บันทึกแห่งความตาย: SiamFishing : Thailand Fishing Community
<1234>
กระดาน
คห. 88 อ่าน 5,833 โหวต 10
บันทึกแห่งความตาย
คห.26: 18 มิ.ย. 65, 10:54
เราได้รับรสสัมผัสกับ[b]การเกิด[/b]แบบม
เราได้รับรสสัมผัสกับการเกิดแบบมีชีวิต การแก่ตัวเป็นเหตุให้ถูกเลิกจ้างได้ตามกฎหมายแรงงาน และ การเจ็บป่วยได้ไข้ ถึงขั้นต้องนอนโรงหมอตามธรรมดาของสังขารผ่านพ้นไปแล้ว ดังนั้น นับตั้งแต่ภาพนี้เป็นต้นไป ผมจะชวนไปดูภาพแห่ง “ความตาย” กันตามเจตนารมณ์ของบันทึก...ฉบับนี้   
คห.27: 18 มิ.ย. 65, 10:55
ภาพนี้ หลายคนอาจเคยเห็นบ่อยครั้ง เ
ภาพนี้ หลายคนอาจเคยเห็นบ่อยครั้ง เพราะเป็นคนไปจ่ายตลาด เดินผ่านเขียงหมู เห็นภาพนี้จนชินตา จึงไม่รู้สึกรู้สาอะไรเมื่อได้เห็น ส่วนอีกหลายคนเคยเห็นแต่แบบที่หั่นมาเป็นชิ้นๆ กลิ่นหอมเย้ายวนชวนชิม จัดวางเรียงอย่างสวยงามมาในจาน เสริฟพร้อมกับน้ำจิ้มรสเด็ด เคี้ยวกรุบๆกินแกล้มกับเบียร์เย็น ๆ อร่อยอย่าบอกใคร ดังนั้น ย่อมเป็นไปได้ที่เขาอาจจะไม่รู้สึกอะไรเมื่อได้เห็นภาพนี้ เพราะเขารับรู้ว่า ความตายที่วางอยู่ตรงหน้าเขานั้น...มันคือ “อาหาร” (ผู้ที่ปฏิบัติตนในวิถี “มังสวิรัติ” คงคิดเป็นอย่างอื่น) ดังนั้น ภาพแห่ง “ความตาย” ภาพนี้จึงไม่กระทบกับความรู้สึกทางอารมณ์เมื่อเขาได้พบเห็น ในทางกลับกัน ถ้าภาพแห่งความตายนี้ ถูกเปลี่ยนเป็นภาพอื่น เช่น หมา แมว ลิง ฯลฯ ที่ใจเราตั้งสมมุติฐานไม่ยอมรับว่ามันคือ “อาหาร” เราจะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อภาพแห่งความตายนั้นอย่างไร อะไรมันคือ “สิ่งเร้า” ที่กระตุ้นให้คิดอ่านเช่นว่านั้น แล้วไฉน...ใยคนที่บริโภคทั้งเนื้อหมา แมว และ/หรือ ลิง ฯลฯ จึงหาได้คิดเฉกเช่นว่านั้น เขาเป็นฝ่ายคิดผิด หรือว่าเราเป็นฝ่ายคิดถูก...อย่างงั้นหรือ?
คห.28: 18 มิ.ย. 65, 10:56
ย้ายเรื่องความตายในตลาด ขยับเข้ามา
ย้ายเรื่องความตายในตลาด ขยับเข้ามาภายในห้องครัวในบ้านเรากันบ้าง เชื่อได้ว่า ภาพนี้คงจะเป็นภาพที่คุ้นชินกับสายตาเรา ๆ กันมาก และเราเองก็อาจเคยผันตัวเองให้กลายเป็น “เพชรฆาต” หยิบยื่นความตายนี้ให้กับชีวิตของสัตว์น้ำประเภทนี้ด้วยเช่นกัน เมื่อมันถูกฆ้อนกระทบเข้าที่ศรีษะ เมื่อแน่นิ่งไม่ไหวติง ก็ถูกนำไปถอดเสื้อ(ขอดเกร็ด) เสร็จแล้วก็พาไปอาบน้ำ ขัดสีฉวีวรรณอย่างดี ก่อนบรรจงแล่หั่นร่างกายของมันออกเป็นชิ้นๆ ขั้นตอนต่อไป ก็หาหม้อขนาดกำลังพอเหมาะพอดีวางตั้งลงบนเตาไฟ เทน้ำสะอาดปริมาณพอเหมาะลงไป เมื่อน้ำเดือดก็นำเครื่องเคียงสมุนไพร ข่า ตะไคร้ กระเทียม หัวหอม มะเขือเทศ ใบมะกรูด มะนาว พริกขี้หนู อีกทั้ง เกลือหรือน้ำปลา เทคลุกเคล้าลงไปในน้ำเดือดๆ ครั้นเมื่อสมุนไพรคลุกเคล้าเข้ากันในน้ำเดือดจนได้ที่ ก็นำเอาซาก “ศพ” ที่แล่หั่นเป็นชิ้นๆเทลงไปในหม้อน้ำเดือด รอให้รสชาติของสมุนไพรคลุกเคล้าให้เข้ากับเนื้อศพจนสุก ก่อนตักเทชิ้นส่วนศพที่สุกของมันลงมาในถ้วยชาม โรยหน้าด้วยพริกแห้งคั่ว แล้วก็ขนานนามการกระทำเช่นนี้ว่า...“ต้มยำ”
คห.29: 18 มิ.ย. 65, 10:57
ในบางครั้งบางคราก็ผันตัวเองไต่ระด
ในบางครั้งบางคราก็ผันตัวเองไต่ระดับขยับขึ้นมาเป็น “ผู้ใช้ให้คนอื่นลงมือกระทำ(การฆ่า)” มูลเหตุจูงใจที่ต้องผันตัวเองไต่ระดับขยับขึ้นไปเป็น “ผู้ใช้” นั้น เกิดจาก 3 สาเหตุ หนึ่งคือ ความขี้เกียจล้างจานในวันหยุด สองคือ ไม่มีใครชวนไปตกปลาหรือยิงปืน จำต้องขังตัวเองนั่งดูทีวี อยู่เหย้าเฝ้าเรือน (ตามคำสั่งของคนไกล) และสามคือ ทำกับข้าวกับปลาไม่เป็น (เคยพยายามหลายครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จ) เมื่อความหิวเข้าครอบงำ ผมก็มักออกไปฝากท้องฝากใส้ไว้กับร้านประจำ เมื่อไปถึงก็จะบอกให้เจ้าของร้านนำเอา “ศพ” ของมันลงไปทอดในน้ำมันเดือด ๆ เมื่อเนื้อศพของมันเปลี่ยนจากสีขาว เริ่มกลายเป็นสีเหลือง นั่นก็แปลว่า เนื้อศพของมันนั้น สุกได้ที่แล้ว เมื่อศพได้กลายสภาพเป็นเช่นนั้น ก็ตักขึ้นมาใส่ไว้ในจานให้สะเด็ดน้ำมัน ก่อนโรยหน้าด้วยกระเทียมเจียว ตั้งชื่อให้เรียกขานให้เป็นหนึ่งเดียวโดยทั่วกันว่า “กบทอดกระเทียม” เสริฟร้อนๆ เคี้ยวควบคู่ไปกับการจิบน้ำอัมฤทธิ์สีเหลืองอัมพันผสมโซดา จะเพิ่มรสชาติของเนื้อศพมันให้อร่อยเข้ากันได้...เป็นอย่างดี
