ภาพที่ 1"ถ้าคุณเป็นนักตกกีฬาปลา คุณน่าจะรู้จัก ราพาร่า เหยื่อปลอมขนาดต่างๆ ซึ่งแต่ละตัวมีอำนาจที่สามารถสะกตจิตปลา
ให้เข้ามาคว้ากินได้ แต่คุณอาจจะไม่เคยได้ยินถึงเรื่องราวของคนผู้ซึ่งผลิตเหยื่อปลอมเหล่านี้ขึ้นมา นักตกปลาธรรมดาๆ
ซึ่งใช้ชีวิตของตัวอย่างเงียบๆ ซ่อนเร้น มีชื่อว่า ลัวรี่ ราพาล่า ซึ่งประสบโชคจากงานประดิษฐกรรมของเขา
เพื่อที่จะจบชีวิตลงในความเศร้าที่เป็นโศกนาฏกรรม"
ชุ่น ช่อลำดวน
ขอขอบคุณ บทความและภาพในคอลัมน์คนกลางแจ้ง โดย ชุ่น ช่อลำดวน หนังสือชีวิตกลางแจ้ง ปีที่ 2
ฉบับที่ 20 กุมภาพันธ์ 2526
ขอขอบคุณ เว๊ป Greenfishings ที่เอื้อเผื่อพื้นที่ในการแบ่งปันความรู้ครับ
--------------------------------------------------------------------------------------------------
(เครดิคพี่ porntep เว๊ป Greenfishings) ขออนุญาติใช้ข้อมูลเพื่อเป็นความรู้แก่นักตกปลารุ่นใหม่นะครับ ขอบพระคุณครับ
ภาพที่ 2ลัวลี่ ราพาล่า เกิดที่เมืองเล็กๆ ในปี 1907 เขาเป็นเด็กกำพร้า ไม่เคยเห็นหรือรู้เรื่องราวของพ่อผู้ให้กำเนิด ไม่มีแม้แต่นามสกุล จวบจนกระทั่งอายุได้ 5 ขวบ เจ้าหน้าที่ทางทะเบียนราษฎร์จึงตั้งนามสกุลให้เขาว่า "ราพาล่า" ตามชื่อของเมืองที่เขาได้เกิดมา ซึ่งคำว่า Rapala(ราพาล่า)ในภาษาถิ่นที่นี่ หมายความถึงความมัวหม่น หม่นหมอง ปลักตม ซึ่งตรงกับบุคลิกภาพหม่นหมองของเด็กกำพร้าน้อยคนนี้ ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาพบเจอแต่ความยากลำบาก ต้องทำงานหนัก หาเช้ากินค่ำ แม้แต่ออกรบในสงครามทั้งกับพวกรัสเซียและเยอรมันเพียงเพื่อได้มีอาหารและเกียริติยศเล็กน้อยในจิตใจ
ภาพที่ 3เป็นเวลาหลายสิบปี ที่เขาตกปลาอยู่ตามทะเลสาบชายป่าซึ่งอยู่ไกลออกไปทางด้านเหนือของ เฮลซิงกิประมาณ 2 ชั่วโมง โดยอาศัยเรือกรรเชียงเก่าๆ เขาเพียรเรียนรู้การต่อสู้เพื่อยังชีพในกระแสน้ำ เฝ้ามองปลาเหยื่อตัวเล็กๆ ที่ถูกงาบเข้าไปในอุ้งปากมหึมาของปลานักล่า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลาเทร้าท์หรือไม่ก็ปลาไพค์"ผมได้เห็นว่าปลาใหญ่ๆ นั้นมักจะรอคอยจนกระทั่งสามารถเลือกเหยื่อที่มีลักษณะอาการแตกต่างไปจากตัว อื่น"เขาเคยพูดอธิบายให้ฟัง "การที่ปลาเหยื่อถูกปลานักล่าขนาดใหญ่ กินก็เป็นเพราะกริยาอาการว่ายที่ไม่เหมือนตัวอื่นๆ เป็นจังหวะที่ต่างกัน" ด้วยการสังเกตุพฤติกรรมนิสัยปลามาเนิ่นนาน เขาถึงขนาดทายไว้ล่วงหน้าได้ว่าเมื่อลงเหยื่อเสร็จ ปลาจะกินเหยื่อตัวใหนก่อน
