ภาพที่ 1บทที่9
ตอนที่ 3
ภายใต้ร่มเงาของไม้ใหญ่ ที่แผ่กิ่งก้านปกคลุม เปรียบเสมือนหลังคาธรรมชาติ กลุ่มบุคคลทั้งแปดต่างนั่งรายล้อมอาหารมื้อเช้ากลางป่า อากาศที่สดชื่นเย็นสบายในยามเช้า ทำให้ทั้งหมดดูกระปรี้กระเปร่า ข้าวสวยร้อนๆส่งควันกรุ่นๆ หลังจากเปิดฝาหม้อสนามออก เช่นเดียวกับแกงหัวปลี ที่ส่งควันฉุย ส่งกลิ่นหอมยั่วน้ำลาย อยู่ในชามใบใหญ่ กลางวงผืนผ้าใบผืนนั้น ถัดออกมาใบพลวงก็มี เนื้อเก้งย่างและปลาแห้งอีกกอง วางเคียงคู่กับน้ำพริกเผาถ้วยใหญ่ที่มีผักแนมอย่าง หน่อไม้เผา และฝักเพกาย่างอ่อนๆ ยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะไม่กี่อึดใจต่อมา หมกเครื่องในที่เพิ่งจะสุกส่งกลิ่นหอม ก็ถูกนำมาวางสมทบอีกห่อ หลังจากตักแบ่งอาหารเป็นเครื่องเซ่นจนเป็นทำเนียมแล้ว อาหารเช้าเคล้าอายหมอกจางๆก็ถูกบรรเลงโดยไม่ต้องรีรอ
อิ่มข้าวแล้ว พวกเอ็งก็รีบเก็บข้าวของให้เรียบร้อย
เช้านี้จะได้ออกแต่วันพรานเบพูดพลาง ฉีกปลาแห้งย่างเข้าปาก
น่าจะทันอยู่นะ น้าเบ
นี่ก็ยังไม่แปดโมงเลยสิงห์ร้องบอก หลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู
ออกเช้าๆแบบนี้ก็ดีไปอย่าง
ไม่ร้อนมาก จะได้ไม่เหนื่อยพรานพรร้องเสริม ก่อนที่จะตักข้าวเข้าปากคำใหญ่
จะได้เห็นป่าดำเป็นบุญตาเสียที
แถวนั้นคงมีของกินเยอะเจ้าเคิ้งดีใจจนออกนอกหน้า
เอ็งรู้ได้ยังไงไอ้เคิ้ง
เคยไปรึเจ้าพุ่มที่นั่งกินข้าวอยู่ข้างๆ ร้องขัด
ข้าเดาเอา
ก็แถวนั้นไม่ค่อยมีใครไป ของกินดีๆคงมีให้หาอยู่หรอกเจ้าเคิ้งเถียงกลับ
จะเถียงหาสวรรค์วิมานกันทำไมวะ!
รีบกิน รีบอิ่มจะได้เก็บของพรานแปะร้องขัด พูดจบก็ตักน้ำแกงขึ้นมาซดดัง โฮก
มีไม่มีเดี๋ยวพวกเอ็งก็รู้พรานเบร้องบอก ก่อนที่จะหัวเราะหึๆ อยู่ในลำคออย่างมีเลศนัย
อดเข้าจริงๆ อย่างเก่งก็กลับ
เก้งยังเหลืออีกขา อ้นอีกตัว น่าจะอยู่ได้อีกวันพรานโส่ยตอบ พลางเคี้ยวหน่อไม้เผาดังกรุบๆอยู่ในปาก
ถ้าเสบียงสดของเราหมด
ก็ยังเหลือของแห้งอีกไม่ใช่รึ ลุงโส่ย
ปลากระป๋อง กับเนื้อแห้ง ที่ผมเตรียมมายังมีอยู่สิงห์ร้องบอกพรานเฒ่า
เออวะ ข้าเกือบลืม
ถ้าเป็นแบบที่เอ็งว่ามา ไม่ได้อะไรเลย ก็อยู่ได้สองวัน วันกลับค่อยว่ากันอีกทีพรานโส่ยตอบ
ขออย่าให้ข้าวสารหมดเป็นพอ
อย่างอื่นไม่ต้องเป็นห่วงพรานพรร้องเสริมอย่างมั่นใจ
ฮี่โธ่! ทำเป็นพูดไปไอ้พร