คห.30: 18 มิ.ย. 65, 10:59
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ เป็นบทลงโท
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ เป็นบทลงโทษ ในความผิดฐาน “บุกรุก” เคหะสถาน (ยังดีที่พบเจอเหตุการณ์บุกรุกนี้ ในเวลากลางวัน) หากเอ็งหากินอยู่นอกชายคาบ้านเรือน จะไม่ว่าอะไร แต่ในเมื่อเอ็งบุกรุกเข้ามาในเคหะสถาน โผล่มาจ๊ะเอ๋ในห้องโถงภายในตัวบ้าน บอกกล่าวตักเตือนให้กลับออกไปนอกบ้านดีๆ ก็ไม่ฟัง มิหนำซ้ำ ยังดื้อดึงดัน จะเลื้อยเข้าไปแอบอยู่ในซอกตู้เสื้อผ้าอีกต่างหาก หาได้มีท่าทีเคารพเกรงใจเจ้าของบ้านแต่อย่างใด พิเคราะห์จากลักษณะของผู้บุกรุกแล้ว เห็นว่ายังหนุ่มยังแน่น มีรูปร่างปราดเปรียว ว่องไว พิษสงจะมีหรือไม่อย่างไรนั้น หาใช่สาระสำคัญ เพราะให้นึกสงสัยเอาไว้ก่อนว่ามันมีพิษร้ายเสมอ ข้อสรุปจากการพิเคราะห์เช่นว่านี้ เห็นทีต้องใช้วิธีการที่ไฉไล ให้เหมาะสมกับความเร็วไวและ...ปราดเปรียว

ถึงแม้ว่าไม่อยากจะก่อกรรม แต่ถ้าปล่อยเอาไว้ มันคงทำเข็ญกับ(กู)เมื่อเปิดตู้เสื้อผ้าเป็นแน่แท้ เพื่อให้เกิดสมดุลย์ในการจัดการกับความว่องไว จึงจำใจหันไปคว้าอุปกรณ์ที่จับจูบลูบคลึงกันเกือบทุกวี่ทุกวัน(มากกว่าเมียซ่ะอีก) เมื่ออุปกรณ์พร้อมใช้งานอยู่ในมือ เป้าหมายก็ยังประจันหน้ากันอยู่ ว่าแล้วก็ต้องจัดให้ศูนย์หน้า สานสัมพันธ์กับศูนย์หลัง หายใจเข้าเต็มปอดแล้วผ่อนลมออกมาเล็กน้อย แล้วค่อย ๆ เพิ่มน้ำหนักลากไก ให้เกิด Surprise Shot

“ปัง” ลูกเซรามิกกลมมน ขนาด 0.25g BB Gun ก็ถูกแรงดันแก็สที่บรรรจุในแม็กกาซีนขับผ่านลำกล้องเกลียวแต่งสำหรับแข่งด้วยความเร็วเกือบ 300 ฟุต/วินาที พุ่งตรงไปยังเป้าหมาย  นัดแรก วางลงอย่างบรรจงที่กระดูกสันหลัง เมื่อหลังหัก ความว่องไว ก็ไร้ความหมาย กลายเป็นเป้านิ่ง นัดที่สองก็ค่อย ๆ บรรจงวางลงตรงที่หัว ให้ดีดดิ้นสิ้นสภาพความเป็นงูที่ข้างตู้เสื้อผ้าในทันที เมื่อทุกอย่างนิ่งสงบ จึงลากมันออกไปให้มดดำสอบสวนถึงมูลเหตุจูงใจในการบุกรุกเข้ามาในเคหะสถาน...กันต่อไป
คห.31: 18 มิ.ย. 65, 11:00
เมื่อกล่าวถึง “มูลเหตุจูงใจ” บันทึ
เมื่อกล่าวถึง “มูลเหตุจูงใจ” บันทึกเหตุแห่งความตายภาพนี้ จำได้ว่าขณะนั้นเป็นเวลาอาหารกลางวัน ท้องใส้ส่งเสียงร้องบ่งบอกถึงความหิว จึงเดินไปที่ห้องครัว แกะถุงอาหารใส่จาน ในขณะที่กำลังจะนั่งกิน ไอ้เจ้าสัตว์ปีกตัวน้อย บังอาจบุกรุกเข้ามาในเคหะสถานโดยไม่ได้รับอนุญาต บินวนไปเวียนมา สายตาก็มองจ้องจะแย่งอาหารที่วางอยู่ในจาน ด้วยความหิวประกอบกับปริมาณอาหารมีอย่างจำกัด เกรงว่าจะไม่พอแบ่งให้กิน จึงเกิดมี “โทสะ” แต่ก็สามารถกำจัดได้ด้วยการมี “เมตตา” กล่าวคือ ต้องมีความรักปรารถนาดีต่อกัน พอสำนึกได้แบบนี้ เห็นทีคงต้องปลง “อุเบกขา” เปลี่ยนโทสาให้กลายเป็นเมตตา ว่าแล้วก็ยกมือขึ้นค่อย ๆ ปัดเป่า(ไล่)เจ้าสัตว์ปีกตัวน้อย ๆ ให้ถอยห่างออกไปจานข้าว...อย่างเอ็นดู

แทนที่เจ้าสัตว์ปีกตัวน้อยจะเข้าใจในพฤติกรรมอันดีที่เรามีให้ แต่มันกลับไม่รู้จักกาลเทศะ และก็ยังไม่แยแส แถมยังบินฉวัดเฉวียน เวียนวนกลับมาที่จานข้าวอีกหลายครั้ง มิหนำซ้ำมันยังบินมาตอมหน้าตอมตาอีกหลายครั้งหลายครา ก่อนบินไปจอดพักเหนื่อยที่ถุงอาหาร สบสายตา มองหน้า แล้วยกขาหน้าตีกัน เมื่อเห็นเช่นนั้น จิตก็ถูกปรุงแต่งให้คิดเสมือนหนึ่งว่า(มึง)ตบมือเยาะเย้ย(กู) นี่หว่า แถมด้วยคำพุดจา “เฮ้ย! เอ็งปัดไม่โดนข้าเฟ้ย” แต่ทว่า สติตามมารับรู้ว่า เราเพิ่งปลงอุเบกขาในย่อหน้าก่อนนี้มาแล้ว เพราะฉะนั้น เราต้องสูดลมหายลึก ๆ นึกถึงความปรารถนาดีเข้าไว้ นี่คือ ความนึกคิดที่บอกเตือนตัวเองในขณะนั้น

นับ 1 ถึง 100 กำหนดจิต ข่มอารมณ์ รอบแรกผ่านไป แต่ทว่า การบินฉวัดเฉวียนของมัน ระหว่างจานข้าว หน้าตา และถุงอาหาร ก็ยังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง เห็นทีคงต้องเริ่มนับ 1 ถึง 100 กันในรอบที่สอง แต่ทว่า เมื่อเริ่มนับ 1 ยังไม่ถึง 3 ทันใดนั้น “เฮ้ย!...(ไอ้)หอกหัก นี่(มึง)พูดไม่รู้เรื่องใช่ไหม บินมาตอมหน้าตอมตา(กู)อยู่ได้ (กู)หิวนะเว้ย! และ(กู)ยังไม่ตายด้วย” แทนที่จะได้นั่งกินข้าวอย่างสบายใจ กลับต้องมาคอยวิตกกังวลว่ามึงจะเอาตีนที่ไม่ได้ล้างมาย่ำข้าวในจาน(กู)อีก ในเมื่อเอ็งอยากลองของ และความอดทนของ(กู)ก็ถึงที่สุด ว่าแล้วก็หันไปคว้า “หนังยาง” รัดถุงอาหาร ที่วางไว้ใกล้ ๆ มือ ยืดมันออกให้สุดแรงตึง รอจังหวะเหมาะ ๆ ไม่นานนัก กลิ่นอาหารที่หอมหวลเย้ายวนใจ ก็ทำให้มันเผลอตัว เผลอใจ หยุดพักบิน เพลินกับการดมกลิ่นบนถุงใส่อาหาร เมื่อเป้าอยู่นิ่งกับที่ หนังยางที่ยืดออกจนสุด ก็ถูกปลดปล่อยให้พลังงานจลน์ของมันไหลลื่นหลุดออกไปจากมือ ยัดเยียด “ความตาย” ให้กับ(ไอ้)หอกหักนี่ทันที...จบนะ! (กู)จะกินข้าว สรุปความได้ว่า “ความรำคาญ” เป็นรากฐานแห่ง...“มูลเหตุจูงใจ”
คห.32: 18 มิ.ย. 65, 11:03
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ เป็นบทลงโท
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ เป็นบทลงโทษฐานทำให้(กู) “หมดความอดทน” ในเคหะสถานจนเป็นเหตุให้เสียทรัพย์(ล้างรถบ่อยครั้ง) เรื่องก็มีอยู่ว่า ณ เช้าวันหนึ่ง ขณะที่ถือกาแฟร้อนออกมาจิบคลุกเคล้ากับบรรยากาศหน้าบ้าน พลันสายตาก็ได้พบกับร่องรอยการขับถ่ายปฏิกูลบนกระโปรงหน้ารถ พิจารณาจากรูปพรรณและลักษณะของปฏิกูล หาได้มาจากฟ้าประทาน แต่มันหล่นมาจากฝ้าเพดานในยามค่ำคืนเป็นแน่แท้ คืนแรกผ่านไป ใจยังคิดปล่อยวาง ปัด กวาด เช็ดถู ทำความสะอาดกันไป (ใจก็หวังว่ามันคงจะเกิดเหตุนี้ เพียงแค่หนึ่งค่ำคืนเดียว) แต่ทว่า ความเป็นจริง ก็ทำให้ความหวังนั้นพังทลาย คืนที่สอง ยังมาขี้ที่เดิมอีก คืนที่สาม ก็ตามมา แถมยังมีคืนที่สี่ ห้า และหก อ้ายแม่งYed! (กู)เช็ดไม่ทัน! เมื่อพินิจพิจารณาการกระทำเช่นว่านี้แล้ว ถือได้ว่า มันคือ “การทำผิดติดนิสัย” ดังที่ได้บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมาย...อาญา

ครั้งแล้ว ครั้งเล่า ผ่านไป ยังไม่เคยจับได้คาหนังคาเขาซักที แต่ Unfortunately! ณ ค่ำคืนนี้ มันย่ามใจ ขยับตับไตและท้องใส้ ขี้เยี่ยวราดสาดใส่กันแบบสด ๆ รดจากฝากฝ้า ร่วงลงมาสู่กระโปรงหน้ารถ ต่อหน้าต่อตา ถือเป็นการกระทำความผิดซึ่งหน้า ประจักษ์ต่อสายตา โดยไม่จำต้องอ้างมาตราอะไรมาบอกมัน แต่ทว่า ด้วยส่วนสูงของผม ไม่สามารถเอื้อมมือคว้าคอมันลงมาปรับทัศนคติได้จากเพดาน จึงต้องหันไปไหว้วานสิ่งที่จับจูบลูบคลำเกือบทุกวัน เพราะว่าถ้ามีมันอยู่ในมือแล้วอุ่นใจ ว่าแล้วก็จับแม็กกาซีนที่ว่างเปล่านั้นไซร้ บรรจุลูกเซรามิกขนาด 30g BB Gun เต็มแม็ก อัดแก็สชนิดแรงเป็นพิเศษ ด้วยความเร็วลูก 300 ฟุต/วินาที โดยประมาณ สองนัดแรก บรรจงยิงที่ขาหน้าและหลัง เพื่อไม่ให้สามารถเกาะยึดติดกับเพดานได้อีกต่อไป(แต่ยังห้อยอยู่) นัดที่สาม ยัดเข้ากลางหลัง ดันให้ร่างล่วงหลุดจากเพดานลงมาดมฝุ่นที่พื้น(แต่ยังดันปลิวไปเกาะที่ประตูรั้วอีก) เมื่อเห็นเป้าหมาย กลายเป็นเป้านิ่ง ห้อยรุ่งริ่งอยู่ที่ประตูรั้ว ว่าแล้วก็ค่อย ๆ เดินย่างสามขุมเข้าหาในระยะประชิด บรรจงประเคนนัดที่สี่ ห้า หก เจ็ด แปดเข้าที่หัวจนหมดแม็กฯ เพื่อสะกิดให้รู้จักคิดว่า ระบบสั่งการให้ร่างกายหายใจได้นั้น มันควบคุมด้วย...สมอง

การ “เชือดไก่ให้ลิงดู” กอรปกับ “การอุทิศตนเป็นอาจารย์ใหญ่” ของนายแบบตัวนี้ ทำให้ลูกเต้าเหล่ากอตัวอื่นบรรดามี ที่เกาะเพดานอยู่ใกล้ ๆ ต่างพากัน “งงเป็นไก่ตาแตก” และ “ลุกลี้ลุกลน” ทั้งตัวที่กำลังจะคลานออกมาขี้  และตัวที่กำลังจะโก่งขาขี้...งง! กิจกรรมการขี้ร่วมกันบนเพดานก็สะดุด หยุดการเบ่งขี้ วงแตก แยกสลาย ชนิดที่ว่า ตัวใคร ก็ทางมัน ถ้ามึงช้า มึงก็ร่วงตามไอ้นั่นไป ก็แล้วกัน เป็นต้น และนับตั้งแต่วันนั้นจวบจนถึงวันนี้ ประเพณีการ “กินบนเรือนแล้วขี้จากเพดาน” ก็มลาย...หายสิ้นไป
 