ภาพที่ 4นี่ไม่ใช่การฝึกสังเกตุการณ์อย่างอดทนที่ไร้ค่า เพราะครอบครัวราพาล่ามีชีวิตอยู่ได้ ด้วยปลาตลอดระยะเวลาทุกข์ยากอันยาวนาน หลังจากไม่ได้มรรคผลอะไรจากอาชีพเพาะปลูกและตัดซุง เขาตกลงใจเป็นชาวประมงและแต่งงานกับภรรยาของเขา เอลมา ซึ่งมีลูกด้วยกัน 7 คน ครอบครัวนี้อยู่รวมกันในกระท่อมซุงสี่เหลี่ยมขนาดกว้างยาว 13 ฟุต เฟอร์นิเจอร์ในบ้านมีเตียงอยู่ตัวหนึ่งและเมื่อไฟฟ้าไปถึงที่นั่นในปี 1939 ทั้งบ้านมีตะเกียงน้ำมันอยู่เพียงดวงเดียว
ภาพที่ 5ลัวรี่ ราพาล่า ตกปลาอย่างหนักแทบทุกลมหายใจที่ตื่น ในทะเลสาบใกล้ๆกับ วาแอคซี่ ฟินด์แลนด์ เขาจะวนเวียนพายเรืออยู่ในนั้นเป็นวันๆ หรืออาจวันข้ามวัน มีตาข่ายใส่เหยื่อปลาและเบ็ดนับร้อยๆสาย และเขาไม่เคยมีคันเบ็ดใช้เลย บางทีเขาจะหายไป 2 วันแล้วกลับมาพร้อมด้วยปลาเทร้าท์หนักรวมกันถึง 600 ปอนด์ และบางทีก็หายไปนานกว่านั้นแล้วกลับมาแบบไม่ได้อะไรเลย
ภาพที่ 6สโต้ ลูกชายคนหนึ่งของเขาพูดถึงพ่อแบบทบทวนความหลังว่า พ่อออกจากบ้านในฤดูหนาว วิ่งสกีไปหลายๆ ไมล์ข้ามหิมะและน้ำแข็งไปยังแหล่งตกปลา เพื่อเจาะหิมะและน้ำแข็งซึ่งหนาถึง 23 นิ้ว ให้เป็นรูแล้ววางเบ็ดพร้อมปลาเหยื่อลงไปนำอาหารกลับมาให้ครอบครัวยังชีพ
ภาพที่ 7อย่างไรก็ตาม ในช่วงฤดูร้อนซึ่งเขาต้องทำงานสายตัวแทบขาดนั่นเอง ราพาล่าได้หวนคิดถึงปลาที่มีลักษณะว่ายน้ำผิดปกติเฉไปมา และโดนปลาล่าเหยื่อเข้าชาร์จตลอดเวลา ลักษณะเช่นนี้น่าจะเป็นแรงดึงดูดเจ้าตัวใต้น้ำได้เป็นอย่างดี เขาจึงค้นคิดและลองทำเหยื่อปลอมซึ่งถูกลากและมีแอคชั่นออกอาการคล้ายๆ ปลาเหยื่อที่กำลังบาดเจ็บซึ่งจะเรียกร้องความสนใจจากปลาล่าเหยื่อ
ภาพที่ 8หลังจากทดลองหลายครั้งหลายหนเขาก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า เหยื่อนั้นต้องใช้วัสดุเบาๆ ทำ มันจะได้มีแอ็คชั่นเหมือนเหยื่อปลาที่บาดเจ็บมากที่สุด ตอนแรกเขาใช้ไม้สนในการทำเหยื่อปลอมรูปตัวปลา ต่อมาได้ทดลองใช้เปลี่ยนเป็นไม้บัลซ่าจากอีควาดอร์ เขาตกแต่งเหยื่อนั้นให้มีลักษณะคลายตัวปลา ใช้กระดาษ ตะกั่ว ทากาวทับติดตัวปลา ติดปากเพื่อให้เหยื่อมีแอคชั่นและเพื่อให้มองดูเหมือนปลาเหยื่อมากขึ้น เขาระบายสีเหยื่อปลอมตัวนี้ด้วยหมึกสีแบบเก่า
ภาพที่ 9เหยื่อปลอมตัวนั้นประสบความสำเร็จอย่างน่าตกใจ มันเกินความคาดหมายของเขาอย่างมาก กิติศัพท์เรื่องเหยื่อของเค้าล่ำลือไปจนทั่ว และเขาไม่ได้หวงแหนหรือเก็บงำไว้เป็นความลับส่วนตน เขาทำเหยื่อปลอมแบบตัวเก่งของเขา แจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้านและเพื่อนคนหาปลาด้วยกัน สุดแล้วแต่ใครจะขอหรืออยากได้