เอ็งมีอะไรให้ข้าหวังว่ะ ฮาๆพรานเฒ่าร้องเหน็บ ก่อนที่ทั้งหมดจะหัวเราะ บรรยากาศเต็มไปด้วยความครึกครื้นสนุกสนาน ท่ามกลางบรรยากาศธรรมชาติที่รายล้อม ถึงแม้ว่า อาหารจะไม่ได้วิเศษวิโส หรือดีเด่ อะไรนัก แต่มันก็เปี่ยมไปด้วยคุณค่าทางกาย และที่สำคัญก็คือ คุณค่าทางจิตใจ เพราะทั้งหมดนี้ ทุกคนล้วนแล้วแต่ช่วยกันสร้างสรรค์ ปรุงแต่งมันขึ้นมา แม้รสชาติอาหารบางอย่างจะไม่ได้ความเอาเสียเลย แต่มันก็ไม่มีความหมายใดๆทั้งสิ้น เพราะจุดประสงค์หลักของมันก็คือ ทำให้ท้องของทุกคนอิ่ม ตรงตามความหมายของว่า กินเพื่ออยู่ มิได้อยู่เพื่อกิน
ขบวนท่องไพร เริ่มออกเดินทางอีกครั้ง หลังจัดการกับอาหารเช้าและอุปกรณ์สำภาระเดินทางต่างๆเสร็จเรียบร้อย พรานเบก็พาคณะทั้งหมดบ่ายหน้าไปยังจุดหมายที่กำหนดไว้ โดยมีเจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบอง คอยวิ่งล้อมหน้าล้อมหลังอยู่ห่างๆ ตามแบบฉบับของหมาพราน เวลาการเดินทางเป็นไปตามที่พรานเบกำหนดไว้ ซึ่งเวลาเดินทางในขณะนี้ ระบุอยู่บนนาฬิกาของสิงห์คือ แปดนาฬิกาสิบสองนาที บรรยากาศการเดินทางเป็นไปอย่างความราบรื่น เพราะบริเวณป่าและเส้นทางการเดิน ไม่ค่อยรกนัก เนื่องจากบริเวณพื้นที่เป็นเนินเขาผสมกรวดหินลูกรัก ในลักษณะของป่าเบญจพรรณ สลับกับป่าไผ่ที่ขึ้นแซมให้เห็นเป็นระยะๆ ถึงจะเป็นเนินเขาชัน แต่การเดินทางของคณะทั้งหมดไม่มีท่าทีหรือแสดงอาการอ่อนล้าออกมาให้เห็น เพราะสภาพอากาศในต้อนเช้ายังเย็นสดชื่น บวกกับสายหมอกและร่มเงาของไม้ใหญ่ยังบดบังแสงอาทิตย์ไว้อยู่
สถานการณ์และเส้นทางต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร ไม่มีใครรู้ดีไปกว่าพรานเบ ผู้ที่เคยเยียบย่ำผ่านมาแล้ว อย่างน้อยๆก็ครั้งหนึ่ง ซึ่งมันก็มากเพียงพอแล้วสำหรับพรานชำนาญไพร ถึงต้นไม้และสถานที่ จะดูเหมือนกันไปหมดก็ตาม แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงก็คือ ภูเขา ที่มองเห็นเด่นชัดอยู่เบื้องหน้า เหลี่ยมหิน และมุมเขา เปรียบเสมือนเข็มทิศที่ชี้ทางบอกตำแหน่งที่เคยย่ำผ่าน แม้จะดูเลือนลาง แต่ก็ชัดเจนในความทรงจำ ถึงจะลังเลบ้าง แต่เมื่อหยุดใช้ความคิดไม่นาน พรานชำนาญไพรอย่างพรานเบ ก็สามารถพาเดินนำไปต่อได้ เนินแล้วเนินเล่าที่พานำฝ่า พุ่มแล้วพุ่มเล่าที่พามุดลอด พรานเบก็พาบุกตะลุยโดยไม่คิดที่จะหยุดพัก