แก้ไข 4 พ.ย. 67, 13:56
คห.33: 18 มิ.ย. 65, 11:07
จากสำนวนสุภาษิตไทย ที่ว่า [b]“คนเดีย
จากสำนวนสุภาษิตไทย ที่ว่า “คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย” หมายถึง เวลาที่จะไปทำอะไรที่มีความเสี่ยงหรือน่ากลัวนั้น ถ้าหากไปทำด้วยกันสองคน ก็จะดีกว่าการไปทำอะไรแต่เพียงคนเดียว เพราะถ้าหากเกิดอะไรขึ้นมาจะได้ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน สุภาษิตนี้จึงสื่อถึงมิตรภาพของ “เพื่อน” ที่คอยช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ทั้งในเวลาที่ดีและในเวลาที่รู้สึกย่ำแย่ แต่ในขณะเดียวกันนั้น หากมีเพื่อนมากจำนวน นั่นก็อาจจะกลายเป็น “มากหมอ ก็มากความ” ทำให้ชวนคิดต่อไปว่า ควรจะเลือกปฏิบัติเช่นไร ประสบการณ์ความเจ็บปวดจาก “พิษในน้ำลาย” ของผู้คนบนถนนชีวิตที่เคยเดินผ่านมา มันถูกควบแน่นแล้วกลั่นออกเป็น “ประสบการณ์” หากไม่อยากรำคาญหรือเจ็บตัวเพราะเพื่อนอีก ก็ต้องรู้จักพลิกแพลง (แต่ไม่ตลบตะแลง) แสวงหาเกราะป้องกัน แลทางหนีทีไล่ ประคับประคองไว้ซึ่งความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อน ด้วยเหตุฉะนั้น เห็นทีคงต้องใช้วิธี...“รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ”
คห.34: 18 มิ.ย. 65, 11:10
[b]“เพื่อน”[/b] ทั้งที่เราเป็นเพื่อนกั
“เพื่อน” ทั้งที่เราเป็นเพื่อนกับเขา และเขาเป็นเพื่อนกับเรา บ้างก็วิ่งเล่นคบหากันมาตั้งแต่เด็ก บ้างก็ประสบพบเจอกันตอนเรียนประถม มันธยม หรือมหาวิทยาลัย เมื่ออายุไขล่วงเลยผ่านกาลเวลามาจนถึงปูนนี้แล้ว ไอ้เกลอแก้วเอ๋ย เราเป็นเพื่อนกันแบบไหนว่ะ เพื่อนกิน...หรือไม่ (ใช่...เพราะ(กู)ก็ชวน(มึง)ไปแด๊กเหล้าด้วยกันทุกครั้ง) เพื่อนตาย...ใช่ไหม (คงไม่ใช่ เพราะถ้า(มึง)ตาย (กู)ก็ไปแค่งานศพ(มึง) คงไม่ตายตาม(มึง)ไปหรอกนะ) อ้าวเฮ๊ย แล้ว(มึง)ต้องคิดอ่านเหมือน(กู)อะป่าวว่ะ (ถ้าได้ก็ดี จะได้คุยกันถูกใจคล่องคอในวงเหล้า) แล้วถ้า(กู)คิดต่างกับ(มึง ๆ)จะ Unfriend กูใน Facebook หรือไม่ (ไม่หรอก...เพราะ(กู)ไม่มีเฟสบุ๊คว่ะ) ว่าแล้วก็ยกแก้วขึ้นตำจอก กระดกเครื่องดื่มสีอัมพันอันกลมกล่อมลงไปในลำคอ แล้วหัวร่อระหว่างกันฉันและไอ้เกลอ (แต่ในใจยังมิวายคิดไคว่คว้า หาวิสัชนา)

หนึ่งคำตอบ หาใช่สูตรสำเร็จ เพราะ(มึง)กับ(กู) ก็ต่างชีวิต ต่างจิตใจ ต่างการอบรม ต่างประสบการณ์ และก็ต่างกันในนิสัยถาวร ตามพื้นฐานของครอบครัว ที่หล่อหลอมพฤติกรรมตั้งแต่ตั้งไข่ล้มต้มไข่กิน เติบใหญ่มาจนอายุไขล่วงเลยมาถึงปูนนี้ ดังนั้น (มึง)กับ(กู) ก็ย่อมมีโอกาสที่จะคิดกันคนละทาง ต่างมุมมอง สองความคิดได้ว่ะ หาก(กู)คิดต่าง แล้ว(มึง)เข้าใจ ก็สั่งเบียร์มาเพิ่ม ยังไม่ต้องเช็คเดอะบิล (Check the Bill) หาก(มึง)คิดต่าง แล้ว(กู)ใช้ไม้บรรทัดของ(กู)วัดในความแตกต่าง พฤติกรรมเช่นนี้ ก็มีให้ดูชมอยู่ถมไป ดังนั้น ถ้าทั้ง(มึง)และ(กู) ยังไม่เข้าใจในความแตกต่าง และไม่สำนึกถึงคุณค่าของ “เวลา” ที่ได้สานสร้างความสมานฉันท์ระหว่างเอ็งกับข้าฯ ดังนั้น ความสัมพันธ์ของเรานั้นหนา มันมองเห็นปลายทาง และมันก็จะมี...อายุความ
 
แก้ไข 19 มิ.ย. 65, 00:15
คห.35: 18 มิ.ย. 65, 11:12
การที่คนเรามีโอกาสได้พบได้เจอกัน ต
การที่คนเรามีโอกาสได้พบได้เจอกัน ตามกาละของห้วงเวลาในชีวิตนั้น บ้างก็ใช้เวลาในชีวิตเพียงน้อยนิด ก็ได้พบได้เจอกัน บ้างก็พบเจอกับอุปสรรค พลัดพรากจากกันไปชั่วขณะหนึ่งของชีวิต จนกว่าจะได้กลับมาพบมาเจอกันอีกครั้ง ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น เมื่อเกิดความสงสัย จึงสนใจใคร่รู้ ว่าทำไมมันถึงเป็นเช่นนั้น หลายตำรับ หลากตำรา สืบค้นคว้า เพียงเพราะแค่อยากรู้ว่า เหตุไฉนไยถึงเป็นเช่นนั้น ความรู้สึกที่ไม่อยากให้เกิดการพลัดพลาด(จากคนรัก)ไปชั่วขณะหนึ่งในชีวิตนั้น มันคือ “เวทนาขันธ์” มันเกิดขึ้นจากความรู้สึก อยากใกล้ชิดผูกพันธ์ เป็นธรรมดาของอารมณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตที่ยังไม่หลุดพ้นทุกข์ ส่วนอะไรที่ทำให้เกิดสภาวะของการพลัดพลาก หรืออะไรที่ทำให้เราได้กลับมาพบมาเจอกันอีกนั้น คงจะเทียบได้กับคำว่า “โชคชะตา” (Destiny) หรือฟ้าดลใจให้เธอมาพบเจอกับฉัน หรือแท้จริงนั้นมัน คือ “กฎแห่งธรรมชาติ” ที่ไม่อาจ...ควบคุมได้

