ภาพที่ 1 สมัยผมยังเป็นเด็ก แม่ผมท่านได้เล่าให้ฟังว่า.....ทุกวันตาจะต้องพายเรือออกไปเหวี่ยงแหหาปลาเพื่อมาให้ลูก ๆ ได้กินเป็นกับข้าว ครอบครัวของแม่ผมนั้นมีด้วยกัน 9 ชีวิต ประกอบด้วย ตา ยาย และ ลูก ๆ อีก 7 คน ทุกครั้งที่ตาออกไปหาปลานั้นเมื่อยามกลับมาจะต้องได้ปลาหลากหลายชนิดและกุ้งแม่น้ำติดกับมาด้วยเสมอ แต่แม่ผมท่านว่าอาหารที่ท่านโปรดปรานมากที่สุดในสมัยนั้นกลับเป็น เนื้อหมูและเป็ด ท่านว่าสมัยนั้นไม่ค่อยได้กิน กินแต่ปลากับกุ้งแม่น้ำทุกวันจนเบื่อ .....ผมนั่งฟังขณะที่จิตนาการณ์ถึงความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งน้ำในสมัยนั้นไปด้วย
วันนี้ผมต้องกลับมายังบ้านเกิดของแม่อีกครั้ง ผมชอบยืนบริเวณตรงกลางสะพานข้ามแม่น้ำโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนโพล้เพล้ใกล้ค่ำ ผมมักมองเห็นภาพของเรือจอดกุ้งที่จอดกันอยู่เรียงรายไปตามลำน้ำ แสงไฟวับ ๆ แวม ๆ เรียงรายกันเป็นจุด ๆ ท่ามกลางความมืด.....เชื่อหรือไม่ว่านี่คืออาชีพที่ผมใฝ่ฝัน ผมมักจะสัมผัสถึงความสงบทุกครั้งยามเมื่อนั่งมองคนตกกุ้งนั่งอยู่ในเรือกลางแม่น้ำ.....แต่วันนี้ไม่ปรากฎเรือตกกุ้งให้เห็นแม้แต่ลำเดียว เนื่องจากกระแสน้ำไหลเชี่ยวแรงมาก
ผมขับรถไปถึงยังบ้านของเพื่อนสนิทที่โทรไปชวนให้ผมมาหาในวันนี้ เมื่อเปิดประตูเข้าบ้านไป ภาพที่ปรากฏอยู่ตรงหน้าไม่ได้แตกต่างไปจากสะพานปลาเลยแม้แต่น้อย ปลาใหญ่ ปลาเล็กและกุ้งแม่น้ำถูกจับคัดใส่กะละมังที่วางเรียงรายกันอยู่บนพื้นเต็มไปหมดหลายสิบใบ พอเดินลัดเลาะไปยังหลังบ้านบริเวณท่าน้ำที่ติดกับเขื่อนกั้นน้ำเซาะ ก็เห็นเพื่อนผมกับพรรคพวกอีก 5 - 6 คน กำลังชุลมุนวุ่นวายส่องไฟหาปลากันอยู่ มือเปล่าบ้างสวิงบ้างให้วุ่นวายกันไปหมด ผมจับไฟฉายเดินลงไปร่วมสมทบ ยามแสงไฟกระทบกับตากุ้งนั้นจะเห็นเป็นจุดสีแดงเรือง ๆ อย่างชัดเจน เชื่อหรือไม่ว่าภายในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมงผมสามารจับกุ้งด้วยมือเปล่าได้ถึง 3 กิโลเชียว........วันนี้ เกิดอะไรขึ้น กับ สายน้ำ
ในวงสุรา.......เพื่อนของผมได้เล่าให้ฟังว่า.....วันนี้โรงงานซึ่งอยู่เหนือขึ้นไปประมาณ 25 กิโลเมตร ได้ฉวยโอกาสช่วงน้ำหลากทิ้งกากวัตถุดิบที่เหลือจากการผลิต เป็นเหตุให้สัตว์น้ำน้อยใหญ่เกิดอาการเมาพากันลอยขึ้นมา กินระยะทางลงไปถึงอีกอำเภอหนึ่งซึ่งอยู่ทางใต้ของแม่น้ำไปอีกถึง 20 กิโลเมตร สรุปได้ว่าผลจากการทิ้งกากวัตถุดิบในครั้งนี้เป็นเหตุให้ปลาเล็ก ปลาใหญ่ต้องลอยกันเป็นแพ ร่วมระยะทางแล้วทั้งสิ้นเกือบ 50 กิโลเมตรเชียว พิษร้ายแรงขนาดนี้ ผมว่าบริเวณที่ทิ้งกากนั้น ปลาคงตายกันเป็นเบือ ( ภาพถ่ายจากหนังสือพิมพิ์ในวันรุ่งขึ้น ปรากฏว่าบริเวณดังกล่าวปลาเค้าขนาดที่ผู้ใหญ่ต้องอุ้มให้ช่างกล้องถ่ายภาพยังลอย )......ผมฟังดูแล้ว ก็ได้แต่นั่งสลดใจ
ตื่นเช้าก่อนกลับบ้าน ผมฉุกคิดอะไรได้บางอย่างในสมอง จึงได้แวะไปหาตาดำคนตกกุ้งซึ่งผมจะอุดหนุนแกเป็นประจำเมื่อมาที่นี่ ช่วงน้ำหลากอย่างนี้แกจะเปลี่ยนอาชีพไปหาเก็บผักบุ้งส่งตลาดแทน เราได้สนทนากันอยู่สักพักหนึ่งก่อนที่ผมจะต้องอำลากับพร้อมกับผักบุ้งกำใหญ่ที่แกห่อให้มา ก่อนจาก ผมเอาเงินจำนวนหนึ่งยัดใส่มือแก โดยเพียงหวังว่าเงินจำนวนนี้คงจะช่วยให้หลานชายคนเดียวของแกได้มีชุดใหม่ใส่ไปโรงเรียนในวันเปิดเทอมที่จะถึงอีกสองสามอาทิตย์นี้ ผมมั่นใจว่าถึงแม้น้ำจะลดให้แกออกเรือไปตกกุ้งได้ในวันนี้ก็ตาม มันคงจะไม่มีกุ้งให้แกตกอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็คงอีกหลายเดือน......แทบไม่อยากเชื่อเลยว่า สายน้ำที่เคยเลี้ยงแม่ผมกับครอบครัวได้ถึง 9 ชีวิต มาในวันนี้ มันไม่หลงเหลือความสมบูรณ์เพียงพอที่จะเลี้ยงคนแก่กับเด็กชายเล็ก ๆ เพียงสองคนนี้ได้.......มันเป็นผลกระทบที่เกินกว่าใครจะคาดคิด ผมคงสามรถช่วยเหลือสองชีวิตนี้ได้ ก็แต่เพียงเท่านี้ แต่สำหรับ.............
อีกนับล้านชีวิตในสายน้ำ ที่ต้องสูญเสียความสมดุลย์ของระบบนิเวศน์และห่วงโซ่อาหาร
อีกนับร้อยนับพันชีวิตบนพื้นดิน ที่ต้องดำรงชีพโดยอาศัยลำน้ำแห่งนี้
คงจะต้องทนทุกข์กับโศกนาฏกรรมแห่งสายน้ำ ของค่ำคืนที่ผ่านมาไปอีก..............ไม่รู้ตราบนานเท่าใด
Special Thank .........คุณผิวไผ่ สำหรับภาพสวย ๆ ประกอบเรื่อง
รอก.....ลั่น