ตะวันที่เคยอยู่ชิดริมสันเขา เวลาผ่านไปนานเข้า ก็เริ่มเคลื่อนตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ เช่นเดียวกับเวลาที่ไม่หยุดเคลื่อนไหว จากบรรยากาศที่เย็นสบายสดชื้นในยามเช้า บัดนี้ก็เริ่มร้อนระอุด้วยไอแดด พื้นดินและกองใบไม้แห้ง ที่เคยชื้นแฉะด้วยละอองหมอกและหยดน้ำค้าง เมื่อถูกแสงแดดแผดเผา ก็ระเหยหายไปจนพื้นดินและกองใบไม้เหล่านั้นแห้งผาก ที่เห็นชุ่มฉ่ำไปด้วยหยดน้ำ ก็เห็นมีเพียงแต่หยดเหงื่อของแต่ละคน ที่ตอนนี้เริ่มผุดขึ้นเต็มใบหน้า
เดินกันมาตั้งแต่เช้าแล้ว
เดี๋ยวหาที่ร่มๆนั่งพักเอาแรงเสียหน่อยพรานเบร้องบอกคณะ พลางยกแขนเสื้อขึ้นมาปาดเหงื่อที่ใบหน้า
ดีเหมือนกัน
บนนี้ร้อนเป็นบ้าเลยสิงห์ร้องบอก จากนั้นก็ยกน้ำในกระติกขึ้นจิบดับกระหาย
นี่ก็เกือบจะเที่ยงแล้ว
ไหนๆก็จะหยุดพักแล้ว ก็กินข้าวกินปลากันเลยดีกว่า จะได้ไม่เสียเวลาสิงห์ร้องเสริมมาอีก หลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู
เออ..ข้าก็ว่าดี
กินข้าวเสียเลย คงไม่เสียเวลามาก ข้าวปลาก็มีเตรียมไว้อยู่แล้วพรานโส่ยร้องเสริมบอกมาจากท้ายขบวน
โน่น ข้างหน้า
เดี๋ยวพักกันตรงนั้นแหละพรานเบร้องบอก พลางชี้มือบอกตำแหน่งที่พัก
ไม่กี่อึดใจต่อมา ทั้งคณะก็มาหยุดพักกันที่ร่มไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง ที่ยืนต้นตระหง่านโดดเด่นอยู่บนเนิน หลังจากทุกคนปลดสำภาระต่างๆออกจากหลังแล้ว ก็จัดแจงปัดกวาดสถานที่ ใช้เวลาไม่นานก็ได้พื้นที่ราบเรียบโล่งเตียน พรานเบและพรานพร แยกตัวออกไปหาเก็บผักหญ้าที่พอจะหาได้ในแถวๆบริเวณที่พัก พรานแปะก็ไม่น้อยหน้า ขอแยกไปตามลำพังอีกทางหนึ่ง พรานโส่ยและคนที่เหลือ ช่วยกันจัดเตรียมข้าวปลาอาหาร ข้าวสวยมีอยู่แล้ว เพราะพรานโส่ยหุงเผื่อไว้เมื่อตอนเช้า ทำให้ไม่ต้องเสียเวลาหุงหาอีก ส่วนกับข้าวมีน้ำพริกเผา กับเนื้อเก้งย่างและปลาย่าง ที่เหลืออีกนิดหน่อย เท่านี้ก็เพียงพอแล้วกับอาหารมื้อเที่ยง แต่ยังไม่ทันที่จะจัดเรียงอาหารให้เรียบร้อย เสียงพรานพรก็ร้องลั่นมาจากป่าเบื้องล้าง
ว๊าก!!พรานแปะร้องเสียงหลง ติดตามมาด้วยเสียง ที่ทุกคนได้ยินแล้วถึงกับสะดุ้ง
โฮก!!
เฮ้ย! พี่แปะนี่หว่าสิงห์ร้องลั่น
เร็วไปดูกันสิยังไม่ทันที่สิงห์จะพูดจบ ทุกคนที่อยู่บริเวณนั้นก็พากันวิ่งกรูกันไปที่ตำแหน่งของเสียง แต่ยังไม่ทันจะไปถึง ก็เห็นพรานแปะวิ่งตาเหลือกสวนเข้ามาหา
มะ มะ หมี!