เมื่อฉันได้พบกับเธอ “เวลา” ที่ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกัน คือ ตัวแปรที่ได้ประสานช่องว่างแห่งความเหินห่าง ความสัมพันธ์สร้างความใกล้ชิด ให้แนบสนิทชนิดที่ “รู้ไส้ รู้พุง” กันเป็นอย่างดี เมื่อ “กาละ” ยังคงดำเนินผ่านไป เรื่องราวของคนทั้งสอง ก็ยิ่งสนิท ใกล้ชิดไม่เหินห่าง ความสัมพันธ์ทั้งฉันและเธอ ก็ยกระดับพัฒนาไปถึงขั้น “ไก่เห็นตีนงู และงูก็เห็นนมไก่”  หากแม้ว่าเอ็งอยากจะตะกายขึ้นแต่ท้องฟ้า หรืออันตัวข้าฯ ก็จ้องจะมุดลงใต้พื้นดิน ก็สุดแท้แต่ทั้งตัวเอ็งและตัวข้าฯ จะใคร่อะไรและอยากสิ่งไหน การประคองความสัมพันธ์ ก็ควรจะหันไปพิจารณากับคำว่า “รักยาวให้บั่น รักสั้นให้ต่อ” ยิ่งสนิท ก็ต้องคิดเว้นระยะห่าง และให้เคารพในความแตกต่าง เพราะทั้งเอ็งและข้าฯ ก็ต่างชีวิต ต่างการอบรมเลี้ยงดูขัดเกลาจิตใจให้เติบใหญ่ และเกิดเป็นความต้องการที่แตกต่างระหว่างสองชีวิต สิ่งที่เอ็งกับข้าฯ มีเหมือนกันนั้น ก็เพียงแค่ “ร่างกาย” ที่บ่งบอกถึงความเป็นมนุษย์ เชื่อมต่อกันด้วยสายใยที่เรียกว่า “เวทนา” (รัก)...เท่านั้น
คห.36: 18 มิ.ย. 65, 11:13
“ชีวิต” ก่อกำเนิดการทำหน้าที่ทางชี
“ชีวิต” ก่อกำเนิดการทำหน้าที่ทางชีวภาพของร่างกาย ส่วน “ความตาย” นั้น ก่อให้เกิดการเสื่อมสลายของสังขาร เป็นความ “สมดุล” ที่สมบรูณ์แบบตามกฎของธรรมชาติ บทเรียนแห่งความตายในภาพนี้ ได้เรียนรู้ว่า แม้ต้นทุนของการเกิดแบบมีชีวิตของนายแบบสายพันธุ์นี้ ดูแล้วจะมีสกุลรุนชาติ(กำเนิด) มีลักษณะรูปลักษณ์ดี ขนเรียบลื่นเป็นเงาสวยงาม ต้นตระกูลถูกมนุษย์ฝึกฝนให้เป็นนักสื่อสาร ส่งข่าวคราวให้กับชาวบ้านชาวช่องได้รู้ว่าไอ้โน่น ต้องการแบบนี้ ส่วนไอ้นี่ ก็อยากได้แบบนั้น หน้าที่การทำงานก็สูงลิบลิ่ว มีอิสระ โฉบไปโน่น ถลาไปนี่ ส่งสาส์นให้ถึงมือผู้รับ แตกต่างกับอีกสายพันธุ์หนึ่ง ที่ถือกำเนิดเกิดในท่อระบายน้ำ มีลักษณะหน้าตาอัปลักษณ์ หางยาว ขนสีน้ำตาลเข้ม บางตัวขนแหว่งเป็นหย่อม ๆ เพราะโรคเรื้อเกาะกินผิวหนัง ไม่มีหน้าที่การงานอะไรให้ได้รับการยกย่อง และจ้องจะลักเล็กขโมยน้อยเมื่อความมืดแห่งราตรีกาลกรายเข้ามา หากบังเอิญมันโผล่หน้าไปพบเจอกับมนุษย์ เขาหรือเธอคนนั้น ก็อาจส่งเสียงกรีดร้อง กระโดดขึ้นไปอยู่บนโต๊ะเก้าอี้ แสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมที่แบ่งแยกชนชั้นระหว่างฉันและเธอก็มีให้เห็น (เคยเห็นพฤติกรรมเช่นว่านี้ในบ้านของตัวเองมาแล้ว) แม้ว่า ลักษณ์ทางชีวภาพของสังขารของร่างกาย จะมีความแตกต่างในชาติพันธุ์ฉันท์ใดก็ตาม แต่ “ความยุติธรรม” ที่ทุกชาติสายพันธุ์จะได้รับอย่างเท่าเทียมกัน นั่นก็คือ...ความตาย
คห.37: 18 มิ.ย. 65, 11:15
นอกจากความตายได้สร้างความเท่าเทีย
นอกจากความตายได้สร้างความเท่าเทียมกันให้กับทุกชีวิตแล้วนั้น ความตาย ยังมี “กลิ่น” เฉพาะตัว บทพิสูจน์ของสมมุติฐานนี้ อาจจะเกิดขึ้นกับเราๆท่านๆมาแล้วในอดีตที่ผ่านมา เช่น เวลาเราได้กลิ่นตุๆ ที่มุมใดมุมหนึ่งของบ้าน เราก็มักจะนึกคิดเอาว่า “เอ๊ะ! ได้กลิ่นอะไรตายที่ไหน?” เป็นต้น (อาจจะเป็นกลิ่นปาก อมขี้ฟัน ของคนข้าง ๆ ก็ได้) ทั้ง ๆ ที่ยังไม่ได้เห็นอะไรตายเลยปรากฎอยู่ตรงหน้าเลย อะไรทำให้จิตใต้สำนึกของเรานึกคิดเช่นว่านั้น แล้วไฉนใยเราไม่นึกคิดเป็นอย่างอื่น นอกจากความตายจะมีกลิ่นเฉพาะตัวแล้วนั้น สัตว์บางชนิด ก็มักถูกมนุษย์หยิบยกให้มันเป็นสัญลักษณ์ควบคู่กับความตาย (ทั้ง ๆ ที่มนุษย์ไม่เคยถามความสมัครใจของพวกมันเลย) และมักพบเห็นกันได้ในหนังภาพยนต์แนวหลอน ๆ เช่น อีกา อีแร้ง นกเค้าแมว ค้างคาว เป็นต้น แต่กระนั้นก็ตาม ก็ยังมีสัตว์ปีกตัวเล็ก ๆ ที่มีฆานประสาทไวต่อกลิ่นของความตาย และในขณะที่ถ่ายทำภาพนี้ มันก็ปรากฏตัวโดย...ไม่ได้รับเชิญ
