บันทึกแห่งความตาย: SiamFishing : Thailand Fishing Community
1234>
กระดาน
คห. 88 อ่าน 5,841 โหวต 10
บันทึกแห่งความตาย
ตั้ง: 18 มิ.ย. 65, 10:10
บันทึกแห่งความตาย
“ชีวิต” กำเนิดเกิดขึ้นมา ดำรงอยู่ตามวิถี และปิดฉากสุดท้ายที่ปลายทางลงด้วย “ความตาย” นั่นคือ “วัฎสงสาร” ของการเกิดมีชีวิตที่ได้เรียนรู้มา เมื่ออ่านมาถึงบรรทัดนี้ ย่อมเป็นที่ประจักษ์แล้วว่า อันตัวเรานี้หนา ต่างก็เคยสัมผัสรับรู้รสชาติของการเกิด แล้วมีชีวิตอยู่รอดมาจนถึงเวลา ณ วินาที ที่กำลังอ่านตัวอักษรมาจนถึงบรรทัดนี้  ดังนั้น ก็ย่อมรับรู้แล้วว่า “การเดินทาง” ของการเกิดแบบมีชีวิตนั้น มันแปรผันไปตามตัวแปร ที่ผ่านเข้ามาตามกาละ ระหว่างการเดินทางของแต่ละวิถีชีวิต ต่างคน ต่างชีวิต ต่างตัวแปร และก็ต่างความต้องการ สุขบ้าง ทุกข์บ้าง คละเคล้ากันไป หากจะเลือกให้ชีวิตได้พบเจอแต่ความสุขเพียงอย่างเดียวนั้น ก็เสมือนหนึ่งว่าโลกของเรานี้ มีเพียงแต่เวลากลางวัน ไร้ซึ่งกลางคืน ฝืนธรรมชาติ ตัวแปรที่เข้ามาทำให้ชีวิตผกผัน มักถูกปรุงแต่งรสชาติด้วย "จิต" (Souls) ออกฤทธิ์สู่ประตู “ใจ” (Mind) เกิดเป็นเวทนา เมื่อได้รับรู้รสสัมผัส (Feel) หากชีวีนั้นมี “สติ” ก็จะ “เข้าใจ” การเกิดขึ้นของตัวแปร ที่ดำรงอยู่เพียงแค่ชั่วขณะ แล้วก็ดับสิ้นไป ไม่จีรังยั่งยืน “ความเข้าใจ” เช่นว่านี้ จะทำให้ “จิต” สามารถจูงชีวิตในร่างกาย ให้ก้าวข้ามผ่านพ้นตัวแปรเช่นว่านั้นไปได้ตามวาระของชีวิต จนกระทั่งไปพบเจอกับ “ความตายตามธรรมชาติ” ณ ปลายทาง ครบถ้วนกระบวนความตามวัฏจักรของการ “เวียนว่ายตายเกิด” ใน...ภพภูมิมนุษย์ 
แก้ไข 18 มิ.ย. 65, 12:12
คห.1: 18 มิ.ย. 65, 10:14
ความรู้สึกตอบสนองต่อ [b]“ความตาย”[/b] น
ความรู้สึกตอบสนองต่อ “ความตาย” นั้นแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับทัศนคติที่แต่ละชีวิต มีมุมมองต่อความตายนั้นอย่างไร เช่น “เศร้าโศกเสียใจ” (เหมือนกับคนปกติทั่วไปที่เขารู้สึกกัน) “ดีใจ” (เพราะใครบางคนมันสมควรตาย) “คิดถึง” (คนที่เรารักได้พลัดพลากจากไปอย่างไม่มีวันหวนคืนกลับมา) “ไม่รู้สึกรู้สา” (เพราะ(กู)ก็ไม่ได้รู้จักอะไรกับมัน) หรือ “ยกย่องสรรเสริญ” (เพราะรำลึกถึงคุณงามความดีที่ผู้วายชีวีได้สร้างเอาไว้) เป็นต้น “การปรุงแต่งของจิต” ในร่างกายที่มีชีวิตของปุถุชนคนธรรมดาทั่วไป ได้สร้างรสสัมผัสอันหลากหลาย ให้ตอบสนองต่อความตาย ผู้ที่มีความสุขกับการดำรงอยู่ของชีวิต ก็จะประคับประคองเหนี่ยวรั้งการมีชีวิตให้ยืดยาวออกไป เลื่อนวาระบทสุดท้ายของชีวิตและชลอการมาถึง ซึ่ง...“ความตาย”
คห.2: 18 มิ.ย. 65, 10:16
ผม[b]ไม่ใช่[/b] “ผู้รู้” หรือ “กู(ก็)รู้”
ผมไม่ใช่ “ผู้รู้” หรือ “กู(ก็)รู้” (Guru) อะไรในการถ่ายภาพ  หรือแตกฉานในวิชาเรื่องความตายแต่อย่างใด (เพราะยังไม่เคยตาย) หรือพยายามที่จะบอกสอนแนวความคิด ความเชื่ออะไร แต่อย่างใด ผมเป็นเพียงแค่คนธรรมดาคนหนึ่ง มีแค่คำว่า “นาย” นำหน้าชื่อเหมือนชายไทยทั่วไป มีวิถีการดำเนินชีวิตเป็นไปตามกติกาของสัตว์สังคม (ยัง)มีอคติ 4 ที่รู้สึกรัก โลภ โกรธ หลง เฉกเช่นปุถุชนคนทั่วไป (เพียงแต่ต้องควบคุมให้มันอยู่ในกรอบครรลองแห่งคลองธรรม) มีความคิดอ่านที่เหมือนชาวบ้านก็มากมี คิดคนละอย่างกับชาวบ้านชาวช่อง ก็มากครั้ง ถูกมองว่าเป็นแกะดำในฝูงแกะขาว (Black Sheep) ก็ไม่น้อย (แต่ก็ไม่เคยเปลี่ยนตัวเองให้เป็นแกะสีขาวซักครั้ง) วันใดที่ผมมีกล้องในมือ มีเวลาเดินหันหลังให้กับที่ทำงาน ผมก็มักออกไปใช้ชีวิตง่าย ๆ ในที่ ๆ ห่างไกลจาก “คน” หากสามารถขาดการติดต่อจากโลกในเมืองได้ ก็ยิ่งดี ทั้งนี้ ก็ตามแต่เวลาจะเอื้ออำนวยให้มนุษย์เงินเดือนสามารถลาพักร้อนได้วันไหน เวลาใด ครั้นจะพูดถึงแนวทางการถ่ายภาพ ผมมักชอบการถ่ายภาพที่เป็นจริง (Real) ไม่จัดฉาก (ขี้เกียจแบกฉากไปจัด) ชอบแสงธรรมชาติมากกว่าแสงเฟรช (ขี้เกียจจัดแสงวัดแสงอีกนั่นแหละ) เมื่อใดที่ใจสงบ มันก็มักมองเห็นอะไร ๆ ในการเดินทาง และก็พยายามเก็บภาพที่มองเห็นไว้ให้ได้ ชนิดที่ว่า ถ่ายทัน ก็ได้(ภาพ)มา ถ่ายไม่ทัน ก็อดไป มันเป็น “ความท้าท้าย” (Challenge) ที่กลายเป็นสไตล์ (Style) ให้ผมกระหายมองหาเหตุการณ์ต่าง ๆ นานา ในการถ่ายภาพของผมอยู่เนือง ๆ (ปัจจุบันนี้ ต้องเพิ่มความระวังเรื่องข้อมูลส่วนบุคคลเพิ่มขึ้นอีกประการหนึ่งด้วย) ดังนั้น “บันทึกแห่งความตาย” ฉบับนี้ จึงเป็นการบอกเล่าสิ่งที่ผมได้เรียนรู้อะไรจากภาพถ่าย อันเป็นปฐมบทแห่ง...“เจตนา”
แก้ไข 20 มิ.ย. 65, 13:16
คห.3: 18 มิ.ย. 65, 10:19
ภาพต่าง ๆ ในกระทู้นี้ ถูกเริ่มต้นถ่
ภาพต่าง ๆ ในกระทู้นี้ ถูกเริ่มต้นถ่ายเก็บสะสมมาตั้งแต่วันใดนั้น ไม่ได้ใส่ใจจดจำ แต่จำได้ว่ามันถูกเก็บเล็กผสมน้อยจากการเดินทางไปโน่นมานี่ แล้วพบเจอกับ “ความตาย” ที่เรียงรายอยู่รอบ ๆ ตัว ระหว่างการเดินทางตามวิถีชีวิตของผม ความอยากรู้อยากเห็น ก่อกำเนิดเกิดเป็นคำถามขึ้นในใจ จึงได้เริ่มศึกษาค้นคว้าหาคำตอบ สนองความอยากรู้ ให้เข้าใจแก่นแห่ง “ความจริง” (True) ตาม “วิถีแห่งพุทธ” ที่ได้กำเนิดเติบโตมา โดยเริ่มจากการฟังธรรมบ้าง(แต่ก็ฟังไม่เข้าใจ เพราะเป็นภาษีบาลี ทำได้แค่สำรวมกิริยาและสงบจิตในเวลาฟังเท่านั้น) อ่านตำราสร้างพื้นฐานองค์ความรู้ เพื่อกระเทาะเปลือกนอก ให้เข้าใจในแก่นแท้แห่งความเป็นจริง อีกทั้ง ยังได้ถาม ได้ฟังความจากผู้รู้ เพื่อให้ “เห็น” มุมที่ยังไม่เคยมอง หลายก้าวย่างระหว่างการเรียนรู้ ก่อให้เกิด “ความเข้าใจ” และได้สัมผัสกับคำว่า “วัฎสงสาร” ด้วยบริบทของคำ ๆ นี้ จึงเป็นที่มาที่ไป ที่ทำให้พฤติกรรมในการถ่ายภาพของผมเปลี่ยนไป นับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ผมจึงเริ่มต้นถ่ายภาพที่เกี่ยวกับการเกิด การแก่เฒ้า การเจ็บป่วยได้ไข้ และความตาย นำเอามาบรรจุไว้ในกระด้างภัณฑ์ (Hard Disk) แต่งเติมรสชาติด้วยละมุนภัณฑ์ (Software) แล้วรอวันที่เสริฟเป็นเมนูตามชื่อบันทึกฉบับนี้ ให้หมู่มวลชนคนทั่วไป...ได้ลองใช้ “ใจ” รับฟัง
คห.4: 18 มิ.ย. 65, 10:21
[b]วิธีการใช้งานกระทู้นี้:[/b] กระทู้นี
วิธีการใช้งานกระทู้นี้: กระทู้นี้ มิได้มุ่งประสงค์ที่จะเผยแพร่แนวความคิดอะไร ให้เกิดความเชื่ออะไร แบบไหน และอย่างไร สิ่งที่พิมพ์บ่นพ่นออกมาเป็นตัวหนังสือ คือ การบอกเล่าถึงสิ่งที่ผมได้เรียนรู้อะไรมาจากภาพถ่ายตามบันทึกฉบับนี้ ปรุงแต่ง เติมเครื่องเคียง ให้เป็นสำเนียงผ่านตัวอักษร ผู้ที่ได้ลิ้มลอง บ้างชิมแล้วก็อาจมีอาการ อาหารเป็นพิษ เพื่อลดการระคายเคืองในประสาทสัมผัส ให้ “ขากคายถุยทิ้งไป”  บ้างชิมแล้วยังไม่ถูกปาก ก็เติมพริก น้ำตาล มะนาว เกลือ ก็สุดแท้แต่ว่ามโนคติจะยุติลงที่รสชาติใด บ้างชิมแล้วก็ระลึกถึงสัญญาขันธ์ ว่าวันหนึ่งชีวิตเคยผ่านพบเจอกับอะไรมา เฉกเช่นสำเนียงที่เขียนเป็นตัวหนังสือนี้ ก็อาจจะชอบรสชาติของอาหารจานนี้ก็เป็นได้ ดังนั้น รสชาติของเมนูจานนี้ โปรดพึงสังวรว่า มันไม่คงที่ ขึ้นอยู่กับจิตของใคร คิดอะไร เคยทำ “กรรม” อะไรมาก่อน หากแม้ว่าคน ๆ นั้นจะเคี้ยว ๆ แล้วขากคายถุยทิ้ง ก็ไม่ถือโทษกล่าวว่ากัน เพราะเข้าใจได้ว่า “ศีลนั้นไม่จำต้องมีเสมอกัน” แต่หากผู้หนึ่งผู้ใด รื่นรมย์ในการลิ้มชิมรส ก็หวังว่ารสสัมผัสของภาพถ่ายแห่ง “ความตาย” ที่ได้กลืนกินลงท้องไปนี้ จะทำให้ท่านได้มองในมุมที่อาจจะยังไม่เคย...“เห็น” (ผมไม่ได้เห็นด้วยตัวเอง ผมแค่ปฏิบัติตามคำสอนแล้ว...ผมเห็น)
คห.5: 18 มิ.ย. 65, 10:23
“กฎ” (Rule) ข้อแรกของความตายตามบันทึกฉ
