สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 22 ธ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 6 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > อื่นๆ
ความเห็น: 21 - [6 ก.ย. 55, 15:50] ดู: 3,912 - [21 ธ.ค. 67, 10:23] โหวต: 14
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10 ตอนที่ 6
หนุ่มธุดงค์ไพร (711 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
7 เม.ย. 55, 08:24
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 6
ภาพที่ 1
บทที่ 10

ตอนที่ 6

          ความรู้สึกของพรานนำทาง จะแตกต่างจากบุคคลที่อยู่ลึกลงไปใต้พิภพ มากน้อยเพียงใดนั้นไม่อาจทราบได้ แต่ความรู้สึกเคว้งคว้าง คงจะไม่แตกต่างกันเท่าใดนัก สำหรับพรานนำทาง รู้สึกเคว้งคว้างเพราะเพื่อนร่วมทางขาดหายไปอย่างไม่รู้ชะตากรรม แต่สำหรับชายหนุ่ม เขากลับรู้สึกเคว้งคว้างอย่างโดดเดี่ยวเดียวดาย ราวกับว่า เขาเป็นมนุษย์ผู้เดียว ที่หลงเหลืออยู่โลกใบนี้ แต่มันจะดีไม่น้อย ถ้าโลกที่ว่ามา มันเป็นโลกที่คุ้นเคย ไม่ใช่โลกใต้ธรณีเช่นที่ตัวเขาเองกำลังเผชิญอยู่

          เส้นทางที่คดเคี้ยว พาชายหนุ่มให้เร่ร่อนไปอย่างไม่มีจุดหมาย ไม่รู้แม้กระทั้งทิศเหนือ ใต้ ออก หรือตก เพราะมันวกวนจนคำนวณไม่ถูก มาถึงตอนนี้ความคิดในสมองก็เริ่มจะแยกออกมาเป็นสองด้าน อันเนื่องมาจากความเครียดที่สะสมทับถมมาเป็นเวลานาน กลายเป็นแรงกดดันตัวเองขึ้นมา ด้านหนึ่งบอกกับตัวเองให้ถอยกลับ อีกด้านหนึ่งก็บอกกับตัวเองให้ไปต่อ ทำให้ต้องหยุดพักสติอารมณ์ เพราะมันเป็นอาการแรกที่เกิดจากความวิตกกังวล และสมาธิที่เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัว

“ถอยเถอะวะไอ้สิงห์ เอ็งจะดันทุรังไปทำไม”

“ลำบากตัวเองเปล่าๆ”มันเป็นเสียงที่แว่วขึ้นมาในหัวของชายหนุ่ม ความรู้สึกกำลังจะคล้อยตาม พลันก็แว่วเสียงอีกเสียงหนึ่งดังแทรกขึ้นมาในโสต

“เอ็งอย่าท้อสิว่ะ”

“มาถึงขนาดนี้แล้ว เชื่อมั่นตัวเองหน่อย”ชายหนุ่มถึงกับหยุดชะงัก ก่อนที่จะค่อยทรุดกายลงนั่ง พลางระงับสติอารมณ์ที่เริ่มไม่อยู่กับเนื้อกับตัวให้เข้ารูปเข้ารอยเสียก่อน

          ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบร้อน เพราะไม่รู้จะรีบไปเพื่ออะไร ในเมื่อหนทางข้างหน้าก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่า  มันจะอยู่ในรูปแบบไหน ระยะทางจะเป็นเช่นไร ใกล้หรือไกลขนาดไหน ตัวเขาเองก็ตอบไม่ได้ สิ่งเดียวที่จะต้องคิดในตอนนี้ก็คือ ทำอย่างไร ที่จะเอาชีวิตรอดไปจากโพรงใต้พิภพแห่งนี้ เวลานี้จะมาคิดฟุ้งซ่าน หรือถามหาเทวดาให้มาโปรด คงหมดหวังที่จะพึ่งพาใครได้ในเวลาและสถานการณ์เช่นนี้ นอกจากตัวเองเท่านั้น

          ชายหนุ่มค่อยๆยันกายขึ้น หลังจากนั่งพักเพื่อเรียกสติอารมณ์ให้กลับมาอยู่ชั่วครู่ ความมุ่งมั่นและความพยายามเท่านั้น ที่จะพาให้ชีวิตรอดพ้นผ่านไปได้ ถ้าใจยังสู้ สังขารยังไหว จะกลัวอะไรกับความโดดเดี่ยว ดังหลักธรรมของพระพุทธศาสนาที่สอนไว้ว่า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน มาถึงคราวนี้คงจะได้นำหลักคำสอนมาใช้อย่างเต็มที่ ในเมื่อแสงเทียนก็ยังสว่างโพลงอยู่เช่นนี้ จะมาทุกร้อนไปทำไมให้เสียขวัญ ไฟยังติดอยู่ก็หมายความว่าในโพรงนี้มีอากาศ และในเมื่อมันผ่านเข้ามาได้ก็ต้องมีช่องทาง คำตอบก็อยู่ในมือแท้ๆ กลับมองข้าม คิดแล้วก็น่าเข็กกบาลตัวเองให้หายโง่