คห.38: 18 มิ.ย. 65, 11:19
ความตายนั้น หาได้มีเพียงแค่ “กลิ่น
ความตายนั้น หาได้มีเพียงแค่ “กลิ่น” เท่านั้น แต่ความตายนั้น ยังมี “เสียง” อีกเช่นกัน เสียงมันเกิดขึ้นได้อย่างไร ความฉงนสงสัยทำให้คิ้วขมวดเข้าหากัน งั้นลองมาฟังเรื่องนี้ว่า ทำไมความตายนั้นมันถึงได้มีเสียง บันทึกแห่งความตายภาพนี้ ได้รับแรงจูงใจมาจากคำพังเพย “ยุงร้ายกว่าเสือ” อีกทั้ง คำแนะนำด้านสาธารณะสุขเกี่ยวกับโรคต่างๆ ที่มันนำเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายเราในระหว่างที่ถูกมันดูดเลือด แต่มูลเหตุจูงใจในการยัดเยียดความตายให้กับไอ้ตัวนี้ หาได้มาจากคำพังเพยหรือการเป็นพาหะนำโรคแต่อย่างใด แต่มันเกิดจากประสบการณ์ในชีวิตจริง ที่ดำเนินมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน อย่างไม่เปลี่ยนแปลง เสียงแห่งความตาย เสียงแรก คือ “เสียงบ่นปนงอแง”  (ถ้าคันมาก ก็จะยกระดับจากงอแง มา “พาล” คนที่อยู่ข้าง ๆ) นับว่าเป็นประสบการณ์ที่ไม่อยากพบเจอในยามโพล้เพล้พลบค่ำ หากเธอนั้น ใส่ขาสั้นออกไปรดน้ำต้นไม้นอกตัวบ้าน หากรู้เท่าไม่ถึงกาล เผลอเข้าไปเรอทัก หน้าเธอจะหัก ยักษ์จะ...ปรากฎตัว

ในวันหนึ่ง ยามตะวันชิงพลบ ย่างเข้าสู่สนธยา คือ เวลาที่เราทั้งคู่ได้พบเจอกัน เมื่อสายตาประสาน สื่อถึงกันและกัน ทำให้นึกถึงประสบการณ์ “หน้าเธอหัก ยักษ์ก็มา” ประทุ ครุกรุ่น หลอนในใจ จิตใต้สำนึก จึงสั่งให้สมอง เร่งตอบสนองต่อพฤติกรรมของร่างกาย อุ้งมือซ้ายย้ายไปประกบกับอุ้งมือขวา จัดวางตำแหน่ง(ไอ้)หอกหักนี้ไว้ระหว่างกลาง “ปัง” เสียงดังคล้ายประทัด ที่เกิดจากการประสานอุ้งมือทั้งสองเข้าด้วยกัน ก็อุบัติเกิดเสียงดังขึ้นมา พลัน “ความตาย” ก็ปรากฏต่อหน้า สิ้นชีวา ในยามพลบค่ำ ณ บัดดล และนี่ก็คือ...“เสียงแห่งความตาย”
คห.39: 18 มิ.ย. 65, 11:21
นอกจากความตายจะมีทั้งกลิ่นและเสีย
นอกจากความตายจะมีทั้งกลิ่นและเสียงตามที่ได้เกริ่นมาข้างต้นแล้วนั้น ในบางครั้ง “ฤดู” (Season) ตามกาลเวลาก็เป็นสาเหตุที่ “กระตุ้น” ให้เกิดความตายได้ด้วยเช่นกัน ข้อสงสัยที่ว่าทำไมฤดูกาล ถึงได้เป็นสาเหตุได้นั้น ในวันหนึ่ง ขณะที่กาลได้ย่างเข้าสู่เหมันตฤดู สัตว์ที่ไร้กระดูกสันหลังและมีสองเพศในตัวเดียวกัน ได้คืบคลานออกมาจากวิมานที่มันสร้างไว้กินอยู่หลับนอนในดิน กระดึ๊บคืบคลานออกมาสูดอากาศเบื้องบน ให้เกลื่อนถนนหนทาง (ดีเหมือนกัน ไม่ต้องไปเสียเวลาขุดคุ้ยหามันมาเป็นเหยื่อตกปลา) มันเบื่อใครบ่นอยู่ที่บ้านหรือไม่นั้น อย่าได้สงสัย เพราะนักวิชาการได้วิเคราะห์พฤติกรรมเช่นนี้ของมันเอาไว้ว่า น่าจะเกิดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิของดินในเหมันตฤดู ความหนาวเย็น ทำให้มันโผล่ขึ้นมารับไออุ่นจากแสงแดด ปรับอุณหภูมิของตัวมัน และก็ขอให้อย่าใครต่อใคร ตื่นตระหนกตกตื่น คิดไปว่ามันเกิดจากการสั่นสะเทือนของดินหรือแผ่นดินไหว เพราะตามธรรมชาติของไส้เดือนไม่มีการแตกตื่นจากเหตุแผ่นดินไหว...ท่านว่าไว้เช่นนี้

เมื่อรู้แล้วว่า ความหนาวเย็นของเหมันตฤดูเป็นสาเหตุทำให้มันต้องออกจากบ้าน ระหว่างทางที่กระดึ๊บไปหาไออุ่น บ้างก็อาจรอดพ้นจากสายตาของนกที่จับมันไปเป็นอาหาร บ้างก็รอดพ้นจากน้ำมือของนักตกปลาที่จับมันเอาไปทำเป็นเหยื่อตกปลา และหลายต่อหลายตัว ก็ถูกยางรถยนต์บดอัดร่างของมันให้แบนติดดิน และนี่ก็คือ เส้นทางของความตายที่มีสาเหตุมาจาก...ฤดูกาล
คห.40: 18 มิ.ย. 65, 11:22
ภาพนี้ “ความตาย” ได้พรากชีวิตออกจา
