สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 27 ธ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 5 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 9 - [6 ก.ย. 55, 12:39] ดู: 4,685 - [20 ธ.ค. 67, 10:15] โหวต: 5
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 5
หนุ่มธุดงค์ไพร (711 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
11 ม.ค. 55, 08:28
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 5
ภาพที่ 1
บทที่ 9

ตอนที่ 5

          นกนางแอ่นหลายสิบตัว บินวนเวียนโฉบเฉี่ยวจิกกินแมลงตัวเล็กๆ ที่เผลอพลั้งบินขึ้นมาเหนือทุ่งโล่ง ท่ามกลางเปลวแดดร้อนระอุในยามบ่าย อากาศที่ร้อนอบอ้าวจนใบไม้ใบหญ้าดูกรอบเกรียม ครั้นเมื่อมีลมโชยโพยพัด แต่หามีความรู้สึกเย็นผ่อนคลายเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม ราวกับว่าเป็นลมที่ถูกเป่าออกมาจากเครื่องเป่าผมไฟฟ้าของสุภาพสตรีเสียมากกว่า นอกจากจะไม่ได้ให้ความเย็นสดชื่นอย่างที่หวังไว้แล้ว มันยังเพิ่มความแสบร้อนให้ตามผิวหนัง โดยเฉพาะส่วนที่ไม่ได้อยู่ในร่มผ้า

          นอกจากจะแสบร้อนจากแสงแดดที่แผดเผาตามผิวหนังจะเป็นอุปสรรคแล้ว อาการคันปวดแสบปวดร้อนของขุยหญ้าคาและบาดแผลที่ถูกใบของมันที่มีลักษณะบาง แต่ใครจะรู้หรือไม่ว่า ความบางของมันนี่ล่ะจะสามารถบาดผิวหนังของเราได้ ราวกับคมของใบมีโกนดีๆนี่เอง ซึ่งแต่ละคนของคณะไม่มีใครน้อยหน้าไปกว่ากันเลย เพราะโดนใบหญ้าคาบาดตามแขนขาไปตามๆกัน พ้นจากดงหญ้าคา ก็มาเจอ พุ่มต้นเล็บเหยี่ยว ที่ตลอดทั้งต้นของมันมีแต่หนามแหลมคมลักษณะเป็นตะขอ เผลอไปเดินเฉียดเข้าใกล้ก็ได้เลือด ถ้าหนังไม่เปิดก็เสื้อผ้าขาดถ้าขืนกระชากหรือดึง วิธีที่ดีที่สุดก็คือถอยหลังอย่างเดียว ใช่ว่าจะมีแต่ข้อเสีย ข้อดีของมันก็ใช่ว่าจะไม่มีเลย นอกจากหนามแหลมที่คอยเกาะเกี่ยวเนื้อตัวให้รำคาญแล้ว ผลที่มีสีดำอมน้ำตาลที่ขึ้นอยู่ตามกิ่งก้านก็สามารถเลือกเก็บกินได้บ้าง ถึงแม้ว่าจะยังไม่ถึงฤดูแล้งที่ผลของมันจะออกดกเต็มต้นก็ตาม และแน่นอนต้นไหนที่พอจะมีผลให้เลือกเก็บได้ มีหรือที่บุคคลทั้งแปดจะไม่แวะเก็บกิน

“พักกันหน่อยดีกว่า”

“ไม่ไหวร้อนฉิบเผง”ชายหนุ่มร้องบอกมาจากท้ายขบวน

“ตรงร่มแจงทางโน่นไม่ดีกว่ารึ”

“แถวนี้ไม่มีร่มให้พัก”พรานโส่ยร้องบอก พลางชี้มือไปทางต้นแจง ที่ขึ้นเขียวอยู่โดดเดี่ยวเบื้องหน้า

“ว่าไงว่าตามลุง”

“นี่ขนาดหมดฝนใหม่ๆ ยังร้อนแล้งได้ขนาดนี้ ไม่อยากนึกเลยถ้าเข้าแล้งจริงๆมันจะแล้งกว่านี้ขนาดไหน”ชายหนุ่มพูดพลางยกแขนเสื้อข้างหนึ่งขึ้นมาเช็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นอยู่เต็มหน้า

“อยู่บนเขามันก็แบบนี้แหละพี่”

“ฝนลมมาเท่าไหร่ มันก็ไหลลงหุบหมด”เจ้าเคิ้งพูดพลางหยุดเก็บเม็ดเล็บเหยี่ยวโยนเข้าปากไปพลาง

“อ้าวนั่นอะไรดำๆ?”