        เส้นทางนั้น ทอดยาวคดเคี้ยวไปอย่างไม่มีจุดหมาย ทำให้ชายหนุ่มต้องคลำไปอีก อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนบ้างครั้งก็อดทำให้ต้องนึกท้ออยู่ในใจ ซึ่งมันก็เป็นธรรมชาติของมุนษย์ ที่เมื่อทำอะไรซ้ำๆซากๆ หรือไม่มีจุดหมายที่แน่นอน ก็ต้องเกิดความรู้สึกท้อถอย หรือแม้กระทั้งเบื่อหน่าย ในสิ่งที่ตัวเองทำแล้วไม่มีความหมาย แต่เมื่อนึกถึงญาติพี่น้องหรือหมู่มิตรผองเพื่อนก็ทำให้มีแรงฮึดสู้ขึ้นมาบ้าง ได้มีโอกาสเกิดเป็นมนุษย์ทั้งที ชีวิตนี้ต้องใช้ให้คุ้มค่า ชาติหน้าจะมีจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่รู้ก็คือชาตินี้เท่านั้นที่จับต้องได้เป็นรูปธรรม อุปสรรคมีไว้เพื่อทดสอบความอดทนของมนุษย์ ถ้าไม่มีอุปสรรคมาขวางกั้น ชีวิตก็ดูเหมือนจะไร้ค่า เพราะมองไม่เห็นปัญหา อย่างหลายชีวิตที่ต้องเสียไป เพราะความคิดชั่ววูบเดียวเท่านั้น กว่าจะเกิดมาเป็นตัวเป็นตน ยังไม่ทันตอบแทนน้ำนมมารดา ก็คิดสั้นฆ่าตัวตายเพราะหนีปัญหาชีวิต นอกจากจะไม่ตอบแทนบุญคุณผู้ให้กำเนิดแล้ว ยังสร้างบาปโดยการทำให้บิดา มารดาเสียใจ หรือไม่ก็ปล่อยให้ลูกเมียและครอบครัว เผชิญโชคตามลำพัง

          มนุษย์ควรรู้คุณค่าของชีวิต ถ้าเพียงแต่เราคิดว่าอุปสรรคทั้งหลายแหล่ที่มาขวางกั้นนั้น เป็นเพียงบททดสอบของพระเจ้า หรือไม่ก็เทวดาบนสวรรค์ เพื่อสอนให้เราได้เรียนรู้ และหาวิธีแก้ไขปัญหา แก้วิธีนี้ไม่ได้ ก็ต้องลองวิธีอื่น ไม่ช้าหรือเร็วก็จะพบกับทางออก ซึ่งมันจะมีคุณค่ากว่ามาก ถ้ารู้จักดิ้นรนหาวิธีแก้ไขปัญหาต่างๆด้วยตัวเอง เฉกเช่นเดียวกับชายหนุ่มในขณะนี้ ถ้าเขาคิดแค่เพียงว่า ไม่ช้าหรือเร็วบุคคลที่เหลือก็ต้องออกตามหา เสบียงก็พอมีอยู่บ้าง จะต้องมาทรมานสังขารตัวเองไปทำไม สู้นอนรอความช่วยเหลือแบบนี้ก็คิดและทำได้อย่างสบาย แต่เขากลับเลือกเส้นทางที่จะเอาชีวิตรอด โดยไม่นอนรอคอยความหวังจากใครทั้งนั้น ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไหร่ ความมุทะลุบวกกับความบ้าบิ่นของตัวเองมีอยู่เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว เมื่อนำมาหารเฉลี่ยกับเปอร์เซ็นต์ที่มีอย่างละครึ่งคือ รอด กับ ไม่รอด การที่จะออกมาเสี่ยงนั้นก็ถือว่าคุ้มค่าที่สุด ในมื้อยังมีลมหายใจอยู่ ก็ต้องสู้สุดชีวิต อย่างที่เขาว่า สู้อย่างหมาจนตรอก