ภาพนี้ “ความตาย” ได้พรากชีวิตออกจากร่างของมันไปนานแล้ว เหลือทิ้งไว้แต่เพียงซากศพแห้งติดกับขอบประตู ด้วยความอยากรู้ จึงขุดคุ้ยวิชานิติเวชวิทยาที่ร่ำเรียนมาตั้งแต่สมัยยังเป็นละอ่อนนักศึกษา ถูกรุ่นพี่เรียกขานว่าไอ้น้อง (ตอนนี้ถูกเรียกว่า “ลุง” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว) นิติเวชวิทยาที่ว่านั้น มันคือวิชาที่เรียนการสืบเสาะแสวงหาสาเหตุแห่งการตาย ผลพิสูจน์ซากศพจากการมองผ่านเลนส์กล้องถ่ายรูปขณะถ่ายทำ ไม่พบบาดแผลฉีกขาดขอบเรียบหรือขอบไม่เรียบปรากฎที่ศพ อีกทั้ง ยังไม่พบเครื่องใน ตับไตไส้พุง และคราบเลือด แม้กระทั่ง “กลิ่นแห่งความตาย” ก็ไม่โบกโชยเข้าไปกระทบฆานประสาทในที่เกิดเหตุ จากตำแหน่งที่พบศพ

ข้อเท็จจริงดังกล่าวนี้ จึงสันนิษฐานสาเหตุแห่งการตายนี้ได้ว่า ผู้ตายคงต้องอาศัยใต้ชายคาบ้านหลังนี้มาเป็นเวลานาน และคงได้พบเห็นเจ้าของบ้านฝ่ายหญิง บ่นเรื่องนี่ เรื่องโน้น และเรื่องนั่น ให้ฝ่ายชายอยู่เป็นประจำ ณ เวลาที่เหตุเกิด สันนิษฐานว่าคงจะเป็นเวลาโพล้เพล้ ที่ผู้ตายจ้องมองเขมือบแมลงที่บินมาตอมเล่นไฟใกล้ ๆ กับประตูอย่างใจจดใจจ่อ บังเอิญเจ้าของบ้านฝ่ายหญิงคงจะไปปิดประตูบ้าน เมื่อยามสนธยา พอเจ้าจิ้งจกมันเห็นหน้า ก็เกิดมโนคติ กลัวจะถูกบ่นถาม ว่ามาเกาะที่ประตูนี้ทำไม ถอดรองเท้าเป็นระเบียบหรือเปล่า ล้างเท้าก่อนเข้าบ้านหรือไม่ อีกทั้ง โน่น นี่ และก็นั่น สารพันจะบ่น จนสำนึกผิดไม่ทัน เมื่อคิดได้เช่นว่านั้น มันจึงเลือก “รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง” แต่ดันไปหลบผิดทิศทาง ถูกหนีบกลางตัวคาที่ นับตั้งแต่เวลานั้นเป็นต้นมาจนกระทั่งได้...พบศพ
 
แก้ไข 4 พ.ย. 67, 13:55
คห.41: 18 มิ.ย. 65, 11:23
บทเรียน “แห่งความตาย” ของเจ้าจิ้งจ
บทเรียน “แห่งความตาย” ของเจ้าจิ้งจกนี้ ทำให้ได้เรียนรู้ว่า “เสียงพร่ำบ่น บนสมมุติฐานของการไม่เถียงตอบนั้น หาได้ก่อให้เกิดความตายแต่อย่างใดไม่” มันก็แค่...รำคาญหู
คห.42: 18 มิ.ย. 65, 11:24
สองภาพบันทึกแห่งความตายก่อนหน้านี
สองภาพบันทึกแห่งความตายก่อนหน้านี้ พอเข้าใจสาเหตุของการตายได้ ส่วนบันทึกแห่งความตายในภาพนี้ ต่างจากสองภาพก่อน ทั้งนี้ ก็เพราะว่า ตำแหน่งที่เกิดเหตุนั้น มันคือ มุมประตูบ้านด้านบน และที่สำคัญนอกเหนือสิ่งอื่นใด ผู้ตายก็ไม่ใช่จิ้งจก หรือสไปเดอร์(แมน) แต่อย่างใด แล้วไฉนใยมึงถึงสะเอ๊อะเสนอหน้าขึ้นไปอาศัยอยู่ ที่บริเวณมุมประตูบ้านแบบนั้น (เอ็งนอนมุดหัวอยู่ข้างอ่างน้ำชื้นๆอยู่ในสวน ก็คงไม่ตายว่ะ) อย่างนี้ เรียกว่า “รนหาที่ตาย”...ใช่หรือไม่
คห.43: 18 มิ.ย. 65, 11:24
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ ถ่ายทำที่ร
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ ถ่ายทำที่รัฐซาราวัก เมืองบินตูลู ประเทศมาเลเซีย หลังจากที่กลับจากตกปลากลางทะเล อาบน้ำอาบท่าที่โรงแรมเรียบร้อย กำลังจะเดินไปกินข้าวมื้อเย็นที่ร้านอาหาร ระหว่างทางก็ได้พบเจอกับภาพนี้บนถนน พิจารณาจากพยาธิสภาพของศพ พบว่าสภาพร่างกายผิดเพี้ยนไปจากสภาพกำเนิด อวัยวะภายในออกมาอยู่ภายนอก ไม่ปรากฎการเจริญเติบโตของหนอนแมลงวัน ที่เป็นตัวแปรบ่งบอกระยะเวลาของการตายได้ ไม่มีกลิ่นของความตายในขณะถ่ายทำ พบแต่งเพียงพยาธิสภาพของศพ ที่แบน แห้ง ติดแน่นกับพื้นถนนเท่านั้น จึงสันนิษฐานได้แต่เพียงว่า ระยะเวลาการตายของศพนี้ คงจะถูกรถเหยียบตายคาที่มาเป็นเวลา...นานแล้ว
คห.44: 18 มิ.ย. 65, 11:25
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ ถ่ายทำเมื่