“กฎ” (Rule) ข้อแรกของความตายตามบันทึกฉบับนี้ ขอเริ่มด้วย “กฎหมาย” (Rule of Laws) กล่าวคือ “สภาพบุคคลย่อมเริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วอยู่รอดเป็นทารกและสิ้นสุดลงเมื่อตาย” หลักเกณฑ์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 15 วรรคแรก การที่จะมีสภาพบุคคลได้นั้น มีองค์ประกอบ 2 ประการ (1) คือ...การคลอด และ (2) แล้วอยู่รอดเป็นทารก (คลอดมาแล้วไม่หายใจ แปลว่า “ตาย” ไม่ถือว่ามี “สภาพบุคคล”) และสภาพของบุคคลย่อมสิ้นสุดลงด้วย “ความตาย” ครบถ้วนสมบรูณ์แบบของการเกิดแล้วอยู่รอดเป็นทารกลงด้วย...ประโยคสุดท้าย

นี่คือ...จุดกำเนิดของการเกิดแบบมีชีวิตที่กฎหมายให้การรับรอง แต่ก็อาจมีอีกหลายปัจเจกชน คนมีปัญญา ให้ความเห็นแตกต่างออกไปว่า อัน “ชีวิต” นั้นหนา หาได้เริ่มแต่เมื่อคลอด หากแต่มันเริ่มตั้งแต่การหล่อหลอมรวมตัวกันระหว่างนิวเคลียสของเซลล์สืบพันธุ์เพศผู้กับเพศเมีย ตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาแล้วต่างหาก หรือที่เรียกกันว่า “ปฏิสนธิ” ดังนั้น “จุดกำเนิด” ของการเกิดเป็นเผ่าพันธุ์มนุษย์ ก็ได้ถูกมองต่างกันด้วยความคิดที่แตกต่างของมนุษย์ด้วยกันเอง นานาจิตตัง เป็นเรื่องที่สุดแสนจะธรรมดา แต่ท้ายที่สุด ไม่ว่าเอ็งหรือข้าฯ ไม่ว่าจะตัวผู้หรือตัวเมีย ก็ต้องตกล่องปล่องชิ้น ดำเนินไปตามครรลองของกฎหมายไทยที่ได้ให้การรับรองไว้(ขอกล่าวเฉพาะกฎหมายไทย) ดังนั้น เพื่อให้เข้ากับบรรยากาศของบันทึกแห่งความตามฉบับนี้ ส่วนตัวผมนั้น ก็ขอคิดด้วยคนว่า การกำเนิดเกิดมาแบบมีชีวีนั้น มันก็แค่ “บทเริ่มต้นของความตาย” หากยังไม่หลุดพ้นจาก...วัฎสงสาร
 
แก้ไข 19 มิ.ย. 65, 08:56
คห.6: 18 มิ.ย. 65, 10:25
[b]“การเกิดแบบมีชีวิต”[/b] ตามมาตรา 15 ขอ
“การเกิดแบบมีชีวิต” ตามมาตรา 15 ของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เริ่มแต่เมื่อคลอดแล้วต้องอยู่รอดเป็นทารก ยกระดับการเจริญเติบโต ตั้งไข่ล้มต้มไข่กิน พอเริ่มเดินเตาะแตะ แล้ววิ่งได้ ก็ย่างเข้าสู่วัยแห่งการศึกษาเล่าเรียน ถูกจับดินสอยัดใส่มือให้เริ่มหัดขีดเขียน ก. เอ๋ย ก. ไก่ ในวัยอนุบาล ไต่ไล่ระดับขึ้นไปชั้นประถม ต่อด้วยมัธยม และก้าวเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย เพื่อร่ำเรียนวิชาทำมาหา “เลี้ยงชีพของตัวเอง” ครรลองการเดินทางของชีวิต ก็ย่อมมีการเจ็บป่วยได้ไข้ เป็นธรรมดาของสังขาร เมื่อเจ็บป่วยได้ไข้ ก็ให้หมอรักษา หายป่วย ก็กลับเข้าสู่วังวนแห่งการดิ้นรนทำมาหาเลี้ยงชีพกันต่อไป จนกว่า “กาละ” จะจูงสังขารให้ก้าวเดินผ่านสังคมแห่งการดิ้นรนทำมาหากิน ให้ไปสะดุดหยุดอยู่ ณ วัน “แซยิด” โบกมืออำลาเพื่อนร่วมงาน เดินทางกลับบ้านไปใช้ชีวิตเหลืออยู่ในที่ชอบ ๆ จนกระทั่งวันหนึ่งได้มีโอกาสกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง นั่งศึกษาตำราบทสุดท้ายอันว่าด้วย “ความตาย” ปิดฉากของการเกิดแบบมีชีวิตไว้ที่ปลายทาง ณ เวลาใดเวลาหนึ่งที่...“ไม่แน่นอน แต่แน่นอน”
คห.7: 18 มิ.ย. 65, 10:27
นับแต่วันแรกของการเกิดแล้วอยู่รอด
นับแต่วันแรกของการเกิดแล้วอยู่รอดเป็นทารก ขาก้าวหนึ่งของชีวิต ก็ได้ก้าวย่างเข้าไปสัมผัส “ความตาย” อยู่ทุกขณะของเวลา ดังจะสังเกตได้จากประโยคสุดท้ายของมาตรา 15 (ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์) ที่ว่า “...และสิ้นสุดลงเมื่อตาย”  มันคือ ท่วงทำนองอันงดงามของการเกิด ที่ให้โอกาสกับใครคนใดคนหนึ่ง ได้เกิดแบบมีชีวิต ได้ดื่มด่ำหรือกล้ำกลืนฝืนทนกับการดำรงอยู่ของชีวิต และจบฉากสุดท้ายของชีวิตอย่างบริบรูณ์ด้วย...“ความตาย” 