        ทั้งคลาน ทั้งมุด บ้างครั้งก็แทบจะนอนแถกไปกับพื้น แต่ในเมื่อมันก็เป็นเพียงช่องทางเดียวที่พอไปได้ ก็จะต้องลองจนถึงที่สุด ถึงแม้ว่าบางครั้ง เมื่อลอดผ่านพ้นไปแล้ว แทนที่จะได้คำตอบหรือภาพที่จะทำให้ยิ้มออก กลับกลายเป็นทางตัน แต่นั่นก็ไม่ทำให้สิ้นหวัง ถึงแม้จะแอบท้อใจอยู่บ้างก็ตาม ในเมื่อไปไม่ได้ก็ไม่ฝืน จะกระไรนักกับแค่ถอยกลับออกมาตั้งหลักใหม่อีกครั้ง ทางนี้ไปไม่ได้ ก็ต้องลองไปเรื่อยๆ จนเนื้อตัวเปรอะเปื้อนไปด้วยฝุนผง แทบจะมองไม่เห็นผิวหนัง

          เส้นทางซอกซอนไปทุกขณะ แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่ลดละ ที่จะพยายามหาช่องทางออก จนไม่สามารถบอกกับตัวเองได้ว่า  ตัวเขานั้นได้เดินงมอยู่ในโพรงแคบๆใต้พิภพแห่งนี้เป็นเวลานานเท่าไหร่ แถมอากาศภายในก็ร้อนอบอ้าวเสียจนไม่อยากคิดอะไรทั้งนั้น ทั้งร้อนทั้งหิว แต่ก็ไม่มีกระจิตกระใจจะคว้าอะไรเข้าปากมากิน นอกจากน้ำ แต่พอจะยกขึ้นจิบ ก็ต้องคิดหนัก เพราะน้ำในกระติกที่เคยเหลืออยู่เกือบครึ่ง พอเวลาล่วงผ่านไปนานเขา มาบันนี้มันเหลือเลยก้นกระติกมานิดเดียว เรื่องอาหารยังไม่กังวลเท่าเรื่องน้ำ จึงต้องคิดแล้วคิดอีกทุกครั้ง เมื่อจะยกน้ำที่เหลือขึ้นจิบ กำลังหนักใจเรื่องน้ำในกระติกที่จะหมดไปอีกไม่ช้า พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นสิ่งผิดปกติอะไรบ้างอย่างบนผนังถ้ำ ครั้งแรกที่เห็นคิดเป็นผลึกที่สะท้อนแสงไฟ แต่เมื่อจอเปลวเทียนเข้าไปใกล้ ภาพที่เห็นก็ทำให้ชายหนุ่มถึงกับยิ้มออกขึ้นมาทันที

          ภายใต้แสงเทียนที่ส่องสว่างจ้านั้นเอง ที่เผยให้เห็นร่องรอยของน้ำที่กำลังซึมอยู่ระหว่างผนังถ้ำ ซึ่งตอนนี้มีคราบหินปูนเกาะเกรอะกรังสีขาวนวลสะอาดตา ในความมืดเช่นนี้ มันดูโดดเด่นในแสงเทียน ซึ่งตัดกับสีดำของผนังถ้ำแห่งนั้นเป็นอย่างมาก บ่งบอกถึงระยะเวลาอันยาวนาน กว่าที่น้ำที่ซึมออกมานั้น จะก่อตัวเป็นหินปูนอย่างที่เห็น ปริมาณน้ำที่ซึมออกมาดูน้อยนิด ถึงแม้จะพยายามส่องไฟสำรวจร่องรอยปริแตกของผนังหิน ก็ไม่สามารถมองเห็นที่มาของน้ำที่ซึมออกมาได้ เพราะมันเล็กเสียจนไม่พบ หรือที่เรียกว่า ซึมตามด

          มาถึงตอนนี้ สิ่งต่างๆที่เคยจดจำไว้จากพรานนำทาง จึงถูกนำมาใช้อย่างเต็มที่ ไฟฉายที่ถูกปิดสวิทช์จึงถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากชายหนุ่มหยดน้ำตาเทียนเพื่อตั้งเทียนเล่มนั้นจนสำเร็จ และเพื่อความไม่ประมาท เกี่ยวกับอากาศที่อยู่ภายใน เปลวเทียนจึงยังไม่ถูกดับลง

        แสงเทียนสว่างวอมแวม แข่งกับแสงไฟจากกระบอกไฟฉาย ที่ส่องวูบวาบไปมาตามพื้นถ้ำ อึดใจต่อมาก็แว่วเสียงดัง แซกๆ ของโลหะที่กระทบกับเศษหิน ในโพรงถ้ำแคบๆเช่นนี้ เสียงของมันดังก้องสะท้อนกลับไปมา ฟังดูสับสนไปหมด เพียงชั่วเวลาไม่นานนัก หลังจากชายหนุ่มใช้ปลายมีดขุดแซะไปตามพื้นที่เต็มไปด้วยกรวดหิน ก็ได้หลุมกว้างพอที่จะทำให้น้ำ ที่ซึมอยู่บริเวณรอบๆพื้นผิวนั้น ค่อยๆไหลซึมเขามาในบ่อหรือหลุมที่ตัวเองขุดขึ้นมาทีละน้อยๆ

