ภาพที่ 1´โดย ... สี่เกลอ
สุราษฎร์ธานี...เมืองร้อยเกาะ เงาะอร่อย หอยใหญ่ ไข่แดง แหล่งธรรมะ สุราษฎร์ธานี ไม่ใช่มีเพียงความเด่นตามคำขวัญเพียงแค่นั้น ความงามที่ชวนสัมผัส และสร้างความจดจำมิรู้ลืมอีกแห่ง ที่ไม่แพ้ที่ใดเลยคือ....เขื่อนเชี่ยวหลาน หรือที่บรรดานักท่องเที่ยวให้สมญานามอีกชื่อว่า กุ้ยหลินเมืองไทย (เนื่องจากสภาพภูมิประเทศเหมือนที่จีน)
ภาพที่ 2 ทริปนี้ไปเยือนมาเมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ 53 ที่ผ่านมา ด้วยราคาค่าเดินทางรวมทั้งทริปจากกรุงเทพฯ เพียง 3,900 บาท เท่านั้น (ร่วมค่าเครื่องบินไป-กลับ) ไปได้ถึง 3 วัน 2 คืน นักท่องเที่ยวบางท่านเกรงว่าค่าใช้จ่ายสูง ที่จริงเที่ยวเมืองไทยไม่แพงอย่างที่คิด เพียงแค่วางแผนการท่องเที่ยวล่วงหน้าให้ดี หาข้อมูลก่อนท่องเที่ยวให้ครอบคลุม เชื่อหรือไม่ว่าคุ้มค่าการเดินทางจริงๆ เที่ยวครั้งนี้ซื้อทัวร์ให้นำทาง ได้ศึกษามาเป็นอย่างดีแล้วว่าชาวบ้านท้องถิ่นจะมีความรู้ด้านการบริการนำเที่ยวที่นั่นเป็นอย่างดี เมื่อเดินทางถึงสนามบิน รถตู้มารอรับ ได้นำเราทั้ง 4 คน แวะซื้ออาหารประจำชาติ (เน้นส้มตำ ไก่ย่าง) ไปทานที่สันเขื่อน ซึ่งเราไปถึงกันเย็น บรรยากาศสันเขื่อนเวลานั้น จะมีแต่เฉพาะชาวบ้านในพื้นที่เท่านั้นที่พาครอบครัวไปพักผ่อน อากาศเริ่มเย็นสบาย และภาพตรงหน้าเห็นวิวทิวเขาสลับซับซ้อนมีหมอกจางๆ ชมอาทิตย์กำลังจะลับขอบฟ้าซ่อนตัวลงหลังทิวเขา ส่องแสงเป็นสีส้ม ธรรมชาติเปิดฉากการต้อนรับที่แสนจะอบอุ่นจริงๆ เมื่อได้ลิ้มลองส้มตำรสเด็ดฝีมือชาวบ้านกันอิ่มแล้ว รถตู้เดินทางเข้าที่พักซึ่งเป็นรีสอร์ทท่ามกลางหุบเขา และตั้งใจว่าจะตื่นมาชมหมอกตอนเช้า แต่ค่ำคืนนี้ขอเก็บภาพหมู่ดาวไว้ในความทรงจำก่อน
รุ่งอรุณวันใหม่ ประมาณ 6 โมงเช้า ต้องทึ่งกับภาพที่เห็นเมื่อเปิดม่านมองออกไปจากระเบียง สะดุดกับความงดงามที่เห็นอยู่ตรงหน้า สายหมอกล้อมลอบหุบเขา หยดน้ำค้างเกาะตามหน้าต่างและดอกไม้ บรรยากาศสดชื่น เย็นสบาย นักท่องเที่ยวบางกลุ่มเริ่มทยอยสะพายกล้องออกไปเพื่อเก็บภาพความประทับใจที่ได้รับจากธรรมชาติล้วนๆ ซึ่งรวมทั้งเรา 4 คนด้วย จากนั้นรถตู้นำเราไปล่องเรือแคนูที่ลำธารใกล้รีสอร์ทกันต่อ สองข้างทางที่ล่องเรือนั้นเต็มไปด้วยอากาศที่สะอาด บริสุทธิ์ และเสียงกระรอกขับร้องดังก้องป่าอยู่ตลอดเวลา ธรรมชาติเริ่มทักทายเราอีกครั้ง
ภาพที่ 3 รถตู้มารับเรามุ่งสู่จุดหมายในการมาเยือนสุราษฎร์ธานีครั้งนี้ ที่