ระหว่างทางที่ชีวิตได้ท่องไปตามวิถี ผมได้มีโอกาสมองเห็นความตาย ภายใต้ครรลองของสัตว์สังคม ได้เรียนรู้ในเรื่องสิทธิมนุษยชน เกี่ยวกับการตัดสินใจด้วยตัวเอง (the right of self-determination) ว่าจะยินยอมให้หมอทำการรักษาเมื่อยามเจ็บป่วยได้ไข้หรือไม่ หรือจะสงวนการรักษาด้วยเฉพาะวิธีการหนึ่งใดเท่านั้น (เช่น ความเชื่อในบางศาสนาไม่ยินยอมให้รักษาด้วยการให้เลือด เป็นต้น) หรือแม้กระทั่งการตัดสินใจที่จะมีหรือไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกประการหนึ่งด้วย ด้วยความเคารพ ชีวิตของท่าน ความเชื่อของท่าน การที่ท่านตัดสินใจเลือกเอง จึงเป็นสิทธิที่เหมาะสมแล้วในความคิดเห็นของผม ดังกล่าวมานี้ มันทำให้ผมเข้าใจบทสุดท้ายของมาตรา 15 ได้ซาบซึ้งมากขึ้นกว่าเดิม ความเข้าใจเช่นว่านี้ มันทำให้ผมเลิกคำนึงถึงสิ่งที่เคยเดินผ่านพ้นมันไปแล้วในอดีต และก็มิได้คาดหวังสิ่งใดที่ยังมาไม่ถึง ผมเลือกเป็นตัวของตัวเอง ใช้เวลาของชีวิต “อยู่กับปัจจุบัน” เป็นแกะดำในฝูงแกะขาวได้อย่าง...มีความสุข
แก้ไข 20 มิ.ย. 65, 13:29
คห.8: 18 มิ.ย. 65, 10:29
จากปฐมบทการเกิดแบบมีชีวิตของปุถุช
จากปฐมบทการเกิดแบบมีชีวิตของปุถุชนคนทั่วไป เมื่อเติบใหญ่ ก็เข้าเรียนเพียรศึกษา เพื่อจะได้ถูกขนานนามว่าเป็น “ผู้มีวิชา” แต่ทว่า “ความตาย” นั้น หามีใครผู้ใดรู้จักหัวนอนปลายเท้า(ตีน)ของมันไม่ คงจะไม่มีใครบอกได้ว่ามันเกิดและเติบใหญ่มาจากแห่งหนตำบลใด มันเคยถูกอบรมบ่มนิสัยให้เริ่มหัดเรียนเขียน ก. เอ๋ย ก. ไก่ มาจากสถาบันไหน ไม่มีใครรู้ หากพิจารณาจากพฤติกรรมและมารยาทของมัน น่าจะสันนิษฐานในเบื้องต้นได้ว่า โอ้เจ้าความตายนั้นหนา มันคง “ไม่ได้เรียนหนังสือ” หรือได้รับการอบรมบ่มนิสัยมาจากที่ใดและอย่างไร มันถึงได้ไร้มารยาท ขาดจิตสำนึก ไม่เคารพลำดับวาระก่อนหลังของเวลา (พูดง่าย ๆ ได้ว่า มันไม่รู้จักการเข้าแถว ต่อคิว วัฏจักรของการเกิด แก่ เจ็บ และตาย ตามลำดับที่ควรจะเป็นนั่นเอง) และด้วยเหตุนี้ มันจึงมีนิสัยไม่ดี “เอาแต่ใจตัวเอง” เสมือนหนึ่งภาพนี้ (ปลาถูกผ่าให้คลอดจากท้องแม่ของมัน) ที่ถูกความตายแซงคิว ไม่เปิดโอกาสให้ร่างกายทั้งหลายเหล่านี้ได้สัมผัสแม้กระทั่งการเกิด...“แบบมีชีวิต”
คห.9: 18 มิ.ย. 65, 10:30
การที่ “ความตาย” มันเอาแต่ใจตัวเอง
การที่ “ความตาย” มันเอาแต่ใจตัวเองนั้น ทำให้มันนึกจะโผล่แทรกแซงคิวไหน ช่วงเวลาใด ในชีวิตใคร ได้ทั้งนั้น ไม่จำต้องมีการบอกกล่าวแจ้งเตือนล่วงหน้าให้ได้เตรียมเนื้อเตรียมตัว เช่น เกิดมาแล้วตายเลย ไม่มีแก่ ไม่มีเจ็บ เป็นต้น (แต่ที่แย่มากกว่า เห็นทีคงจะเป็นการเกิดมาแล้ว ก็เจ็บไข้ได้ป่วยเลย และดันมีอายุไขยาวนานเสียด้วย น่าเห็นใจคนดูแล) และความตายนี้มันก็หาได้สนตะกวดอะไรหรือเกรงใจใครหน้าไหนไม่ มันมักถือวิสาสะ ใช้นิสัยที่เอาแต่ใจ ไร้การอบรม “พรากเวลา” ออกไปจากชีวิตของใครได้ทุกขณะและทุกวัย ตามที่ใจมันต้องการ สรุปเอาเองได้ว่า ความตายนั้น มันไม่เคารพลำดับวาระและ...เวลา
คห.10: 18 มิ.ย. 65, 10:31
ถึงแม้ว่ามันจะไร้มารยาท แต่ในบางคร
ถึงแม้ว่ามันจะไร้มารยาท แต่ในบางครั้งบางที มันก็ยังแอบมีน้ำใจ ให้ “ของแถม” กับการเกิดแบบมีชีวิต แต่ของแถม มันก็คือของแถม จำนวนหรือปริมาณจึงมีไม่มาก (แต่ก็ยังดีกว่าไม่มี) ของแถมที่ว่านี้ คือ “น้ำใจ” ที่ความตายได้หยิบยื่นให้กับชีวิต การแถม “เวลา” ให้กับเจ้าของชีวิตมีโอกาสได้เกิด แล้วอยู่รอดเป็นทารกต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง  จากภาพนี้ คาดว่าเจ้านกน้อยมันถูกพ่อแม่กกฟักตัวมันออกมาจากไข่ ประคบประหงมให้ได้รู้จักรสสัมผัสของการเกิด ตามโควต้า “น้ำใจ” ที่เจ้าความตายได้หยิบยื่นให้ มันจึงมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกเพียงชั่วขณะหนึ่ง อาจจะไม่มีโอกาสเรียนรู้การฝึกบินออกจากรังให้ไปใช้ชีวิตเวียนว่ายในสังคม อาจไม่ได้สัมผัสรับรู้รสชาติของการเจ็บป่วยได้ไข้ หรือแม้กระทั่งมีโอกาสได้แก่ตัวลงในอนาคต แต่ก็แอบหวังว่า มันคงได้ใช้เวลาที่ความตายแถมมาให้มันนั้น สัมผัสกับ “ความงดงาม” ของชีวิตได้...“อย่างคุ้มค่า”