หมีควายตัวเบ้อเร่อเลย!!พรานแปะหยุดพูดอย่างกระหืดกระหอบ
ทางไหนว่ะ
ไอ้หมีควายที่เอ็งเห็นพรานชราร้องเร่ง
ทางโน่น
หลังจอมปลวกใหญ่ ที่เห็นต้นข่อยเขียวๆอยู่นั่นพรานแปะร้องบอกปากคอสั่น พรางชี้ไปยังตำแหน่งที่เห็นหมีควาย
ทำไมไม่ยิงว่ะ
ปืนผ่าหน้าไม้ก็เอาไปด้วย แล้วตอนนี้ไปทำตกอยู่ไหนเสียล่ะพรานโส่ยตวาด แต่ไม่ทันที่พรานเฒ่าจะว่าอะไรต่อ ก็เห็นพรานเบและพรานพร พากันวิ่งหน้าตั้งมาสมทบ พร้อมกับหมาสองตัวที่วิ่งหูตั้งมาเช่นกัน
เจออะไรเข้าให้
มีใครเป็นอะไรหรือเปล่าพรานเบร้องทักมาแต่ไกล
ไม่มีใครเป็นอะไรน้าเบ
พี่แปะแกเจอหมีควายสิงห์ร้องบอก หลังจากพรานเบและพรานพรใกล้เข้ามาถึงกลุ่ม
หลังซุ้มข่อยพี่เบไม่ทันที่พรานแปะจะบอกอะไรต่อ หมาสองตัวที่วิ่งนำเข้าไปในซุ้มข่อย ก็พากันเห่าเสียงให้เกรียวไปหมด
โฮก!
นั่นไง ตัวยังอยู่พรานแปะร้องบอกหน้าตาตื่น พร้อมๆกับพรานเบที่วิ่งถลาเข้ามาถึงกลุ่มพอดี
ระวังนะพี่ ฉันว่ามันยังอยู่แถวๆนั้นล่ะพรานแปะร้องบอก เมื่อเห็นพรานเบทำท่าเหมือนจะเข้าไปในซุ้มข่อยนั้น
พวกเอ็งอยู่รอข้าตรงนี้ล่ะไม่ต้องตามไปพรานเบพูดจบ ก็รีบสลับเปลี่ยนลูกปืนของแกทันที จากลูกปรายที่ใช้ยิงไก่ป่า มาเป็นลูกเบอร์ที่บรรจุภายในเก้าเม็ด
จะดีหรือน้าเบ อย่างน้อยๆก็ให้ใครไปเป็นเพื่อนสักคนสองคน
ผมก็ได้สิงห์ร้องขัด
ข้าก็เห็นด้วยกับไอ้สิงห์มัน หาพวกไปสักคนก็ยังดีพรานโส่ยร้องเสริมมาอีกคน
เอ็งไม่ต้องไปหรอกไอ้สิงห์ ปืนเอ็งเล็กนิดเดียว ยิงมันไม่เข้าหรอก
ข้าไปกับเอ็งเองไอ้เบพรานพรพูดจบ ก็สาวเท้าตามพรานเบไปติดๆ ท่ามกลางการเฝ้ามองของทุกคนด้วยใจระทึก ในขณะที่พรานทั้งสองค่อยๆย่องเข้าไปยังตำแหน่งเป้าหมายที่เห็น ในลักษณะตีโอบ อ้อมไปทางด้านหลังจอมปลวกนั้น ทันใดนั้นทุกคนที่เฝ้ามองอยู่ก็สะดุ้งเกือบจะพร้อมๆกัน เพราะเสียงแผดร้องของสัตว์หน้าขนที่พรานแปะพบร้องลั่น
โฮก...
นั่นไงเจอให้เข้าแล้วพรานแปะร้องเสียงหลง
โฮก!!