“รังผึ้งนี่หว่า”เจ้าเคิ้งร้องบอก พลางชี้มือบอกตำแหน่งของรังผึ้งขนาดเขื่อง ที่เกาะทำรังอยู่ในพุ่มเล็บเหยี่ยว

“เออวะ ตาดีนี่เอ็ง”เจ้าพุ่มร้องตอบ

“วู้..พี่พร น้าเบ รอก่อน”

“ไอ้เคิ้งเจอรังผึ้ง เดี๋ยวขอตีเอาน้ำหวานมากินเสียหน่อย”สิงห์ป้องปากร้องบอกพรานทั้งสอง ที่เดินนำอยู่เบื้องหน้า

“เออ..เดี๋ยวข้าสองคนไปรอที่ร่มไม้ก่อนก็แล้วกัน”พรานพรกู่ปากตอบ ส่วนคนร้องถามเมื่อได้ยินคำตอบ ก็ยกมือตอบแสดงความหมายว่าเข้าใจตามนั้น

“แหม..เข้าใจหาที่ทำรังเสียด้วย”

“ไหวหรือเปล่าเอ็ง”สิงห์หันไปถามเจ้าพุ่ม ที่ทำท่าเหมือนจะรับอาสาเข้าไปจัดการกับรังผึ้งที่หมายตาไว้

“สบายมากพี่”

“ขนาดผึ้งทำรัง อยู่กลางกอไผ่ มันยังเอามากินได้เลย”เจ้าเคิ้งร้องตอบแทนเพื่อนเกลอ

“มันทำรังลึกแบบนี้ เอ็งจะเป่าควันยา ถึงหรือวะ”

“ไหนจะหนามอีกทั้งแผง”ชายหนุ่มกล่าว ขณะก้มตัวมองไปที่รังผึ้งที่อยู่ในพุ่มเล็บเหยี่ยว

“จะไปยากอะไร”

“ตัดไม้ยาวๆแล้วผูกหญ้าคา สักกำสองกำตรงปลายก็เอาอยู่”พรานโส่ยร้องเสริม ก่อนที่ตัวเองจะเดินโขยกเขยกไปตัดไม้ต้นเล็กๆได้ต้นหนึ่ง ยาวร่วมสองวา ส่วนเจ้าเหน๋อก็เหมือนจะรู้ใจ พรานชราไม่ทันจะตัดแต่งลิดกิ่งก้านไม่ทันเสร็จ หญ้าคาทั้งแห้งและสด ก็ถูกรวบตัดมา ส่งให้พรานเฒ่า ใช้เถาวัลย์มัดหญ้าคาเข้ากับปลายไม้

          เมื่อได้อุปกรณ์รมควัน เจ้าพุ่มก็ค่อยๆจุดไฟเข้าที่ด้านปลายไม้ ที่มีหญ้าคาแห้งมัดเป็นกระจุกอยู่ หญ้าคาแห้งเป็นเชื้อไฟได้ดี ไม่ถึงเสี้ยววินาที เปลวไฟก็ลุกพรึบขึ้นอย่างง่ายดาย เปลวไฟลุกลามได้ที่ เจ้าพุ่มก็หักกิ่งไม้ นำไปฟาดดับไฟ จนเหลือแต่ควันโขมง จากนั้นคนรับอาสาก็ค่อยๆ แหย่ปลายไม้ที่มีควันเข้าไปที่ตำแหน่งของรังผึ้งรังนั้น

          ทันทีที่กระสาควันไฟ ผึ้งหวี่ ทั้งรังก็พากันถอยไปกระจุกอยู่ที่ส่วนหัวของรัง หรือที่เรียกว่าหัวน้ำหวาน จนเผยให้เห็นรังอ่อนๆสีขาวอมเหลืองสะอาดตา ตอนนี้เองที่เจ้าพุ่ม ค่อยๆใช้มีดตัดลิดกิ่งก้านที่เต็มไปด้วยหนาม ของต้นเล็บเหยี่ยวออกที่ละกิ่งสองกิ่งแหวกเป็นช่องพอที่ตัวเองจะมุดลอดไปตามช่องนั้นได้ ไม่นานเกินรอ รังผึ้งขนาดสองมือกางๆก็ถูกตัดออกมาจากกิ่งที่มันเกาะ