คห.11: 18 มิ.ย. 65, 10:33
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ เป็นบทลงโท
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ เป็นบทลงโทษในสองฐานความผิด ความผิดแรกฐาน “บุกรุก” เคหะสถานในเวลากลางคืนก่อนเที่ยง(คืน) แต่ไม่สามารถรวมความผิดฐานที่สอง “ทำให้เสียทรัพย์” จากการกัดแทะทรัพย์สินในบ้านเพิ่มอีกหนึ่งข้อหาได้ เพราะมีแค่ร่องรอยการกัดแทะ แต่ไม่สามารถหาพยานหลักฐานมาพิสูจน์ได้ว่าเจ้าตัวนี้เป็นผู้กระทำการกัดแทะให้ทรัพย์เสียหาย ดังนั้น ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์...จึงตกไป
แก้ไข 18 มิ.ย. 65, 20:34
คห.12: 18 มิ.ย. 65, 10:36
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ เป็นบทลงโท
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ เป็นบทลงโทษสองฐานความผิดเช่นกัน ความผิดฐานแรก คือ “บุกรุก” เคหะสถานยามกลางคืนหลังเที่ยง(คืน) และความผิดฐานที่สอง คือ “ทำให้เจ้าของบ้าน(ผู้หญิง)ตกใจ” (เพราะเขาเป็นคนที่กลัวหนูมาก) จากการสอบปากคำผู้เสียหาย(คนที่กลัวหนู) ทราบว่า คนร้าย(หนู) ได้โผล่หน้าออกมาให้เขาเห็น ในวันใดนั้นมิอาจทราบได้ รู้แต่เพียงเวลาพลบค่ำหลังดวงอาทิตย์ตกดินไปแล้ว การสืบเสาะแสวงหาข้อเท็จจริง เริ่มต้นด้วยการถามคำถามผู้เสียหายฝ่ายที่ตกใจ เมื่อคำถามถูกถามได้เพียงไม่กี่คำ ก็ถูกอำนาจที่เหนือกว่า บีบคั้น กดดัน ทำให้ไม่สามารถสืบเสาะเบาะแสแห่งข้อเท็จจริงไปไกลกว่านี้ได้ จึงจำต้องยุติการสืบเสาะข้อเท็จจริง ไม่มีแม้กระทั่งโอกาสได้เอ่ยปากถามไถ่ ว่าเพราะเหตุใดจึงต้องยุติการสืบเสาะข้อเท็จจริงลง ณ กลางคัน แต่เพื่อความสบายหูและสบายใจ จึงต้องรีบออกไปหาซื้อกับดัก(หนู)มาโดยเร็ว บทสรุปจึงมีว่า ในบางครั้ง การดำรงชีวิตให้เกิดความสงบสุขนั้น มันไม่จำเป็นต้อง “ขวางเรือตอนน้ำเชี่ยว” เสมอไป (แล้วรีบๆไปซื้อกับดักหนูมาซ่ะ...จบ สงบ สบายหู) ประสบการณ์ในอดีตที่ผ่านมา ทำให้ “รู้หลบเป็นปีก รู้หลีกเป็นหาง” แล้วผันตัวเองให้กลายเป็น...“สนลู่ลม”
คห.13: 18 มิ.ย. 65, 10:36
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ เกิดจากการ
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ เกิดจากการบิน “บุกรุก” เข้ามาเข้ามาในเคหสถาน วันใด เวลาใด ไม่เป็นที่ปรากฎ พบเจอศพอยู่ในลักษณะนอนคว่ำหน้าบนโต๊ะทำงาน บริเวณหน้าคอมพิวเตอร์ ในห้องสมุด สังเกตจากลักษณะภายนอก พบว่ามีฝุ่นเกาะที่ตัวศพ และรอบบริเวณที่พบศพก็ยังเต็มไปด้วยฝุ่น (เพราะคนอยู่บ้านไม่มาทำความสะอาดโต๊ะทำงานให้) สันนิษฐานเบื้องต้นได้ว่า “ความตาย” ได้พรากชีวิตออกไปจากร่างกายนี้ มาเป็นเวลาหลายวันแล้ว (เพราะฝุ่นเกาะเต็มตัว) ด้วยความสงสัยในลักษณะการตาย จึงนำไปทำการชันสูตรพลิกศพ ลักษณะของการตาย ไม่พบร่อยรอยการต่อสู้ ไม่ปรากฎบาดแผลฉีกขาดขอบเรียบหรือขอบไม่เรียบแต่อย่างใดที่ตัวศพ อวัยวะที่ตัวศพก็อยู่ครบถ้วน และสภาพร่างกายของศพอยู่ในสภาพแห้งมาก จึงสันนิษฐานสาเหตุการตายในกรณีนี้ได้ว่า น่าจะเกิดจากการ...ขาดน้ำและอาหาร
คห.14: 18 มิ.ย. 65, 10:37
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตร
ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 395 “บุคคลใดเข้าทำกิจการแทนผู้อื่นโดยเขามิได้ว่าขานวานใช้ให้ทำก็ดี หรือโดยมิได้มีสิทธิที่จะทำการงานนั้นแทนผู้อื่นด้วยประการใดก็ดี ท่านว่าบุคคลนั้นจะต้องจัดการงานไปในทางที่จะให้สมประโยชน์ของตัวการ ตามความประสงค์อันแท้จริงของตัวการ หรือตามที่จะพึงสันนิษฐานได้ว่าเป็นความประสงค์ของตัวการ” จากหลักกฎหมายดังกล่าว เมื่อสืบข้อเท็จจริงจากภาพนี้ เป็นที่ปรากฎว่า ณ วันหนึ่ง เวลาใด ไม่เป็นที่ปรากฎ(จำไม่ได้) ได้ยินเสียงกับดักหนูดังขึ้น จึงได้เดินออกจากห้องเพื่อพิสูจน์ทราบแหล่งที่มาของเสียงกับดักหนู ก็พบเจอกับภาพแห่งความตายนี้ปรากฎอยู่ต่อหน้า จึงสันนิฐานมูลเหตุจูงใจอันเป็นที่มาของภาพนี้ได้ว่า เจ้าจิ้งจก(บุคคลใด)ได้เข้าทำกิจการแทนผู้อื่น(หนู) โดยที่เขา(หนู)มิได้ขานวานใช้ให้ทำแต่ประการใด ท่านว่าบุคคลนั้น(จิ้งจก) จะต้องจัดการงานไปในทางที่จะให้สมประโยชน์ของตัวการ(หนู) ดังนั้น ภาพนี้จึงเป็นบทเรียนตามกฎหมาย ว่าด้วยการ “จัดการงานนอกสั่ง” (ภาษาชาวบ้านเรียกว่า “ยุ่งไม่เข้าเรื่อง” หรือ เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป ในคำว่า “ส. ใส่เกือก”) จึงเป็นเหตุทำให้จิ้งจกตัวนี้ ใส่เกือก กระเดือกไปกินอาหารในกับดักหนู ผลลัพธ์ก็ออกมาเป็น...แบบนี้
คห.15: 18 มิ.ย. 65, 10:39
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ พบเจอที่มุ
บันทึกแห่งความตายภาพนี้ พบเจอที่มุมวงกบด้านบนของประตูหน้าบ้าน สันนิษฐานได้ว่า การที่เจ้ากิ้งกือปีนป่ายจากพื้นดินขึ้นมาที่ตำแหน่งนี้ ย่อมสื่อถึง “เจตนา” ของเจ้ากิ้งกือตามมาตรา 59 ของประมวลกฎหมายอาญาได้ว่า มันมีเจตนามุ่ง “ประสงค์ต่อผล” ที่จะบุกรุกเข้าไปในเคหะสถาน แต่การลงมือกระทำความผิดฐานบุกรุกนั้น ไม่สำเร็จ (เพราะถูกประตูหนีบตายคาที่เอาเสียก่อน) การลงมือกระทำความผิดของเจ้ากิ้งกือ ไม่สามารถหาหลักฐานพิสูจน์ได้ว่า ลงมือทำในเวลากลางวัน หรือเวลากลางคืน(ซึ่งมีโทษหนักกว่าเวลากลางวัน) พอมาเห็น มันก็แห้งติดอยู่ตรงนี้แล้ว แต่อย่างไรก็ดี มาตรา 38 แห่งประมวลกฎหมายอาญา ได้บัญญัติไว้ว่า “โทษให้เป็นอันระงับไปด้วยความตายของผู้กระทำความผิด” ดังนั้น บันทึกแห่งความตายภาพนี้ จึงไม่มีการกล่าวโทษร้องทุกข์เจ้ากิ้งกือตัวนี้แต่อย่างใด เพราะโทษทางอาญาให้เป็นอันระงับไป ด้วยเหตุแห่ง “ความตาย” ของ...“ผู้กระทำความผิด”
คห.16: 18 มิ.ย. 65, 10:40
นอกจากมัน(ความตาย) จะไม่เคารพลำดับว
นอกจากมัน(ความตาย) จะไม่เคารพลำดับวาระของเวลาแล้วนั้น มันยัง “ไม่เคารพสถานที่” ด้วยเช่นกัน มันไม่เลือกปฏิบัติว่า เจ้าของบ้านหลังนี้ มีนามสกุลรุนชาติพันธุ์อันแสนดี ถ้าเป็นเช่นนี้ ขอละเว้น ไม่แวะเข้าไปเยี่ยมเยียนก็แล้วกัน แต่เฮ๊ย! เจ้าของบ้านหลังนี้มันชอบยิงนก ตกปลา ล่าสัตว์ แถมยังโดนเมียบ่นก่นด่าอยู่เกือบทุกวี่วัน หากเป็นเช่นนั้น งั้นกูขอแวะเข้าไปนั่งก๊งเหล้าที่บ้านกับมันเย็นนี้ดีกว่าว่ะ ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ หาได้เป็นเช่นนั้นไม่ ความตายนั้น คงจะมีอิสระ อยากเข้าซอยนี้ ออกซอยนั้น ได้อย่างเสรี ด้วยนิสัยเช่นว่านี้ มันจึงเหลิงตัว เข้าออกท่องไปได้ทุกสถานที่ ไม่เว้นแต่แม้กระทั่ง...ตู้กดเงิน
คห.17: 18 มิ.ย. 65, 10:42
การตระหนักรับรู้ [b]“คุณค่าของการมีช
การตระหนักรับรู้ “คุณค่าของการมีชีวิต” ก่อให้เกิดความกลัวตายขึ้นในหมู่ผู้คน สาเหตุของความกลัว(ตาย)เช่นว่านี้สันนิษฐานในเบื้องต้นได้ว่า คงอาจสืบเนื่องมาจากการมีนิสัยที่ติดการ “เสพสุข” เสพความสวยงามตามธรรมชาติของโลกใบนี้ (ถ้าทุกข์มันคงลาโลกไปนานแล้วละ) ด้วยเหตุนี้ คนที่ถูกใครต่อใครขนานนามว่าเป็น “ผู้มีการศึกษา” จึงได้เสาะแสวงหาเคล็ดลับวิชา เอาชนะกติกาของธรรมชาติ ยืดอายุไข ให้ชีวิตได้มี “วันพรุ่งนี้” แม้จะมีเพียงแค่ไม่กี่นาทีก็ตาม ครั้นจะร้องเพลง “อยู่ต่อไปเลยได้ไหม...อย่าปล่อยให้ฉันไป...” เห็นทีคงจะเป็นไปไม่ได้ เพราะ “ความตาย” มันคือ “กฏธรรมชาติ” (Natural Law) ข้อที่สองของการ...มีชีวิตอยู่ 