มันร้องใหญ่เลย ทำไมไม่มีใครยิงเหน๋อร้องเสริม
เอ..ยังไงๆอยู่นาเจ้าเคิ้งร้องทัก
เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่าสิงห์กระวนกระวาย
ไม่ต้องรอแล้ว ไปดูกันเลยดีกว่า
เผื่อมันสองคนเป็นอะไรขึ้นมา จะได้ช่วยทันสิ้นเสียงพรานโส่ยสรุป ทุกคนก็รีบปี่ไปที่ซุ้มข่อยนั้นอย่างระมัดระวังตัว ท่ามกลางเสียงกรรโชก ของเจ้าหมีควายตัวนั้น ที่ร้องแหกปากประปนไปกับเสียงหมาเห่า
ทั้งหมดรีบรุดไปที่เกิดเหตุด้วยใจระทึก เพราะไม่สามารถคาดเดาได้ว่า เหตุการณ์เบื้องหน้าจะเป็นเช่นไร รวมทั้งพรานเบและพรานพร ที่พากันมายังจุดเกิดเหตุก่อน ก็ดูเหมือนว่าจะเงียบเสียงไปจนเป็นมีพิรุธ ทำให้คนที่รอท่าทีอยู่ข้างหลัง กระวนกระวายใจ จนยืนอยู่ไม่ติด ยิ่งใกล้มากเท่าไหร่ เสียงขู่ของหมีควายตัวนั้นก็ดังชัดเจนขึ้นทุกขณะ เสียง โฮก ของเสียงขู่ และเสียงเห่ากรรโชค ของหมาทั้งสองตัวก็ดังลั่นไปทั่ว จนในที่สุดทั้งหมดก็บุกตะลุยมาถึงที่เกิดเหตุจนได้
เหนือขึ้นไปบนปลายของจอมปลวก ที่มีซุ้มข่อยขึ้นบดบังหนาทึบ หมีควายตัวใหญ่ขึ้นไปขดตัวกลมอยู่บนนั้น ท่ามกลางหมาทั้งสองตัวที่พากันวิ่งวนเห่าอยู่รอบๆ บางครั้งพวกมันก็ทำท่าเหมือนจะตะกุยขึ้นไปเสียให้ได้ แต่เพราะจอมปลวกขนาดใหญ่ มีความสูงชัน ซึ่งมีลักษณะยอดที่แหลมยาว ทำให้มันไม่สามารถตะลุยบุกขึ้นไปได้ เพราะทั้งสองตัวลื่นไถลลงมาเสียก่อน แต่ที่หน้าแปลกใจที่สุดก็คือ สองพรานกะเหรี่ยงต่างยืนดูกันเฉยๆ โดยไม่คิดแม้แต่จะยกปืนขึ้นเล็ง ส่วนไอ้หมียักษ์ตัวนั้น ก็ได้แต่ร้อง ขู่ โฮกๆ อยู่เช่นนั้น ไม่กล้าไต่ลงมา เพราะมันเอง ก็คงจะกลัวหมาทั้งสองตัวที่พากันเห่าอยู่ข้างล่างเช่นกัน
โอ้โห !
หมีตัวเบ้อเร่อสิงห์อุทานลั่น เมื่อเห็นร่างยักษ์ของหมีควายตัวนั้น แต่แทนที่คนอื่นๆจะตื่นเต้นแบบสิงห์ ตรงกันข้าม พวกกะเหรี่ยงทั้งหลายที่พากันวิ่งหูตาเหลือก ต่างพากันหัวเราะ
ปุดโถ่!
คิดว่าใครที่ไหน ฮ่าๆพรานโส่ย พูดพลางหัวเราะ
โธ่! ไอ้ห่ าเอ๊ย!!
มึ งนี้เอง ไอ้ง่อย!พรานแปะโพล่งออกมาเสียงดังลั่น
อ้าว? รู้จักกันด้วยรึสิงห์ร้องถาม พรานแปะที่ตอนนี้ทำท่า แยกเขี้ยวแยกฟันอยู่ใกล้ๆ และสิงห์เองก็เพิ่งจะมาสังเกตเห็น ขาข้างหนึ่งของไอ้หมีควายตัวนั้นได้ถนัดตา สมแล้วที่มันถูกเรียกว่า ไอ้ง่อย เพราะขาข้างที่เห็นมีสภาพหงิกงอไม่ได้รูป ดูพิกลพิการไม่สมบูรณ์ เหมือนหมีตัวอื่นๆ ซึ่งอาจจะเกิดจากความพิการมาตั้งแต่เกิด
ก็เออสิว่ะ!