เขื่อนเชี่ยวหลาน ลงเรือประมาณ 9 โมง มุ่งหน้าสู่แพที่พัก อากาศกำลังดีไม่ร้อน ได้ชมภาพธรรมชาติของเขื่อนที่สรรสร้างภูเขาทอดตัวเป็นทางยาวเกิดเป็นรูปร่างต่างๆ กัน ตามแต่จินตนาการ เมื่อถึงแพที่พักชาวบ้านที่นั่นต้อนรับเราคล้ายกับโฮมสเตย์ อบอุ่น และเป็นกันเองมาก ประดุจเป็นญาติสนิทของพวกเขา เราเริ่มเล่นน้ำ พายเรือคายัค ให้อาหารปลาที่อยู่รอบๆ แพ และเมื่อแดดร่มลงเราได้นั่งเรือออกไปชมกุ้ยหลินของเมืองไทย ชาวบ้านขนานนามที่นี่ว่าเขาสามเกลอ มีเขาหินเรียงกันอยู่สามลูก คนขับดับเครื่องเรือให้ได้ชมความอัศจรรย์อย่างเต็มอิ่ม บรรยากาศยามนั้นเงียบสงบ สัมผัสเสียงนกร้องมาจากไกลๆ เสียงน้ำกระทบท้องเรือ ท้องฟ้าสวยอากาศเปิดโล่ง ไม่รอช้าเราทั้ง 4 เกลอ นำกล้องออกมาเก็บภาพเขาสามเกลอทันที อีกมุมหนึ่ง...ที่เป็นความงดงามและความบังเอิญที่เกิดจากธรรมชาติ โบกมือลาเขาสามเกลอ เรือเดินทางต่อไปที่แพของทางอุทยานฯ ที่นั่นมีปลาเยอะมาก เราสามารถเอาขาหย่อนลงน้ำและให้อาหารปลาไปพร้อมๆ กัน ปลานับร้อยจะมาสัมผัสขาเรา ดูคล้ายพากันแหวกว่ายวนเวียนหยอกล้อเล่นกับเราซึ่งจะไม่ทำให้เราเจ็บหรือเกิดอันตราย เป็นอีกสิ่งที่ได้เข้าใกล้ธรรมชาติอย่างถึงเนื้อถึงตัว ประทับใจมาก จุดนี้ไม่แนะนำให้นักท่องเที่ยวเล่นกับปลาแรงๆ เช่น เอาเท้าเตะ หรือพยายามจับตัวปลา ขณะที่เพลิดเพลินกับการให้อาหารปลา คนก็ท้องร้องแล้วเหมือนกัน เรือพากลับแพที่พักและเตรียมออกส่องสัตว์ตอนกลางคืนกันต่อ ท่องราตรียามค่ำคืนที่เขื่อน ไม่พบสาวสวยแต่พบชะนีโดดไปมาบนยอดต้นไม้สูง ท้องฟ้าประดับไฟด้วยดวงดาว เชื้อเชิญให้คู่รักหลายคู่จูงมือกันมานั่งนับดาว ถ้ามีดาวตกคงเป็นภาพที่สวยงามไม่น้อย ราตรีนี้อากาศเย็นเข้านอนที่แพห่มผ้าที่ทอจากหุบเขารอบเขื่อน
ยามเช้าแดดส่องแพอุ่นๆ เรือพาเราแล่นผ่านหมอกจางๆ ที่ลอยอยู่เหนือผิวน้ำไปยลโฉมนกเงือก น่าอิจฉานกที่สามารถอยู่กับธรรมชาติได้อย่างลงตัวขนาดนี้ จากนั้นขึ้นบก แวะไหว้พระที่พระบรมธาตุไชยา ทานอาหารทะเล และตามธรรมเนียม แวะซื้อของฝากอันเลื่องชื่อ ไข่เค็ม เต้าส้อ ก่อนกลับสู่บ้านที่แท้จริงของเรา... กรุงเทพฯ แม้ว่าที่นี่เคยเป็นตำนานการสร้างเขื่อนที่ทำให้สัตว์ป่าหลายชนิดต้องมาจบชีวิตลง ก่อเกิดสถานที่เที่ยวทางธรรมชาติอีกรูปแบบหนึ่งขึ้นมา แต่เรา...มนุษย์ ก็จะไม่ลืมที่จะท่องเที่ยวอย่างมีจิตสำนึก อย่างรู้ค่า และเที่ยวเชิงอนุรักษ์ เพื่อให้ธรรมชาติและสัตว์ป่าได้อวดโฉมให้คนไทยรุ่นหลังได้มีโอกาสชื่นชมกับสิ่งมหัศจรรย์ที่ทางธรรมชาติได้มอบไว้ให้ และเพื่อเมืองไทย เราจะไปได้ทุกที่....ตลอดไป
´โดย ... สี่เกลอ