คห.18: 18 มิ.ย. 65, 10:42
แม้ว่า...จะได้เคยอ่าน เคยศึกษาเกี่ยว
แม้ว่า...จะได้เคยอ่าน เคยศึกษาเกี่ยวกับสิทธิในการตัดสินใจด้วยตัวเอง ที่จะบอกกล่าวกับหมอว่า ไม่ต้องรักษาตัวเองให้หายจากการเจ็บป่วยได้ไข้ ทั้งนี้ ก็เพราะว่าเจ้าของชีวิตนั้น มีความประสงค์ที่จะลงทะเบียนเรียนวิชา ว่าด้วยบทสุดท้ายของชีวิตแต่เนิ่น ๆ ก็ตาม ทว่า การพิจารณาให้สิทธิดังกล่าวนั้น เช่น ควรจะให้สิทธิกับใคร อายุถึงเกณฑ์อันควรจะลงทะเบียนเข้าเรียนแล้วหรือไม่ อะไรคือหลักคิดพิจารณา ดังกล่าวมานี้ ล้วนแต่เป็นเหตุผลของผู้ที่ยังอยากมีชีวิตอยู่ (แต่คนไข้ที่ตัดสินใจไม่ดำรงชีวิตอีกต่อไป...เขาคงคิดต่าง) ดังนั้น จึงต้องตั้งปุจฉาถามไถ่กันไป ต่าง ๆ นานา เพื่อให้ได้วิสัชนา แต่ “ความตาย” นั้นหนา หาได้สนใจใยดีในปุจฉาหรือวิสัชนาไม่ มันสามารถใช้ “เอกสิทธิ์” (Privilege Rights) ของมัน มอบความตายให้ใครต่อใคร ได้อย่างไม่สนใจอายุไขและลำดับวาระของ...เวลา
คห.19: 18 มิ.ย. 65, 10:44
ถึงแม้ว่าภาพนี้ จะไม่ใช่ภาพท่าน้ำ
ถึงแม้ว่าภาพนี้ จะไม่ใช่ภาพท่าน้ำ ที่มีสะพานยื่นยาวจากตลิ่งไปสู่คลอง มีหญิงสาวอุ้มกอดลูกไว้ในอ้อมแขน ยืนรอคอยคนรักกลับมาจากแดนไกลที่ปลายสะพาน สื่อถึง “สัญญาขันธ์” ฉันท์ภรรยาจะพึงมีต่อสามี แม้ว่าชีวีหาได้มีอยู่ในภพภูมิเดียวกันไม่ โอ้! จันทร์เจ้าขา ในขณะที่เจ้ากำลังจะโผล่พ้นทิวไม้ ลอยสูงขึ้นไปบนเมฆา ความงามของเจ้า ณ ย่ำค่ำคืนนี้ ได้ดลใจให้ข้าฯนึกถึงวลีเด็ดของหนังไทย “ฉันออกไปรอพี่ ที่ท่าน้ำทุกวัน”(นึกถึงเสียงผู้หญิง น้ำเสียงเย็นๆ เอ่ยถ้อยคำเนิบๆ ยืนอุ้มลูกอยู่ที่ท่าน้ำยามพลบค่ำ) เมื่อนึกได้เช่นนั้น ผมก็เดินกลับเข้าบ้านไปคว้ากล้องถ่ายรูป เก็บอย่างดีในตู้ควบคุมความชื้น นำเอาออกมาปัดฝุ่น บันทึกเก็บฉากนี้เอาไว้เพื่อนำมาประกอบเป็นเรื่องราวเล่าขานในบันทึกฉบับนี้ (ก่อนจะกลับไปนั่งก๊งเบียร์ต่อกับเพื่อนที่หน้าบ้าน) ตราบใดที่ฉากเด็ดของหนังเรื่องนี้ มีหญิงสาวอุ้มลูกออกไปยืนรอคนรักที่ท่าน้ำทุก ๆ พลบค่ำฉันท์ใด “ความตาย” มันก็มาซุ่มเฝ้ารอดูการดำรงชีวิตของผู้คนอยู่...ฉันท์นั้น 
แก้ไข 19 มิ.ย. 65, 00:22
คห.20: 18 มิ.ย. 65, 10:46
การดำรงชีวิตในรูปแบบมนุษย์เงินเดื
การดำรงชีวิตในรูปแบบมนุษย์เงินเดือน เริ่มต้นจากการใช้วิชาที่ได้ร่ำเรียนมา หาเงินใช้ช่วยเหลือที่บ้านตั้งแต่ก่อนจบการศึกษา เมื่อได้ใบปริญญามา ก็เอาไปเร่ขายในตลาดแรงงาน บอกกล่าวเล่าขานสรรพคุณอวดอ้างตัวเองว่า อันตัวข้าฯ นั้นหนา มีดีกรีแบบนี้ แสนดีอย่างงั้น ขอขายตัวของฉันในราคาเท่านี้ ใครจะซื้อเอาไปเป็น “เครื่องไม้ - เครื่องมือ” ในการประกอบกิจการบ้างไหม ในวันหนึ่งเมื่อขายออก ก็เอาวิชาที่เรียนมากับเวลาในชีวิต (8 ชั่งโมงต่อวัน 5 วันต่อสัปดาห์) แลกกับค่าตอบแทนเป็นเงินรายเดือน ซื้อข้าว น้ำแข็ง โซดา อีกทั้งกับแกล้มต่าง ๆ นานา ผ่อนรถ ผ่อนบ้าน แต่งเมีย ซื้อเบ็ดตกปลา กล้องถ่ายรูป และปืนผาหน้าไม้ ฯลฯ ตอบสนองกิเลสแห่งความอยากให้กับตัวเอง ส่วนใครจะอยากได้อะไร ใส่หัวโขนอะไร เล่นบทบาทไหนในสังคม ก็หาซื้อความอยากนั้นมาสนองรสนิยมกันเอาเอง...ก็แล้วกัน

แล้ววันหนึ่ง “กาละ” ก็จูงมือลูกจ้าง ไปแนะนำให้รู้จักกับ “ความชรา” ทั้งก่อนวัยอันควรและสมควรแก่วัยก็ตาม ส่วนสาเหตุของความชราก่อนวันนั้น ก็โยนความผิดให้กับ “ความเครียด” ไป (เฉกเช่นเดียวกับกรณีไฟใหม้ ก็มักโยนสาเหตุให้กับ “ไฟฟ้าลัดวงจร” เป็นต้น)  ความชราเช่นว่านี้ ถ้าหากเกิดขึ้นกับลูกจ้างที่ “ทน-ทำ-งาน” มานานแสนนาน จนกระทั่งถึงวันที่มีอายุไขครบ 5 รอบนักษัตร(แซยิด) ถือเป็นเหตุร้ายแรงอย่างหนึ่ง ที่นายจ้างสามารถบอกเลิกการจ้างงานได้ (แต่ต้องจ่ายค่าตอบแทน/ค่าชดเชยตามกฎหมายแรงงาน) พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆ คือ “ไล่ออกจากงาน” (ภาษาในสัญญาจ้างแรงงานเรียกว่า “ครบกำหนดระยะเวลาการจ้างงาน” หรือที่ชาวบ้านรู้จักกันโดยทั่วกันว่า “เกษียณอายุ”) ดังนั้น สรุปให้เข้าใจง่าย ๆ ได้ว่า “ความแก่” ตัวลงนั้นเป็นเหตุให้(ลูกจ้าง)ถูก “เลิกจ้าง” ได้...นั่นเอง
   