        ในช่วงจังหวะที่รอให้น้ำค่อยๆซึมผ่านชั้นกรวดหินนั้น เพื่อเป็นการไม่เสียเวลา ชายหนุ่มจึงผละไปเดินส่องไฟสำรวจลู่ทางบริเวณโดยรอบ ทั้งตามโตรกหิน และซอกผนัง เพื่อหาหนทางและเส้นทางที่จะไปต่อ เดินห่างออกมาจากจุดที่หาแหล่งน้ำได้ร่วมยี่สิบวา ก็พบเข้ากับปากโพรงขนาดใหญ่ ซึ่งอยู่สูงขึ้นไปจากระดับเดิมเกือบห้าเมตร กำลังคิดจะปีนขึ้นไปเพื่อสำรวจภายในปากโพรงที่เห็น ครั้นแล้วก็ต้องหยุดชะงัก เพราะโสตแว่วเสียงอะไรชนิดหนึ่ง ครั้งแรกคิดว่าหูคงแว่วไปเอง แต่เมื่อหยุดฟังอย่างตั้งใจ ครั้งนี้กลับได้ยินเสียงปริศนานั้นอย่างชัดเจน

          ภายใต้ความเงียบ ชนิดที่แทบจะได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองเต้น ในความเงียบสงัดนั้นเอง ที่มีเสียงอะไรชนิดหนึ่ง สอดแทรกเข้ามา มันเป็นเสียง หวีดหวิว ครวญคราง แว่วมาขาดๆหายๆเป็นระยะๆ บางครั้งก็ดัง ฮือ ราวกับมีใครมาร้องโหยหวนฟังดูแล้วชวนให้ขนลุก ทำให้ชายหนุ่มไม่แน่ใจว่า เสียงที่ตัวเองได้ยินนั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ที่แน่ๆก็คือ มันแว่วออกมาจากโพรงเหนือหัวขึ้นไปนั่นเอง

          หลังจากยืนฟังเสียงปริศนานั้นอยู่อึดใจ ก็ตัดสินใจได้ว่าจะต้องปีนขึ้นไปสำรวจลู่ทางไว้ก่อน แต่เพื่อความไม่ประมาท เพราะไม่รู้ว่า เสียงที่แว่วมานั้น คืออะไร จึงคว้ามีดติดมือไปด้วย และ เพื่อความคล่องตัว จึงจำเป็นที่จะต้องปลดเป้หลังออกมากองอยู่กับพื้น ขืนรีบร้อนไม่ดูตาม้าตาเรือ อาจจะพลาดท่าเสียทีก็เป็นได้ ส่องไฟสำรวจบริเวณผนังถ้ำที่จะปีนได้ชั่วครู่ จึงตัดสินใจค่อยๆปีนไต่ไปตามผนังหิน ซึ่งเกือบจะตั้งตรงทำมุม 90 องศา ดีที่ว่าบริเวณ ที่จะปีนขึ้นไป มีแง่หินเป็นตะปุ่มตะป่ำยื่นออกมา พอที่จะใช้เหยียบรั้งร่างกายขึ้นไปได้อย่างไม่ยาก พยายามอยู่ไม่นาน ก็ขึ้นไปยืนเด่นอยู่บนปากโพรงนั้น ความรู้สึกแรกที่ขึ้นไปถึงก็คือ อากาศที่ถ่ายเท จนบางครั้งสามารถสัมผัสได้ถึงสายลมอ่อนๆที่พัดโชยอยู่ภายใน และอุณหภูมิภายในนั้น ดูเหมือนว่าจะแตกต่างจากโพรงเบื้องล่างอย่างชัดเจน เพราะที่รู้สึกได้ตอนนี้ก็คือ ความเย็น และความชื้น ยิ่งเดินเข้าไปลึกมากเท่าไหร่ เสียงครางอู้ที่ได้ยินมาแผ่วๆ ก็แว่วให้ได้ยินชัดเจนมากยิ่งขึ้ง มาถึงตอนนี้ก็พอจะรู้แล้วว่า เสียงที่ได้ยินนั้น เป็นเสียงของลม ที่พัดผ่านมาตามโตรงหินนั้นเอง

          เลือดในกายสูบฉีดไหลพรูไปทั้งร่าง ถึงแม้จะยังมองไม่เห็นแสงสว่างจากภายนอก แต่สิ่งที่ตนเองกำลังสัมผัสอยู่ตอนนี้ ก็บอกกับตัวเองได้ว่า โอกาสรอดมีมากเกินกว่าครึ่ง แต่โพรงที่ตัวเองเดินสำรวจไปนั้น ยังไม่มีท่าทีที่จะสิ้นสุด ยิ่งถลำลึกเข้าไปมากเท่าไหร่บรรยากาศภายในก็ยิ่งเยือกเย็นมากขึ้นเท่านั้น อันเนื้องมาจากความชื้นและอากาศที่ถ่ายเทอยู่ตลอดเวลา

