี่ยว แต่ก็ไม่ทำให้เป็นอุปสรรคในการเดินทาง เพราะแต่ละคนเริ่มมีความชำนาญขึ้นเรื่อยๆ และโดยการนำทางของพรานเบ ที่เลือกถ่อแพไปยังบริเวณที่น้ำไม่ลึกนัก อย่างมากลึกไม่เกินอก ตื้นพอที่จะมองเห็นพื้นกรวดหินด้านล่างได้ ช่วงไหนที่ลึกจนมองไม่เห็น ก็เลี่ยงเบี่ยงเข้าใกล้ริมตลิ่งเข้าไว้ เผื่อเกิดเหตุฉุกเฉินอะไรจะได้ไม่เป็นอันตรายต่อทีมค้นหา บ่อยครั้งที่ลูกทีมร้องทัดทานให้เปลี่ยนมาเดินสำรวจ แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะพรานนำทางให้เหตุผลที่ว่า ใช้วิธีสำรวจเช่นนี้ดีที่สุด เพราะไม่ต้องเสียวเวลาลุยดงทึบ
“ไอ้สิงห์มันจะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้”
“นี่เราก็ล่องแพกันมาจนจะบ่ายอยู่แล้ว ยังไม่เห็นมันเลย”พรานพรร้องบอก พรานเบ
“แถวนี้ไม่เจอ”
“เราก็ต้องตามหามันไปเรื่อยๆแบบนี้แหละ”พรานเบร้องตอบ
“ไม่รู้จะไปยันไหน”
“ฉันชักใจคอไม่ดีแล้วสิน้า”เจ้าพุ่มร้องบอก จากนั้นก็ใช้ผ้าขาวม้าชุบน้ำขึ้นมาเช็ดหน้าเช็ดตา
“ตราบใดที่เรายังไม่เจอรอยมัน”
“เราก็ต้องตามจนกว่าจะเจอ ช่วยๆกันดูทั้งสองฝั่งละกัน อย่าให้คลาดสายตา”พรานเบพูดจบก็ดันไม้ถ่อลงน้ำดังพรวด
“ไอ้เบโว้ย...”
“บ่ายกว่าจนจะเย็นอยู่แล้ว ข้าว่าเตรียมหาที่พักกันดีกว่า”พรานโส่ยร้องบอก มาจากแพที่ลอยขนาบตีคู่กันมาจากทางฝั่งซ้ายมือของลำน้ำ โดยทั้งสองลำมีระยะห่างกันเกือบสามสิบวา
“พ้นโค้งน้ำไปอีกหน่อย”
“ข้าคิดอยู่ว่าจะหาที่พักแถวนั้นก่อน แถวนี้ตลิ่งมันชัน แถมรกด้วย แกไม่เห็นหรือไง”
“โน่น ทางโน่น น้ำมันเริ่มตื้นขึ้นเรื่อยๆ ข้าว่าเลยโค้งไปน่าจะเป็นหาด คงจะหาที่พักกันได้”พรานนำทางร้องบอก
“ป่าแถวนั้นมันก็ดูทึบๆอยู่หน่า”
“แถวนี้ยังดูโล่งกว่าอีก”พรานโส่ยตอบ จากนั้นก็จุดไม้ขีดแล้วค่อยๆใช้มือป้องเปลวไฟขึ้นมาจอที่บุหรี่ยาเส้นของแกอย่างบรรจง
“เชื่อน้าเบเข้าเถอะตาโส่ย”
“แถวนี้รกจะตาย ไม่มีที่ให้ตั้งแคมป์หรอก ป่าก็ดูน่ากลัว วงน้ำแถวนี้ก็ลึกดูชอบกลยังไงไม่รู้”เหน๋อกระซิบบอก
“อย่าไปกลัวอะไรมากเลยไอ้เหน๋อ”
“ขืนมีอะไรโผล่มา พ่อจะยิงให้หัวแบะเลย”พรานโส่ยพูดวางมาดท่าทางขึงขัง ก่อนจะสูบบุหรี่ใบตองแห้งจนแก้มตอบ แต่ไม่ทันตาพรานเฒ่าจะพ่นควันออกมา ก็มีเสียงพรวดพราด แหวกกอหญ้าแล้วมาจากชายฝั่ง แล้วสัตว์เลื้อยคลานขนาดเขื่องชนิดหนึ่ง ก็กระโจนลงน้ำดังตูม เล่นเอาตาพรานเฒ่าคนพูดตกใจล้มหงายท้องขาชี้ฟ้า ส่วนคนอื่นๆก็พากันคว้าปืนคู่มือมาถือไว้แน่น แต่พอเห็นสัตว์บางชนิดโผล่น้ำขึ้นมาก็พอกันหัวเราะ
“โถ่...ตัวเหี้ ยนี่เอง”
“เล่นเอาเสียเส้น ตาโส่ยก็ทำเป็นตาขาวไปได้ ตะกี้ยังคุยอยู่เลยว่าอะไรโผล่มาจะยิงให้หัวแบะ”พรานแปะพูดจบ ก็ตวัดปืนคู่ใจที่กระชับอยู่ในท่าเตรียมขึ้นบ่าเช่นเดิม
“มันคงจะตกใจเสียงตาโส่ย ที่ขี้ โ ม้เสียงดังไปหน่อย”