ภาพที่ 10ข่าวดีนั้นเดินทางเร็วในโลกของคนตกปลา มันแพร่ไปเร็วและกว้างยิ่งกว่าไฟใหม้ป่า ความต้องการหลั่งใหลเข้ามา และราพาล่าเริ่มต้นขายเหยื่อปลอมของเขา
ภาพที่ 11อะไรกำลังจะดี แต่มีอุปสรรคเข้ามาขวางให้โชคของคนยากจบสิ้นลงง่ายๆ รัสเซียบุกเข้ายึดครองฟินด์แลนด์ในปี 1939และเขาต้องไปรับใช้กองทัพเป็นเวลาถึง 5 ปี กว่าเขาจะได้กลับคืนไปที่กระท่อมน้อยริมทะเลสาบของเขาอีก ในช่วงนั้นเอลมา เลี้ยงลูกชาย 5 คนและลูกสาว 2 คนให้มีชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยการทำงานเล็กๆน้อยๆ และกู้ยืม เมื่อภาวะสงบกลับคืนมาและคนทั่วไปเริ่มมีเวลาว่าง กีฬาตกปลาก็ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาเนือ ราพาล่าก็สามารถผลิตและขายเหยื่อปลอมของเขาได้มากขึ้น
ภาพที่ 12กลางๆ ปี 1950 เหยื่อราพาล่าจึงได้ไปถึงอเมริกา เขาส่งมันไปเป็นของขวัญแก่ชาวฟินด์แลนด์ซึ่งอยู่ในฟลอริดา และ แถบเหนือติดกับพรมแดนแคนาดาซึ่งกำลังบ้าตกปลาขนานใหญ่ และในมิเนโซต้าซึ่งเป็นทีที่ คนเชื้อสายจากชาวฟินด์แลนด์ตั้งรกรากกันอย่างหนาแน่น ชื่อของราพาล่าจึงอุบัติขึ้น ทั้งในฐานะความภาคภูมิใจแก่คนเหล่านั้นที่มีต่อราพาล่า ในฐานะผู้สร้างเหยื่อตกปลาขั้นเทพ และเป็นเหยื่อปลอมมหัศจรรย์ที่สุด บางคนรีบกลับจากอเมริกาไปยังบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อเอารางวัลการแข่งตกปลาที่ได้จากเหยื่อปลาปลอมของราพาล่า ไปให้เขาที่เป็นผู้ผลิตคิดค้นได้ร่วมชื่นชม ดูเหมือนว่าเหยื่อราพาล่าจะได้ปลาทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นปลาเทร้าท์ ปลาไพค์ หรือปลาแบสส์ เป็นจำนวนมากมายอย่างที่ไม่เคยตกได้มาก่อน
ภาพที่ 13เพราะว่ามันเป็นงานฝีมือ ทำด้วยมือล้วนๆ และหายาก โรคบ้าเหยื่อราพาล่าเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง เนื่องจากเหยื่อราพาล่ามันเป็นเหยื่อน้ำหนักขนาดเบาอยู่ระหว่างปานกลาง ดังนั้นจึงใช้ได้กับคันขนาดเบาทุกประเภท แต่แปลกที่มันมีน้ำหนักเพียงพอให้ขว้างหรือหวดสายออกไปได้ ลากได้และไม่จม จึงเป็นที่ถูกใจของนักตกปลา
ภาพที่ 14เป็นเรื่องตลกที่เกิดมีการเล่าถึงเรื่องนักกีฬาตกปลาขโมยเหยื่อปลาปลอมจาก เพื่อนนักตกปลาด้วยกัน และยังมีอาชีพใหม่เกิดขึ้น นั่นคือการให้เช่าเหยื่อปลอมราพาล่า ซึ่งบัดนี้ขนานนามกันว่าเป็นปรากฎการณ์ราพาล่าฟีเว่อร์ก็คงไม่ผิดนัก ผู้เช่าเหยื่อส่วนมากคือคนที่ได้ยินกิตติศัพท์แต่ไม่สามารถหาซื้อมาไว้เป็นเจ้าของได้ ต้องไปเช่าคนอื่นมาทดลองตก ของที่ถูกส่งข้ามประเทศมาในฐานะของขวัญ บัดนี้แอบขายให้กันตามเคาท์เตอร์สำหรับคนกันเอง เพราะมันมีเพียงจำนวนน้อย ในราคาตัวละ 25 เหรียญ ซึ่งในยุคนั้นเป็นราคาที่แพงเหมือนกับทอง