          เมื่อแลเห็นลู่ทางแห่งชีวิต ยังไม่สายที่จะกลับไปตั้งหลักใหม่ มาถึงตอนนี้ น้ำในแอ่งที่ตัวเองอุส่าห์ขุดไว้จึงมีน้ำอยู่เกือบเต็ม น้ำที่ค่อยๆไหลซึมออกมาจากชั้นดินและหิน ดูใสสะอาดตา แต่ก็ขุ่นมัวไปด้วยตะกอนดินที่อยู่ก้นแอ่งเบื้องล่าง หลังจากกระดกดื่มน้ำที่เหลือติดอยู่ก้นกระติกจนหมด แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่หายชื่นใจ ชายหนุ่มจึงก้มลงไป ค่อยๆดูดน้ำในแอ่งนั้นดื่มไปหลายอึก จากนั้นก็คว้ากระติกน้ำที่ว่างเปล่า นำมาบรรจุน้ำในแอ่งนั้น โดยใช้ฝากระติกค่อยๆตักตวงอย่างใจเย็น ไม่นานนัก กระติกน้ำที่เคยว่างเปล่า ก็ถูกเติมน้ำลงไปได้มากว่าครึ่งกระติก ถึงปริมาณจะไม่มากมาย แต่ก็มีค่ามากสำหรับชายหนุ่มในเวลาเช่นนี้

          ความหวังเลือนลางดูริบหรี่ ราวกับกองฟืนที่ใกล้จะหมดเชื้อ ดูจวนเจียนจะดับแหล่ไม่ดับแหล่อยู่รอมร่อ ครั้นได้เชื้อฟืนและลมมากระพือพัด กองไฟที่ทำท่าว่าจะดับก็พลันลุกโหมขึ้นมาทันที เช่นเดียวกับชายหนุ่มในตอนนี้ ถึงเรี่ยวแรงจะเริ่มถดถอยลง เพราะตรากตรำในสถานที่แห่งนี้มาเป็นเวลายาวนาน แต่มันก็ยังไม่สำคัญเท่า กำลังใจที่มีอยู่เต็มเปี่ยม ยิ่งมองเห็นช่องทางสู่อิสรภาพเช่นนี้ เรี่ยวแรงที่เคยอ่อนล้าก็พลันกลับมามีกำลังอีกครั้งอย่างน่าประหลาด

          ชายหนุ่มยังคงมุ่งหน้าไปตามเส้นทางที่วางไว้ โดยยึดเส้นทางเก่า ที่เคยเข้ามาสำรวจเมื่อไม่นานมานี้ ยิ่งเดินเข้ามาลึกมากเท่าไหร่ สภาพอากาศก็ดูจะปลอดโปร่งมากขึ้นเท่านั้น ทั้งความรู้สึกถึงสายลมที่พัดมาอ่อนๆ จนเปลวเทียนในมือโยกไหวไปมา ทำให้รู้ว่าอากาศภายในนั้น มีมากอย่างไม่ต้องกังวลเหมือนที่ผ่านมา
ลึกเข้าไปเป็นลำดับ แต่ก็ไม่เห็นวี่แววของทางออกที่หวังไว้ ทั้งอากาศ และเสียงที่แว่วมานั้น ก็ยังแว่วให้ได้ยินเป็นระยะ จะว่าตัวเองหูฝาดก็ไม่น่าเป็นไปได้ หรืออาจจะคิดไปเองจนเกิดเป็นความหลอน กลายเป็นหลอกตัวเองก็ไม่น่าจะใช่ เพราะสิ่งเหล่านั้นยังคงสัมผัสได้อย่างชัดเจนที่สุด นอกจากบรรยากาศที่ว่ามาแล้ว สภาพภายในอุโมงค์นั้น ก็ดูแปลกตาไปจากเดิมอย่างเห็นได้ชัด ทั้งความกว้าง ที่สามารถเดินได้อย่างสะดวกที่สุด ไม่ต้องคอยมุดลอด อย่างที่ผ่านมา พื้นผิวของผนังและเพดาน แลดูเกลี้ยงเกลาเป็นมันเมื่อส่องเปลวเทียนเข้าไปใกล้