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ ถ่ายทำเมื่อหลายปีผ่านมาแล้ว จำได้ว่าไม่กี่นาทีก่อนที่ผมจะยัดเยียดความตายให้กับนายแบบในภาพนี้ ขณะนั้น ผมกำลังล้างแก้วกาแฟในห้องน้ำ นายแบบตัวขนาดเกือบ 1 ฟุต ก็ดันฝาปิดท่อน้ำทิ้ง โผล่พลวด ไต่ขึ้นตามสายยาง เมื่อไต่ระดับขยับขึ้นสูงได้พอประมาณ มันก็ขยับเขี้ยวจ้องมองตากันกับผมในห้องน้ำ การกระทำของนายแบบตัวนี้ ถือว่าเป็นการบุกรุกเข้ามาในเคหะสถาน อันเป็นการรบกวนการครอบครองโดยปกติสุข และยังได้พกอาวุธปลายแหลมฉาบด้วยพิษร้ายติดตัวมาอีกด้วย หากไม่ระวังตัวพลาดพลั้ง ถูกคมอาวุธฉาบพิษร้ายของมัน คงจะต้องตัวสั่น ลากสังขารนอนโรงหมอโรงยาอีกแน่นอน ด้วยเหตุนี้ จึงพิจารณาได้ว่า การบุกรุกที่พกพาอาวุธร้ายเข้ามาในเคหะสถานแบบนี้ ถือว่า เป็นการบุกรุกขั้นร้ายแรง ต้องรับโทษขั้นรุนแรงกว่าโทษฐานบุกรุกขั้นธรรมดา ดังนั้น การ “ฆ่า” (เพื่อป้องกันตัวให้พ้นจากภยันตรายซึ่งเกิดจากการประทุษร้ายอันละเมิดต่อกฎหมาย และเป็นภยันตรายที่ใกล้จะถึง ถ้าได้กระทำพอสมควรแก่เหตุ) ในกรณีนี้จึง...จำเป็น 
คห.45: 18 มิ.ย. 65, 11:25
“ออกซิเจน” เป็นหนึ่งองค์ประกอบในบว
“ออกซิเจน” เป็นหนึ่งองค์ประกอบในบวนการต่าง ๆ ของการมีชีวิต เช่น กระบวนการรักษาเซล การสังเคราะห์เอนไซม์หรือวิตามินที่นำไปใช้ในร่างกาย ดังนั้น แต่ละชีวิตจึงจำต้องได้รับออกซิเจนในระดับและปริมาณความต้องการที่แตกต่างกันไป  ชีวิตที่อาศัยอยู่บนบก ธรรมชาติก็สรรสร้าง “จมูก” ให้เป็นอวัยวะ ให้ใช้ในการสูดดมออกซิเจน ส่วนชีวิตที่อาศัยดำผุดดำว่ายอยู่ในน้ำ ธรรมชาติก็สรรสร้าง “เหงือก” คัดแยกออกซิเจนออกจากน้ำ ให้ร่างกายนำเอาไปใช้เป็นองค์ประกอบในการดำรงค์ชีวิตในน้ำ เป็นต้น เมื่อใดที่ไร้วิวัฒนาการ แถมยังริอ่านฝืนธรรมชาติ ผู้ที่คิดบังอาจ ย่อมได้รับผลแห่งการกระทำ โอ้เจ้าเหงือกจ๋า ถึงแม้ว่าฟันยังไม่ได้ลาก่อน แต่ชีวีขอลาจากจร ไปตามกฎของธรรมชาติ...เอย
คห.46: 18 มิ.ย. 65, 11:26
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ จำได้ว่าใน
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ จำได้ว่าในวันนั้นผมขับรถออกจากบ้าน มุ่งหน้าไปหาข้าวมื้อเที่ยง แบบอาหารจานเดียวใส่ท้อง ชนิดแด๊กด่วน เพราะ(กู)รีบไป(ประชุม) ระหว่างทางไปร้านอาหาร พอเลี้ยวรถลงสะพาน กำลังจะผ่านหน้าสุสาน ก็พบเจอภาพนี้ปรากฎอยู่กลางถนน นึกไว้ในใจว่า (กู)ต้องรีบกระเดือกข้าวเที่ยงให้เร็ว ๆ แล้วรีบขับรถกลับบ้าน เพื่อหยิบกล้องมาบันทึกภาพแห่งความตายนี้ แล้วรีบมุ่งหน้าไป...ประชุม
คห.47: 18 มิ.ย. 65, 11:27
พิจารณาจากรูปพรรณสัณฐานของผู้ประส
พิจารณาจากรูปพรรณสัณฐานของผู้ประสบเหตุ บอกได้ว่าเป็น “ไอ้ด่างพันธุ์ไทย” ดูจากลักษณะขนาดของตัวนั้นไซร้ ยังอยู่ในวัยเด็ก ประสบการณ์ระวังภัยยังน้อย คงจะห่วงเล่น วิ่งซุกซนจนลืมระแวดระวังภัย ด้วยความที่ “รู้เท่าไม่ถึงการ” จึงทำให้ไอ้ด่างสายพันธุ์ไทยตัวนี้ ต้องนอนเฝ้าถนน ไม่สามารถขยับเคลื่อนไหว วิ่งเล่นไปไหน มาไหน...ได้อีกต่อไป
คห.48: 18 มิ.ย. 65, 11:27
ไอ้ด่างสายพันธุ์ไทย
ไอ้ด่างสายพันธุ์ไทย
คห.49: 18 มิ.ย. 65, 11:27
บอกไม่ได้ว่า “อวัยวะ” ส่วนไหน เรียก
บอกไม่ได้ว่า “อวัยวะ” ส่วนไหน เรียกว่าอะไร พิเคราะห์ได้ว่าเป็นเศษเนื้อ ไขมัน กระดูก ตับ ไต ใส้ พุง ครั้งหนึ่งมันเคยอยู่ภายในร่างกายของไอ้ด่างสายพันธุ์ไทยตัวนี้ แต่ในขณะที่กำลังถ่ายภาพนี้ อวัยวะดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั้น มันได้เคลื่อนย้ายออกมาอยู่ภายนอกร่างกายไอ้ด่างอย่างถาวรแล้ว กลิ่นคาวเลือด คละคลุ้งไปทั่วบริเวณ มีแต่เพียงความอยากได้ภาพถ่ายเพียงเท่านั้น ที่ต้องอดทน...“ดมกลิ่นแห่งความตาย”
คห.50: 18 มิ.ย. 65, 11:29
อันว่าเสียงสวดภาษาบาลี [b]“กุสลา ธมฺ
อันว่าเสียงสวดภาษาบาลี “กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธัมมา” หมายถึง “พระธรรมทั้งหลายที่เป็นกุศล ให้ผลเป็นความสุข ธรรมทั้งหลายที่เป็นอกุศล ให้ผลเป็นความทุกข์” เป็นบทสวดที่เราเคยได้ยินได้ฟังในงานขาวดำนั้น ก็มุ่งประสงค์ให้เป็นเครื่องเตือนใจแก่ “คนเป็น” (ไม่ได้สวดให้คนตายฟัง เพราะจะสวดให้ดังแค่ไหน คนตายก็ไม่ได้ยิน) ได้ระลึกถึงความเป็นความตาย ได้ระลึกถึงบาปถึงบุญในจิตใจ เป็นข้อคิดเตือนสติ ให้เกิดการตระหนักรู้ว่า อย่าได้ยึดมั่น ถือมั่น ในสิ่งใดเลย ให้ปล่อยวาง ตามสายธรรมะแห่ง...“พุทธวิถี”
<1234>
siamfishing.com © 2024