“แหม่น้ำหวานเกือบเต็มทุกช่อง”

“รังอ่อนกำลังดีเสียด้วย”พรานแปะร้องบอก พลางใช้กิ่งไม้เล็กๆเขี่ยผึ้งที่ยังเกาะอยู่ตามรังออกทีละตัวสองตัว

“ถ้าเป็นช่วงเดือนห้า รังแบบนี้เอามาดองยาละก็เยี่ยมเลย”พรานชราร้องเสริมมาอีกคน

“แล้วเดือนนี้ เอามาดองไม่ได้หรือลุง ฮ่าๆ”สิงห์พูด พลางหัวเราะ

“ได้สิวะ ทำไมจะไม่ได้”

“แต่ถ้าจะให้ดี มันต้องน้ำผึ้งเดือนห้า โว้ย”พรานชราร้องตอบ พรางหัวเราะแบบไม่มีเสียง

“ไป พวกเรา ไปนั่งพักที่ร่มดีกว่า”

“พี่แปะถือดีๆล่ะ อย่าให้อะไรมาเกี่ยวหัวน้ำหวานนะ เสียดาย”ชายหนุ่มร้องบอกคณะ

          ระยะไม่เกินห้าสิบเมตร จากตำแหน่งของรังผึ้งที่ได้มา ต้นแจงใหญ่ต้นหนึ่ง ยืนต้นตระหง่านโดดเด่นบนเนินดินเตี้ยๆ น่าแปลกที่ใบของมันดูเขียวสดเป็นพุ่มครึ้ม ผิดกับต้นไม้รอบๆด้านของมัน ดูเหี่ยวเฉาแห้งกรอบไปหมด และเท่าที่สังเกตรอบๆบริเวณแล้ว ในระยะตารางกิโลเมตรนั้น ไม่มีต้นไม้ต้นใด หรือพุ่มไม้ใดดูเขียวสดชื่นเท่ากับต้นแจงต้นนี้เลย

“ค่อยยังชั่วหน่อย”

“แต่ก็น่าแปลกนะ ที่อื่นเขาแล้งจะเป็นจะตาย ไอ้นี่กลับรอด แถมยังดูงามกว่าเขาเพื่อน”ชายหนุ่มหมายถึงต้นแจง ที่ตัวเองและคณะต่างอาศัยร่มเงาของมันหลบแดด

“ไม่แปลกหรอกไอ้สิงห์”

“ต้นแจงมันก็แบบนี้ล่ะ ยิ่งแล้ง ใบยิ่งแตก แต่ถ้าเข้าหนาวจัดๆใบก็ล่วงหมด”พรานชราร้องบอก ขณะนั่งม้วนยาเส้นเตรียบจุดสูบ

“ว่าแต่ไอ้สองตัวนั่นจะไปไหวมั๊ย”

“ดูมันสิ น่าสงสาร นอนลิ้นห้อยจะถึงพื้นอยู่แล้ว”สิงห์พูด พลางบุ้ยปากไปทางหมาสองตัว ที่พากันนอนหอบแฮกๆ จนลิ้นห้อย

“สงสัยจะหิวน้ำ”

“ไอ้เคิ้ง เด็ดใบไม้มาทำกรวยใส่น้ำให้ไอ้สองตัวนั้นมันกินหน่อยสิ”พรานชราร้องบอกลูกชาย สิ้นเสียงชายผู้เป็นพ่อ เจ้าเคิ้งลูกชายก็ปฏิบัติตามแต่โดยดี ไม่กี่อึดใจ กรวย
กระทง ที่ทำจากใบไม้แบบง่ายๆจำนวนสองใบก็เสร็จ ก่อนที่เจ้าตัวจะร้องเรียกเพื่อนเกลอมาช่วยเทน้ำจากกระบอกให้หมาทั้งสองตัวอย่างไม่คิดรังเกียจ

“มาไอ้สิงห์ มาตักน้ำผึ้งกินคนละคำสองคำ”พรานแปะร้องบอก พลางส่งช้อนสังกะสีด้ามเขียวส่งให้สิงห์ประเดิมเป็นคนแรก

“อ้าวแล้วพี่ไม่กินก่อนล่ะ”สิงห์พูดหลังรับช้อนสังกะสีอยู่ในมือ

“แหม่..ดีจริงๆ หวานชุ่มคอดีแฮะ”