          กำลังชื่นชมธรรมชาติอย่างไม่ได้ตั้งใจอยู่นั้นเอง พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นวัตถุอะไรบางอย่าง ลักษณะเป็นขุยเห็นผ่านๆเหมือนฝอยรากไม้ ที่เกาะเป็นก้อนกระจุกบนเพดานถ้ำเหนือศีรษะ เมื่อขยับจ่อเปลวเทียนเข้าไปใกล้วัตถุนั้นเพื่อจะดูว่าสิ่งที่เห็นคืออะไร แต่ดูเหมือนว่า สิ่งนั้นจะมีอาการขยับไปมาช้าๆเหมือนจะถอยห่างออกจากแสงเทียน จะว่าตัวเองตาฝาดก็อาจจะเป็นไปได้ เลยขยับเปลวเทียนจ่อเข้าไปอีก บันนั้นเองเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่ออยู่ๆวัตถุที่แลดูเป็นกระจุกนั้นก็พรวดพราดพร้อมส่งเสียงร้องดังลั่น จนชายหนุ่มถึงกับผงะล้มหงายหลังไปกับพื้น เทียนที่ถืออยู่ในมือ พลันตกหล่นดับวูบลงไปในทันที

“จี๊ด!...”

“เฮ้ย”ชายหนุ่มอุทานอย่างลืมตัว ก่อนที่ไอ้ตัวมีขน จะบินสวนออกมาจนหน้าหงาย

“พลึบพลับ”

“กุกกัก”

“กริ๊ก”

          ทันทีที่คว้าไฟฉายขึ้นมาเปิดได้ ชายหนุ่มจึงรีบกราดส่องไฟฉายไปรอบๆกายอย่างหวาดระแวง แต่เมื่อเห็นไอ้ตัวประหลาดที่คลานอยู่ตรงหน้า ก็เกือบจะทำให้เขาแทบเสียสติ เพราะไอ้ตัวประหลาดตัวนั้น ไม่มีท่าทีที่แสดงถึงความหวาดกลัวเลยแม้แต่น้อย และที่สำคัญมันกำลังคลานตรงดิ่งมาทางเขา

          ใบหน้าดูน่าเกลียด เต็มไปด้วยหนังเหี่ยวย่น ผิดกับส่วนที่ยื่นออกมาจากใบหน้านั้น ที่ดูยับยู่ยี่ผิดรูปราวกับก้อนเนื้อเละๆ แต่ก็พอจะมองออกว่า ส่วนที่เห็นนั้น น่าจะเป็นส่วนของจมูก ซึ่งตอนนี้ส่ายไปมาพร้อมๆกับหูที่ก้างใหญ่ เหมือนกำลังสำรวจกลิ่นและเสียงที่แปลกปลอม

          อะไรไม่ร้ายไปกว่า เขี้ยวบนและเขี้ยวล่าง ที่โผล่ยื่นแหล่มเป็นตะขอออกมาจากปาก ลำตัวที่เต็มไปด้วยปุยขนสีน้ำตาลปนดำ ดูรกรุงรังสกปรก อาการที่มันคลานมาตามพื้นจะว่าไปก็ไม่ถูกนัก ควรจะเรียกว่าไต่มาตามพื้นมากกว่าถึงจะถูก เพราะมันใช้ส่วนที่เป็นขาหรือแขนคู่หน้าของมัน เกาะจิกด้วยกรงเล็บไปตามพื้น อาการเคลื่อนไหวของมันดูจะไม่ถนัดนัก เพราะส่วนที่เป็นพังผืดที่เชื่อมติดกับแขนทั้งสองข้างของมัน ครูดไปตามพื้น

          ความตกตะลึง ทำให้ร่างกายของชายหนุ่ม เหมือนจะขยับไม่ได้ไปชั่วขณะ แสงไฟฉายในมือที่ถืออยู่ ก็ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้เลย ผิดกับค้างคาวที่เคยเห็นตามถ้ำทั่วๆไป ลำพังแค่ส่องไฟฉายแช่ไว้ ไม่กี่อึดใจมันก็บินหนี แต่ตรงกันข้ามกับไอ้ตัวประหลาดหน้าเหี่ยว ที่มันยังคลานงุ่นง่านตรงมาทางเขาไม่ยอมหยุด ยิ่งเข้ามาใกล้ยิ่งเห็นความหน้าเกลียดน่ากลัวของสภาพใบหน้าของมัน รวมถึงขนาดที่เขื่องใหญ่กว่าค้างคาวแม่ไก่ถึงสองเท่า  แต่แล้วมันก็หยุดชะงัก เหมือนกับไม่แน่ในในกลิ่นที่มันสัมผัสได้ ซึ่งตัวมันเองก็คงไม่รู้หรอกว่า สิ่งที่อยู่ตรงหน้าของมันนั้นคืออะไร

        ชายหนุ่มค่อยๆขยับกายถอยหนีออกมาช้าๆ แต่ยิ่งขยับหนี ก็เหมือนว่ามันก็จะขยับตาม แต่แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น จังหวะนั้นเองไอ้ตัวประหลาดที่ทำท่าขยับเข้าขยับออก ก็กระโจนพรวดมาเกาะที่ปลายเท้าของชายหนุ่ม ที่ต้อนนี้ตกใจจนตัวแข็งทื่อเป็นตอไม้ แต่แล้วก็ต้องใจหายวูบ เนื่องจากไอ้ตัวประหลาด ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะมันทำท่าแยกเขี้ยวเหมือนจะฝังลงบนขาของเขา

“ผลัก!”