ภาพที่ 15(สองเสี่ยว)
และแล้วก็มีคนหัวใสเกิดขึ้นมาจนได้ หมอนั่นเป็นพนักงานขายจอมจ้อชื่อ รอน เวบเบอร์ ในมินเนโซต้า ซึ่งได้ยินปรากฎการณ์ rapala ฟีเว่อร์ อันพิลึกกึกกือนี้ รอน เวบเบอร์ จึงร่วมทุนร่วมความคิดกับเพื่อนที่ชื่อ เรย์ ออสตรอม เขียนจดหมายไปถึง ลัวรี่ ลาพาร่า ขอเป็นตัวแทนขายเหยื่อปลอมราพาล่าแต่เพียงผู้เดียวในทวีปอเมริกาเหนือ
ภาพที่ 16อะไรที่มันจะเกิด มันต้องเกิดนิตยสารไลฟ์ได้รับรู้ถึงชื่อเสียงของเหยื่อตัวนี้ และนำเหยื่อราพาล่าพาดหัวบนปกนิตยสาร ซึ่งหน้าปกนั้นมีมาริลีน มอนโร ผงาดเนื้อหนังโนมเนื้อทุกส่วนของเธอ มันเป็นฉบับประจำวันที่ 17 สิงหาคม 1962 ด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่า "เหยื่อปลอมที่ปลาไม่มีสิทธิปฏิเสธ"เป็นฉบับที่ไลฟ์เองก็ทำลายสถิติการ จำหน่ายของตัวเองเหมือนกัน
ภาพที่ 17"เราแทบไม่เชื่อ ไม่เชื่อเอาจริงๆ เสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาสั่งเหยื่อปลอมทุกนาที..." ออสตรอมเล่าให้ฟัง เพียงปีเดียวขายไปได้100,000 ตัว พอถึงปี 1964 ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 800,000 และไม่นานก็เพิ่มเป็นล้านและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ภาพที่ 18ลัวรี่ ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ซึ่งใหญ่โตขึ้นแต่ยังคงอยู่ในชนบท เขาเป็นวีรบุรุษหนึ่งเดียวของท้องถิ่น ซึ่งดูเหมือนว่าเมื่อความสำเร็จจะมาถึง มันมาในชั่วเวลาไม่ทันข้ามคืน หลังจากที่ความยากจนกระหน่ำย่ำยีเขามาค่อนชีวิต แต่เขาก็ยังเป็นเขา เป็นชาวประมงหาตกปลาในชนบทเหมือนดังเดิม ความสำเร็จนั้นไม่ได้มีผลแตกต่างอะไรต่อตัวเขา เขายังเป็นคนง่ายๆ จะเล่าถึงความสำเร็จนั้นอย่างร่าเริงบ้าง กับกลุ่มเพื่อนฝูงชาวบ้านนอกที่สนิทกันมาเก่าก่อน แต่จะเก็บตัวและขลาดอายเสมอเมื่อมีคนไม่รู้จักแวะเวียนมาหาซึ่งในจำนวน นั้นก็มีประธานาธิบดีฟินด์แลนด์ และเจ้าชายฟิลลิปแห่งอังกฤษรวมอยู่ด้วย
ภาพที่ 19(ลัวลี่กับริสโต้)
"พ่อไม่เคยอยากท่องเที่ยว"ริสโต้ ลูกชายคนโตเล่า "พ่อเคยไปอเมริกาเพียงครั้งเดียว ไปอยู่แค่สองอาทิตย์และตลอดเวลาก็ตกปลาในทะเลสาบชายป่ามินเนโซต้า"
ภาพที่ 20(เอ็นซิโอ)
เอ็นซิโอ ลูกอีกคนบอกว่า "พ่อมีเงินติดตัวไม่มาก บางทีก็ไม่มีเลย ถ้าพ่อนั่งแท็กซี่กลับบ้าน พ่อก็จะบอกให้คนขับรถขับไปที่แบงค์ไปเอาเงินที่พ่อฝากอยู่"