“ได้มะขามป้อมมาเคี้ยวอีกสักลูกสองลูก คงจะเข้าท่ากว่านี้”ชายหนุ่มกล่าว หลังจากหัวน้ำผึ้งที่ฉ่ำไปด้วยน้ำหวานสีอำพันอยู่ในปาก ไม่ทันขาดคำ ของชายหนุ่ม พรานเบก็ร้องบอกให้สิงห์รับวัตถุอะไรชนิดหนึ่ง ที่พรานนำทางโยนมาให้ เมื่อแบมือออกมา ถึงได้รู้คำตอบว่า สิ่งนั้นก็คือ ลูกมะขามป้อม นั่นเอง

“บ๊ะ! ยังกะเสกได้”ชายหนุ่มพูดพลาง ใช้มืออีกข้างตบที่น่องตัวเองดังฉาด ก่อนที่จะโยนผลมะขามป้อมเขาไปเคี้ยวอยู่ในปาก ดัง กรุบๆ

“ยังมีอีกเปล่า ของสักลูกสองลูกสิ”เจ้าเหน๋อเห็นเข้าเช่นนั้นก็ร้องขอบ้าง

“เยอะแยะ จะเอาสักกี่ลูก”พรานนำทางพูดจบ ก็งัดถุงใส่มะขามป้อมออกมาจากย่ามที่สะพาย ซึ่งถ้ากะด้วยสายตาแล้วในถุงใบนั้น น่าจะมีไม่ต่ำกว่าสามสิบลูก

“เก็บมาตั้งแต่ไปนั่งห้างแล้ว”

“ข้าก็เกือบลืม ถ้าไอ้สิงห์มันไม่พูดทักมา”พรานเบร้องบอก พลางยื่นถุงมะขามป้อมส่งให้เหน๋อ และคนอื่นๆ

“ข้ามทุ่งนี้ไปอีกครึ่งก็ถึงชายป่า”

“กัดฟันเดินกันอีกหน่อยแล้วกันพวกเรา”พรานพรร้องเสริม ขณะยืนสูบบุหรี่ควันฉุย

“ขากลับไม่ต้องพามาทางนี้อีกล่ะ”

“ร้อนจนตีนข้าจะพองอยู่แล้ว”พรานชราร้องบอก พลางยกฝ่าเท่าของตัวเองข้างหนึ่งขึ้นดู

“ดูอีกทีแล้วกัน ถ้าไม่เจอช้างโขลงนั้น”

“ข้าก็กะว่าจะพาเดินกันแถวๆชายป่านั่นแหละ”พรานเบร้องบอก

“เอานา แกก็บ่นไปได้ ที่เห็นริบๆโน่น เดินอีกไม่กี่กิโลก็ถึงแล้ว”พรานพรโพล่งออกมา พูดจบก็ดีดก้นบุหรี่ยาเส้นลงพื้น ก่อนที่จะใช้ปลายเท้าขยี้จนดับ แต่ไม่ทันที่พรานพรจะเอ่ยคำใดต่อ พรานเบก็ทำท่าหูผึ่งขึ้นมาทันที พลางร้องบอกทุกคนว่า

“ทุกคนเงียบๆหน่อยสิ”

“มีใครได้ยินเสียงอะไรบ้างหรือเปล่า?”พรานนำทางร้องบอก พลางยกมือข้างหนึ่งขึ้น แสดงความหมายให้ทุกคนหยุดส่งเสียง

“มีอะไรหรือน้าเบ?”สิงห์ร้องถามแบบตื่นๆ

“ฉู่...วว!”พรานเบไม่พูดจาอะไรตอบ นอกจากทำเสียงเพื่อย้ำให้เงียบอยู่เช่นนั้น

        ภายใต้ความเงียบนั้นเอง อึดใจต่อมา ทุกคนก็ได้ยินเสียงที่พรานนำทางสงสัย แรกๆก็ไม่มีใครจับต้นชนปลายได้ถูก ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงอะไร แรกๆก็มีเสียงดัง เปรี๊ยะ เบาๆมาก่อน แต่นานเข้า ดูทีท่าว่าจะดังรัวถี่มากขึ้น ราวกับว่ามีใครมาจุดประทัดดอกเล็กๆมากขึ้นเรื่อยๆ เหมือนจะนัดกันไว้ ทุกคนต่างหันไปทางที่มาของเสียง ก็คือด้านหลังที่ทั้งคณะเดินผ่าน บัดนั้นเองที่หัวใจของแต่ละคนแทบจะหยุดเต้น