“จี๊ดด!”ไอ้ตัวประหลาดร้องลั่น เพราะโดนส้นเท้าของชายหนุ่มถีบเข้าเต็มหน้า จนกระเด็นหลุดออกไป แต่มันก็ไม่หยุดอยู่แค่นั้น เพราะตอนนี้ไอ้ตัวกระหายเลือดรู้แล้วว่า สิ่งที่มันเจอ คือเหยื่อของมัน ดังนั้นไอ้เขี้ยวยมทูตจึงกระโจนเข้าใส่ซ้ำอีกครั้ง โดยไม่ยอมปล่อยเหยื่อของมันไปง่ายๆ

“พลึบ!”

“ผลัก! โครม!! จี๊ดดดด”ไอ้เขี้ยวโง้งร้องเสียงแหล่ม ก่อนจะกระดอนออกไปเกือบวา จังหวะนี้เอง ที่ชายหนุ่มพอมีเวลาที่จะชักมีดที่เสียบอยู่ในฝักขึ้นมาถือ ก่อนที่ไอ้เขี้ยวยมทูตจะถลาเข้ามาอย่างกระหายเลือด

“พลึบ!”

“ฉับ!”

“จี๊ดดดด”ไอ้เขี้ยวยมทูตร้องเสียงแหล่ม ก่อนที่จะลงไปดิ้นพล่านกับพื้น แต่ก็ไม่ยอมสิ้นฤทธิ์ ทำให้ชายหนุ่มไม่รอช้าที่จะ กระหน่ำฟันลงไปแบบไม่นับ จนแลเห็นเลือดสีแดงคล้ำ ทะลักสาดกระเซ็นออกมาจนได้กลิ่นคาวคละคลุ้งไปหมด

“ฉับๆๆ!”

          ชายหนุ่มขยับกายถอยห่างด้วยความขยะแขยงกับภาพ และกลิ่นที่เหม็นตลบไปด้วยคาวเลือด จนแทบจะอาเจียนออกมา เมื่อตั้งสติได้จึงค่อยๆส่องไฟฉายสำรวจไปที่ซากของไอ้ สัตว์ปริศนา ที่ตอนนี้นอนตายแยกเขี้ยวโง้งอยู่ตรงพื้นอย่างสยดสยอง

          หลังจากดูจนแน่ใจแล้วว่า ไอ้ สัตว์กระหายเลือดตัวนั้นนอนตายสนิท จึงใช้ปลายมีดของตัวเองค่อยๆ หงายพลิกซากนั้น เพื่อดูความแปลกประหาดของมัน จะว่าค้างคาวก็ใช่ หรือจะบ่างก็ไม่เชิง ดูๆไปแล้ว เหมือนสัตว์ทั้งสองชนิดผสมเข้าด้วยกัน ทั้งตัวของมันมีแต่ขนรกรุงรังเต็มไปหมด มีอยู่ส่วนเดียวเท่านั้นที่ไม่มีเส้นขนปกคลุมก็คือ ส่วนหัวที่ดูโล้น มีแต่หนังย่นๆสีออกน้ำตาลคล้ำ ลักษณะคล้ายหัวของค้างคาวแม่ไก่ แต่ดูแตกต่างออกไปมาก เพราะขากรรไกรล่างดูปูดโปนยื่นล้ำออกมา เผยให้เห็นเขี้ยวโง้งขาวทั้งสองข้าง ส่วนริมฝีปากด้านบนแนบชิดกับจมูกที่ดูยับยู่ยี่ เมื่อใช้ปลายมีดเขี่ยบริเวณหนังที่หุ้มปิดริมฝีปาก ก็แลเห็นฟันซี่เล็กๆ ราวกับฟันเลื่อยเรียงกันเป็นแถวดูน่ากลัว