ไอ้ห่ า ทำกูเสียเส้นหมด ไอ้ฉิ บหายไม่ด่าเปล่า พรานแปะก็ก้มลงไปหยิบท่อนไม้ ขนาดพอเหมาะมือได้ท่อนหนึ่ง จากนั้นก็ไม่พูดพล่ามทำเพลง เพราะแกบรรเลงปาไปที่หมีควายตัวนั้นแบบไม่ต้องเล็ง ดัง ผลัก
โอย..ขำฉิ บหายเลยวะ ก๊ากๆเจ้าเคิ้งลงไปนอนขำชักดิ้นชักงออยู่กับพื้น อย่างไม่กลัวว่าเสื้อผ้าจะเปรอะเปื้อน
ฮีโธ่ กระตายตื่นตูมเจ้าพุ่มได้ที ขี่แพะไล่
ไอ้ห่ า ใครจะมาทันดูว่ะ!
เห็นเป็นหมี ข้าก็วิ่งอ้าวแล้วพรานแปะทำเสียงแหวใส่เจ้าพุ่ม
ฮ่าๆ เอ๊า! ไอ้แปะปืนเอ็งพรานพรหัวเราะ พลางส่งปืนลูกซองคู่กายให้พรานแปะ
ดีแล้วที่มันเป็นไอ้ง่อย
ถ้าไม่ใช่ป่านนี้เอ็งหนังหัวเอ็งเปิดไปแล้วไอ้แปะพรานเบร้องบอก พลางหันไปหัวเราะเสียงกึกกักอยู่ในลำคอ
ไอ้สันขวานเอ๊ย!
มันน่ายัดลูกโดดใส่สักเม็ดสองเม็ดพรานแปะด่าลั่น พลางรับปืนที่พรานพรส่งให้อย่างฉุนเฉียว
เอายังไงกับมันดีสิงห์หันไปร้องถาม
ปล่อยมันไปเถอะ
พิกลพิการแบบนั้น ข้ายิงมันไม่ลงหรอกว่ะ อีกอย่างข้าก็เห็นมันมานาน สงสารมันพรานโส่ยร้องบอก และดูเหมือนว่าทุกคนในคณะก็พลอยเห็นด้วยไปกับพรานเฒ่า รวมทั้งพรานแปะก็เห็นด้วย ถึงแม้จะเจ็บแค้นไอ้หมีง่อยตัวนั้นขนาดไหน ที่ทำให้เสียหน้าก็ตาม และเท่าที่ชายหนุ่มยืนดูพฤติกรรม ของเจ้าหมีควายตัวนั้น ก็ไม่มีวี่แววของความดุร้าย หรือแสดงท่าทีคุกคามทำร้ายมนุษย์เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับแสดงอาการหวาดกลัวเสียมากกว่า ไอ้เสียงที่ร้อง โฮกๆ แบบนั้น ก็คงเพราะเจ้าหมาสองตัวที่พากันเห่ากันให้เกรียว ซึ่งตอนนี้เจ้าสองตัวก็ยังไม่เลิกเห่า ยิ่งเห็นเจ้านายมาเยอะแยะแบบนี้ยิ่งแสดงความฮึกเหิม พากันปีนป่ายโชว์เจ้านายกันยกใหญ่
ดูมัน สงสัยจะกลัวขนาดหนัก
ขี้ เยี่ยวราด หมดเหน๋อร้องเสริม พลางยืนมองไอ้หมีควายตัวนั้นอย่างสมเพช เวทนา
วู้! เสียเวล่ำ เวลา
กลับไปกินข้าวกินปลากันดีกว่า จะต้องรีบไปกันไม่ใช่รึพรานแปะที่ยังไม่หายหัวเสีย โพล่งออกมาแก้เขิน
*****เนื้อเรื่องยังดำเนินต่อไป ขบวนท่องไพรจะพบเจอกับสิ่งต่างๆอีกหรือไม่? โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในบทต่อไป!!*****
ผิดพลาด หรือตกหล่อน ประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ภาพที่ 2พรานแปะ ในชุดตอกทอย
ภาพที่ 3พรานแปะ กำลังตีลูกทอย
ภาพที่ 4ต้องใช้ทุกส่วนของร่างกาย ตั้งแต่ หัวยันเท้า
ภาพที่ 5ลำบากเหนื่อยยากขนาดไหน แต่ผลตอบแทนที่ได้มา ก็เพียงพอแล้วกับการดำเนินวิถีชีวิต ของคนบ้านป่า