        เปลวไฟขนาดใหญ่พร้อมกับควันสีเทาม้วนตลบขึ้นสู้ท้องฟ้า ราวกับคลื่นยักษ์ที่กำลังถาโถมชายฝั่งอย่างไรอย่างนั้น ต้นไม้ต้นไร่ที่แห้งเหี่ยวอยู่แล้ว พอจะมองเห็นยอดอยู่ริบๆ บันนี้ถูกอำนาจของพระเพลิงกลืนกินอย่างรวดเร็ว เสียง ฮือ กระหึ่ม เหมือนกับเสียงคำรามที่ผุดออกมาจากขุมนรก ราวกับปีศาจร้ายที่ออกหาล่าเหยื่อ พร้อมๆกับเสียง วี๊ด ของควันไฟที่ประทุออกมาจากต้นไม้ใบหญ้าเมื่อถูกพระเพลิงกลืนกิน ราวกับเสียงกรีดร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด ท่ามกลางทะเลเพลิง

“ฉิ บ หาย!”

“ไฟป่ามา “พรานเบอุทานลั่น

“มันมาได้ไงวะนั่น”

“ไอ้พุ่ม เอ็งดับไฟดีหรือเปล่า”พรานพรร้องเสียงหลง

“ผมว่าผมดับดีแล้วนะ”

“เอาไงดีพี่พร”เจ้าพุ่มทำหน้าซีดร้องบอกปากคอสั่น เมื่อนึกถึงคบไฟที่ตัวเองใช้ตีผึ้งเมื่อไม่กี่อึดใจมานี้

“จะดับตอนนี้คงไม่ทันแล้ว”พรานแปะร้องเสริมอย่างกระวนกระวาย

“เก็บของเร็ว ออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด!”

“ลมมันพัดมาทางนี้แล้ว”พรานนำทางตะโกนแข่งกับเสียงกระหึ่มของพระเพลิง ที่กำลังเคลื่อนตัวเขามาใกล้คณะอย่างรวดเร็ว สิ้นเสียงของพรานนำทาง โดยไม่ต้องให้บอกซ้ำ ใครคว้าอะไรใกล้ตัวของใครได้ก็คว้า ในเมื่อยมทูตมาเคาะประตูเรียกเกือบจะถึงหน้าบ้านขนาดนี้แล้ว ถ้ามัวแต่เกี่ยงกันคงไม่แคล้วดำเป็นตอตะโก

“เอาไงดีน้าเบ”

“ข้างหน้าเรามีแต่ดงหญ้าคาทั้งนั้น”สิงห์ร้องบอกพรานนำทางอยากกระหืดกระหอบ ขณะวิ่งเกาะกลุ่มกันมา

“เบี่ยงมาทางนี้ ตามข้ามา”

“เห็นกองหินใหญ่ตรงนั้นมั๊ย”พรานเบร้องบอก พลางชี้มือบอกไปยังตำแหน่งของหมู่หินใหญ่เบื้องหน้า ห่างจากคณะราวๆร้อยเมตร

“อย่าบอกนะว่าเอ็งจะให้พวกข้าขึ้นไปหลบไฟป่าบนนั้น”

“ทำแบบที่เอ็งว่า เท่ากับฆ่าตัวตายชัดๆ เพราะไฟมันจะล้อมพวกเราไว้ทุกด้าน”พรานชราร้องบอก พลางวิ่งโขยกเขยก โดยลืมอาการปวดระบมฝ่าเท้าอย่างปลิดทิ้ง

“แกอย่าพูดอะไรมากเลยตาโส่ย”

“เดี๋ยวไปถึงแล้ว ไอ้เบมันคงจะบอกเองนั้นแหละ”พรานพรตวาด

“ไอ้ฉิ บหายพุ่ม เพราะเอ็งคนเดียวแท้ๆ”เจ้าเคิ้งร้องบอกเพื่อนเกลออย่างหัวเสีย

“อ้าวไอ้ห่ า อย่ามาโทษข้าคนเดียวสิวะ”

“ใครจะไปรู้ว่าไฟมันจะติดขึ้นมาอีก ตอนออกมาเอ็งกับข้าก็ช่วยกันดูไม่ใช่รึ”เจ้าพุ่มไม่ยอม เถียงตอบกลับไป พลางทำหน้าเหมือนกับจะร้องไห้

“เอ๊าเฮ้ย!”