          จะว่ามันไม่มีดวงตาเลยก็ไม่ถูก เพราะเท่าที่สังเกตเห็น มันก็มีดวงตาทั้งสองข้าง แต่มันเล็กเสียจนแทบจะมองไม่เห็น เมื่อเทียบกับหัวของมันแล้ว แทบไม่มีความหมายใดๆเลย ส่วนแขนหรือปีกทั้งสองข้าง สามารถพับกางออกได้เหมือนปีกนก เมื่อเขี่ยออกมาดูก็รู้ว่า มันมีพังผืดที่เชื่องต่อเป็นแผ่งยาวไปจนถึงขา ที่มีลักษณะเล็กลีบผิดรูป ไม่ได้ส่วนกับกรงเล็บตีนที่ยาวโง้ง ราวกับตะขอเหล็กเกี่ยวเนื้อหมู ที่นับได้ข้างละสี่นิ้วดูแปลกประหลาด เมื่อพิจารณาจนถี่ถ้วนดีแล้ว จึงพอจะสรุปกับตัวเองได้ว่า มันเป็นสัตว์จำพวกค้างคาว เพราะอยู่ในสถานที่มืดมิดเช่นนี้ ดวงตาจึงแทบจะไม่มีความหมาย เช่นเดียวกับสัตว์จำพวกตัวตุ่นตัวอ้น ที่อยู่แต่ในโพรงใต้ดิน สิ่งเดียวที่มันใช้คลำไปในความมืดก็คือ หนวดและประสาทสัมผัสด้วยกลิ่น

        ไอ้ตัวประหลาดนี้ก็เช่นกัน เพราะดวงตาใช้ประโยชน์อะไรไม่ได้ นอกจากมีไว้ประดับหัวที่มีแต่หนังเหี่ยวๆของมันเท่านั้น หูที่เป็นแผ่นหนังบางๆที่มีแต่เส้นเลือดฝอยทั้งสองข้าง ที่น่าจะทำงานควบคู่ไปกับจมูกที่ดูเหมือนกระจุกเนื้อยู่ยี่ ก็พอจะเดาได้ว่า สองสิ่งนี้ น่าจะรับหน้าที่แทนดวงตาของมัน หลักการเดียวกันกับค้างคาว ที่ท่องเที่ยวออกหากินในยามราตรี

          ชายหนุ่มผู้ซึ่งกลายมาเป็น นักชีววิทยาอย่างไม่ได้ตั้งใจ ก็ไม่สามารถตอบได้ว่า ไอ้ตัวน่าเกลียด ที่นอนแยกเขี้ยวแยกฟันอยู่นี้ เป็นตัวอะไร จะเป็นสัตว์สายพันธุ์ใหม่ของโลก หรือสัตว์ยุคโบราณ ประเภทเดี่ยวกับไดโดเสาร์ก็ตอบไม่ได้ ที่รู้ในตอนนี้ก็คือ มันจะต้องเป็นสัตว์กินเนื้ออย่างแน่นอน กำลังพิจารณาซากสัตว์น่าตาประหลาดอยู่อึดใจ ทันใดนั้นเองเหมือนโสตจะรับรู้ความผิดปกติอะไรบางอย่าง ครั้งแรกที่ได้ยิน เป็นเสียง กุกกัก แว่วมาจากในถ้ำ กำลังคิดในใจว่าน่าจะเป็นเสียงลม แต่เมื่อตั้งใจฟังดีๆก็รู้ทันทีว่ามันไม่ใช่ ด้วยความสงสัยจึงขยับไฟฉายส่องออกไปในทิศทางของเสียง ภาพที่เห็นกลับทำให้ต้องสยองมากขึ้นไปอีก....



*****การเดินทางยังไม่สิ้นสุด อุปสรรคต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป*****


ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 6
ภาพที่ 2
อารมณ์เหงาๆ อีกสองสามวันเจอกันไอ้หนู
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 6
ภาพที่ 3
ก่อนกินข้าว ก็ต้องมีเซ่นเจ้าป่าเจ้าเขา (กลัวจุก)
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 6
ภาพที่ 4
บรรยากาศดีจริงๆครับ น้าๆท่านใดสนใจก็แวะเข้าไปนอนเล่นได้นะครับ กระท่อมน้อยคอยรัก ของผมเอง นอนฟรีไม่มีชาร์ต! 
สถานที่ บ้านปลายนาสวนบน ต.นาสวน อ.ศรีสวัสดิ์ จ.กาญจนบุรี (แยกขวาไปทาง รร.บ้านนาสวน ไปทางฝาย 5 กม. อยู่ขวามือ กระท่อมจะอยู่ท้ายสุดของหมู่บ้าน)
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 10  ตอนที่ 6
ภาพที่ 5
ตอนต่อไป คงจะหลังสงกรานต์โน่นนะครับ (ถ้าเขียนเสร็จก่อนจะลงก่อนเข้าป่า)

กลับมาคงมีเรื่องเล่าสนุกๆมาฝากน้าๆ ครั้งต่อไปจะเอาแบบละเอียดยิบเลยนะครับ
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024
siamfishing.com/content/view.php?cat=article&nid=73416