“ดีนะที่เป็นแค่ตัวเหี้ ย ถ้าเป็นไอ้ตัวที่ข้าเคยเจอรอยมันนะ ป่านนี้ตาโส่ยคงเหลือแต่ชื่อ”พรานพรร้องบอก พรางหัวเราะชอบใจ
“เอ็งก็ทำเป็นพูดไป ไอ้พร”
“อยู่ในป่าดิบเถื่อนแบบนี้ พูดถึงมันบ่อยๆเดี๋ยวพวกก็ออกมาให้เจอจริงๆ”พรานเฒ่าขี้โ ม้พูดจบ ก็โยนมวนยาเส้นลงน้ำ
“ดูท่าทางมันก็ไม่ค่อยจะกลัวคนจริงๆ”
“สงสัยจะไม่เคยเห็นคน”เจ้าพุ่มเสวนาตอบ พูดจบก็ลดนกของปืนแก๊บลงเช่นเดิม
“สัตว์มันชุมจริงๆ ผักป่าก็มีหลายอย่างให้กิน ไม่ต้องกลัวอด”
“ต่อให้ข้าวสารหมดก็เถอะ”พรานแปะที่ถ่อแพอยู่ด้านท้ายร้องบอก
“ลำพังพวกเรามันเอาตัวรอดสบายอยู่แล้ว ปืนผาหน้าไม้ก็มีกันครบทุกคน”
“แต่ไอ้สิงห์นี่สิ ข้าหละหนักใจจริงๆ ปืนก็ไม่มีติดตัว มีดเราก็เพิ่งเก็บของมันมาได้อยู่นี่ ไม่รู้ว่ามันจะมีอะไรติดตัวไปบ้างหรือเปล่า”
“ถ้ามีปืนติดไปด้วยก็ยังว่าอยู่”พรานเบพูดอย่างเป็นกังวล
“ข้าว่ามันต้องเอาตัวรอดได้ อย่างน้อยๆก็เคยเที่ยวป่ากับเราบ่อยๆ”
“วิชาพราน มันก็คงมีติดตัวไปบ้างแหละ คนมีความรู้แบบมัน ข้าว่ามันคงคิดหาทางรอดจนได้”
“แต่ถ้า...เอ่อ..ถ้ามัน..”พรานพรพูดออกมาได้แค่นั้นก็ถอนหายใจออกมาดังเฮือกใหญ่
“มันต้องรอด มันต้องไม่เป็นอะไรสิวะ เอ็งก็อย่าปากเสียไปแช่งมันไอ้พร”
“ไอ้สิงห์มันดวงแข็ง”พรานโส่ยโพร่งออกมา
“มันก็น่าคิดอยู่หน่า ตาโส่ย”
“ล่องแพมาจะหมดวันแล้ว ยังไม่เจอรอยมันเลย”พรานพรพูดออกมาอย่างคนท้อแท้
“ตราบใดที่เรายังไม่เจอมัน เราก็ต้องตามหามันให้เจอ”
“ไม่ว่าจะเจอสภาพใดก็ตาม เราก็จะไม่หยุดตามหามัน”พรานนำทางพูดตอบ ก่อนจะอัดบุหรี่ใบตองแห้งจนแก้มตอบ
“เราคงไม่มากันผิดทางนะ น้าเบ”
“ฉันนี่สังหรณ์ใจยังไงไม่รู้”เหน๋อร้องบอก
“เชื่อฝีมือพ่อผมเถอะพี่”
“ถึงจะขี้ โ ม้ไปหน่อย แต่แกก็ศิษย์มีครู”เจ้าเคิ้งเสวนาบ้างหลังจากเงียบอยู่นาน
ดวงตะวันบ่ายคล้อยลงไปเกือบจะลับทิวเขา แสงแดดที่เคยสาดส่องราดรดผิวกายจนแสบแทบไหม้ เมื่อตอนดวงตะวันตรงหัว มาตอนนี้เริ่มส่อแววว่าจะเย็นยะเยือกลงทุกขณะ เพราะยิ่งคณะเดินทางล่วงล้ำเข้าไปในเขตดงทึบมากเท่าไหร่ ความมืดครึ้มของหมู่ไม้พรรณต่างๆ ก็ยิ่งหนาทึบมากตามไปด้วย ตลอดทั้งสองฝั่งสายน้ำที่แพทั้งสองลำล่องผ่าน มีแต่พรรณไม้ใหญ่ขึ้นอยู่หนาแน่น แต่ละต้นใหญ่โตชนิดที่ว่าไม่เคยพบเห็นที่ไหนมาก่อน บางชนิดก็มีรูปร่างประหลาด เพราะรูปทรงดูบิดๆเบี้ยวๆผิดรูป แถมยังมีพืชจำพวกเฟิร์นหรือไม่ก็พืชจำพวกเคราฤาษีขึ้นเกาะปกคลุมไปตามกิ่งก้านสาขาดูแปลกตา ต้นผึ้งหรือต้นยวนผึ้ง บางต้นก็สูงลิบลิ่ว แต่ละต้นมีรังผึ้งหลวงเกาะอยู่นับร้อยรัง ทำให้กะเหรี่ยงทั้งคณะพากันตื่นเต้นกับภาพที่พบเห็น
*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร คณะผู้ติดตาม จะพบกับกับบุคคลสูญหายหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป*****
ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ ขอบคุณทุกท่าน ที่ให้กำลังใจและ ติดตามผลงานมาโดยตลอด