“เอ็งสองคนจะมาเถียงอะไรกันตอนนี้”

“เวลานี้ ต้องเอาตัวรอดไว้ก่อน เรื่องอื่นไว้ค่อยคุยกัน”สิงห์ร้องปรามสองกะเหรี่ยง

ไม่กี่อึดใจต่อมา ทั้งหมดก็มาถึงตำแหน่งของหมู่หิน ที่ขึ้นเรียงรายอยู่เป็นกลุ่มใหญ่ เหมือนกับภูเขาหินขนาดเล็ก แต่กว่าจะฝ่าดงหญ้าคาออกมาได้ก็เหนื่อยเอาการณ์
เพราะไม่มีแต่หญ้าคาที่เป็นเชื้อไฟชั้นดีแล้ว สาบเสือและหญ้าอ้อยช้าง ก็ขึ้นเรียงรายหนาทึบไปหมด

“ข้ามไปอยู่หลังก้อนหินนั้นทุกคน”

“ไอ้พร ไอ้แปะ มาช่วยข้าทางนี้”พรานเบร้องบอก พรานทั้งสองให้ติดตามไปด้วย

“เร็วลุง ไอ้เหน๋อ รับของขึ้นไป”

“ไอ้เคิ้งรีบฉุดพ่อเอ็งขึ้นมาก่อน”สิงห์ร้องบอก

“เฮ้ยไอ้พุ่ม จับไอ้สองตัวขึ้นมาหลบทางนี้ด้วย”ชายหนุ่มตะโกนบอก เมื่อเหลือบไปเห็นหมาสองตัวทำท่าตะกุยหินอยู่เช่นนั้น เพราะความชันของหิน มันทั้งสองตัวจึงปีนขึ้นมาไม่ได้ เมื่อทั้งคนและหมาปีนเนินหินไปหลบอีกฝั่งหนึ่งได้ สิงห์ก็พอจะมองเห็นช่องทางรอดจากทะเลเพลิง พื้นดินที่อุดมไปด้วยกรวดหินลูกรัง มีต้นหญ้าสาบเสือขึ้นอยู่ประปลาย รวมทั้งไม้หนามต่างๆ ที่ดูแคระแกร็น ถึงแม้จะมีกอหญ้าคาและวัชพืชขึ้นอยู่ แต่มันก็ไม่รกน้อยกว่า ดงหญ้าคาที่ลุยฝ่ากันมา และดูเหมือนว่า ชายหนุ่มจะคิดถูกต้อง เมื่อเห็นสามพรานกะเหรี่ยงต่างช่วยกันใช้มีดหวด ฟันกอหญ้าคาจนดูเป็นแนวขนานไปตามเชิงหิน....

*****เรื่องราวกำลังดำเนินไปอย่างสนุก ทั้งคณะจะเอาตัวรอดจากพระเพลิงไปได้เช่นไร โปรดติดตามตอนต่อไป*****

ผิดพลาด ตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 5
ภาพที่ 2
รังผึ้งหวี่ ที่เจ้าพุ่มหาได้
ผมมีเรื่องเล่าจะบอกครับ เจ้ารังผึ้งที่น้าๆเห็น ถ้าเป็นผมเวลาจะตีมัน ก็ต้องใช้ไฟ แต่หมอไม่ได้ทำแบบนั้นครับ หมอหักกิ่งไม้ที่รังผึ้งรังนั้นเกาะหน้าตาเฉย แล้วเคาะตัวออกมา ผมนี้วิ่งป่าราบเลยครับ ดูดู๊ดูดูมันทำ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 5
ภาพที่ 3
ลูกสีส้มๆเหลือง ที่อยู่ระหว่างเจ้าเคิ้งกับเจ้าพุ่ม เขาเรียกว่า ซา-ธง ภาษากะเหรี่ยง  ทางเหนือเรียกว่า มะหลอด ครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 5
ภาพที่ 4
บอนป่า ขนาดใหญ่อีกชนิดหนึ่งครับ น่าเอามาประดับสวนนะผมว่า แต่คิดไปคิดมาให้มันอยู่ในป่าดีอยู่แล้ว
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 9 ตอนที่ 5
ภาพที่ 5
ปิดท้ายด้วย แกงฟักเขียวกับหมูสามชั้นครับ
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024
siamfishing.com/content/view.php?cat=article&nid=63532