คห.21: 18 มิ.ย. 65, 10:47
ในบริบทแห่ง “กฎธรรมชาติ” นั้น ปัจฉิ
ในบริบทแห่ง “กฎธรรมชาติ” นั้น ปัจฉิมพุทธโอวาท พระองค์ทรงตรัสไว้ว่า “สังขารทั้งหลายมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา ท่านทั้งหลายจงทำความไม่ประมาทให้พร้อมเถิด” พุทธโอวาทดังกล่าวนี้ คือ ความจริงที่ชีวิตของคนเรานั้น ให้ตระหนักอยู่บนความไม่ประมาท...เสมอ
คห.22: 18 มิ.ย. 65, 10:49
การเรียนรู้ความผิดพลาดที่ดีนั้น ท่
การเรียนรู้ความผิดพลาดที่ดีนั้น ท่านผู้รู้เคยเอ่ยคำสอนไว้ให้คิดตาม เมื่อสดับรับฟังแล้วก็เข้าใจได้ไว้ว่า การเรียนรู้ที่ดีนั้นหนา “ให้เรียนรู้ข้อผิดพลาด...ของคนอื่น” แล้วนำเอากลับมาปรับปรุงตัวเอง ด้วยความเคารพ ท่านผู้รู้ ท่านอาจจะกล่าวได้ไม่จบและครบถ้วนกระบวนความ เพราะตราบใดที่ผมยังคงได้ยินคำคมที่ว่า “เหรียญมันมีสองด้านเสมอ” และฝรั่งก็ยังบอกสอนต่อ ๆ กันมาเอาไว้อีกด้วยว่า “Everybody Makes Mistake” นั่นย่อมหมายความว่า ไม่ว่าไอ้อีหน้าไหนนั้นหนา ก็ย่อมทำผิดและพลั้งพลาดกันได้ ดังนั้น การที่ใครคนใดคนหนึ่ง จ้องจะเรียนรู้แต่ความผิดพลาดของคนอื่นเพียงอย่างเดียว อีกทั้ง ยังไม่ฝักใฝ่ใคร่พินิจ แล้วนำเอามาพิจารณา ว่าเท็จจริงที่ได้รับฟังมานั้นหนา วิญญูชนเขาคิดอ่านเช่นไร หากความจริงปรากฎเป็นเช่นนี้แล้วไซร้ ไอ้อีคนเหล่านั้นก็หาได้มีคุณค่า ควรแก่การเอ่ยปากบอกสอนให้ได้สดับรับฟัง คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกรรม สัมผัสกับการ “พลาดพลั้ง” ของตัวมันเองและด้วยตัวของ...มันเอง 
คห.23: 18 มิ.ย. 65, 10:50
ในเมื่อ [b]“สี่ตีนยังรู้พลาด และนักป
ในเมื่อ “สี่ตีนยังรู้พลาด และนักปราชญ์ก็ยังรู้พลั้ง” ดังนั้น นับประสาอะไรกับมนุษย์ที่มีเพียงแค่สองตีน จะไม่พลั้งพลาด ณ วันใดวันหนึ่ง ความผิดพลาดพลั้งเผลอที่เกิดขึ้นระหว่างการเดินทางของชีวิต มันจึงเป็นเรื่อง...ธรรมดา
คห.24: 18 มิ.ย. 65, 10:51
วันหนึ่ง ก็ถึงคราวตัวเอง ณ กลางปี 2558
วันหนึ่ง ก็ถึงคราวตัวเอง ณ กลางปี 2558 ในวันที่มนุษย์เงินเดือนขอลางานไป “พักร้อน” ที่บ้านเกิด บรรยากาศของการพักร้อนในวันแรกนั้น ไม่จำต้องใช้โหรมาพยากรดวงชะตาว่า อาหาร น้ำท่า อีกทั้ง กับแกล้ม น้ำแข็ง และโซดา นั้นจะอุดมสมบรูณ์เพียงเท่าใด กลิ่นไอแห่งความสุข ตลบอบอวนในห้องครัวจนดึกดื่น พอย่างเข้าวันที่สอง ณ ยามย่ำค่ำสนธยา ทำไมทรวงอุรามันถึงรู้สึกหนาวสั่นอย่างไม่มีสาเหตุ ด้วยความหวงแหนห้วงเวลาในการ “เสพสุข” ที่มีจำกัด จึงต้องแบกหน้าไปให้บุคคลากรทางการแพทย์ทำการรักษา เมื่อเข็มปักตูด จึงไม่ถูกกักตัว แต่ทว่า หัวค่ำของวันที่สาม อาการหนาวสั่นทรวงอุรา มันยังอุตริหวนคืนกลับมา อย่างไม่ยอมลดลา จำต้องแบกหน้ากลับไปที่โรงหมอ และถูกกักตัว เสียบสายฟ้า เหงยหน้ามองเพดาน ค้างคืนในห้องพักผู้ป่วยที่โรงหมอในคืนนั้น ณ ทันที บทเรียนในครั้งนี้สอนให้รู้ว่า คนอื่นก็เรียนรู้ความผิดพลาดจากตัวเราได้ด้วย...เช่นกัน
คห.25: 18 มิ.ย. 65, 10:51
สิบกว่าขวบปีที่ห่างเหินจากการนอนค
สิบกว่าขวบปีที่ห่างเหินจากการนอนค้างอ้างแรม ณ โรงหมอ ก็เวียนมาบรรจบครบรอบในครั้งนี้ ทำให้รู้ซึ้งเป็นอย่างดีแล้ว กับคำว่า “อโรคยา ปรมาลาภา” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสิรฐนั้น มันช่างดีแสนดี...เพียงใด
1234>
siamfishing.com © 2024