สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 22 ธ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 6 จบบท : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 11 - [6 ก.ย. 55, 11:34] ดู: 2,820 - [22 ธ.ค. 67, 08:04] โหวต: 7
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 6 จบบท
หนุ่มธุดงค์ไพร (711 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
21 พ.ย. 54, 08:08
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 6 จบบท
ภาพที่ 1
บทที่ 8

ตอนที่ 6 จบบท

“พลับพลึง!”ชายหนุ่มอุทานลั่น

“เด็กผู้หญิงคนนั้น คือคุณนี่เอง”

“โธ่..!”ชายหนุ่มร้องบอกออกมาอย่างอาลัย ระคนสงสารจนบอกกับตัวเองไม่ถูก

“ครอบครัว และคนที่คุณรัก ต้องมีอันเป็นไป เพราะการกระทำของมนุษย์อย่างผม”ชายหนุ่มกล่าวออกมา ด้วยความรู้สึกสำนึกผิด แต่ไม่ทันที่ชายหนุ่มจะพูดขึ้นมาอีก เสียงหวานใสของใครคนหนึ่งก็แว่วขึ้นมาทางเบื้องหลัง

“ท่านมิได้ทำการณ์ใดๆผิดดอก”

“มันคือ วิบากกรรมของเราเอง” หญิงสาวในชุดสไบเฉียง กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ก่อนที่หล่อนจะค่อยๆย่างกายออกมาจากเงามืดของต้นตะเคียนยักษ์

“คุณพลับพลึง!”

“นี่คุณจริงๆหรือนี่”ชายหนุ่มร้องลั่น หลังจากหันมาดูที่มาของเสียง แทนคำตอบว่าใช่ หญิงสาวก้มศีรษะลงช้าๆ

“ใช่คุณจริงๆด้วย”

“ผมดีใจเหลือเกิน ที่ผมได้พบกับคุณอีก”สิงห์กล่าวออกมาด้วยความตื้นตัน จนชายหนุ่มอยากจะเข้าไปสัมผัสกายของหล่อน ไม่ทันที่มือของเขาจะสัมผัสกาย เขาก็ต้องชะงักความคิดหยุดไว้แค่นั้น เพราะกลัวว่า ภาพที่เห็นจะเป็นเพียงหมอกควัน หรือภาพลวงตา และกลัวว่าเธอจะแปลสภาพเปลี่ยนไป เหมือนกับฉากที่ผ่านๆมา แต่สิ่งที่ไม่คาดคิดก็บังเกิดขึ้น เมื่อหญิงสาวเอื้อมมือข้างหนึ่ง เข้ามาจับมือของชายหนุ่ม จนเขาถึงกับตกตะลึง

“นะ..นะ นี้ ผมไม่ได้ฝันไปใช่มั๊ย?”ชายหนุ่มละล่ำละลัก พลางเอื้อมมือ ออกมากุมมือของหญิงสาวไว้แน่น

“เราเอง ท่านจำมิผิดดอก”หญิงสาวกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา แต่ซ่อนสีหน้าและแววตาไม่สู้จะสบายใจนัก เพราะชายหนุ่มกุมมือของหล่อนไว้แน่น เพราะความดีใจจึงทำให้สิงห์ลืมตัวไปชั่วขณะ เมื่อเห็นเช่นนั้นชายหนุ่มจึงรีบปล่อยมือของเขาออก ซึ่งภายในใจของเขาไม่อยากจะปล่อยเลย

“ขอโทษด้วยครับ ผมดีใจที่ได้พบคุณ จนลืมตัวไปหน่อย”

“แล้วเรื่องมันเป็นยังไงมายังไงครับ”

“ผมถึงได้เห็นภาพที่โหดร้ายเช่นนี้”ชายหนุ่มกล่าวออกไปด้วยความสงสัย

“ภาพนิมิต ที่ท่านได้ประสบเมื่อครู่นี้ เป็นภาพอดีตที่โหดร้ายของเรา”

“มันเป็นภาพแห่งความโหดร้าย”

“ที่เราเองก็ไม่สามารถ จะลบเลือนความทรงจำนี้ได้เลย”หญิงสาวกล่าว

“แล้วทำไม ผมถึงมองเห็นภาพเหล่านั้นด้วยครับ?”

“เหมือนคุณพลับพลึง ต้องการจะสื่อสารอะไรบางอย่างกับผม”

“...”หญิงสาวไม่กล่าวถ้อยความอันใดตอบ นอกจากแววตาที่ซ่อนความโศกเศร้าเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่า ชายหนุ่มจะมองเห็นแววตาคู่นั้น

“ถึงคุณจะไม่บอกผม ผมก็พอจะทราบครับ”

“คุณคงอยากให้ผมเห็น ภาพเหตุการณ์เหล่านั้น”

“ผมทราบดีครับ ว่าคุณคงจะสะเทือนใจกับเรื่องราวที่ผ่านมา”ชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยน

“ผมสงสารบุคคลเหล่านั้น จนพูดไม่ออกจริงๆครับ”

“มันคงเป็นกรรมเก่าของพวกเรา ที่สร้างไว้เมื่อครั้งภูมิชาติก่อน”

“ครั้งนี้ พบนี้ คงถึงเวลาที่จะต้องชดใช้กรรม”หล่อนกล่าว

“ไม่ใช่หรอกครับ”ชายหนุ่มแย้ง

“พวกผมมากกว่า ที่ไปก่อร่างสร้างบาปกับพวกคุณไว้”

“บุคคลที่ควรจะมาไถ่บาป ควรจะเป็นมนุษย์อย่างพวกผมมากกว่าครับ”สิงห์ตอบออกมาจากใจจริง

“ถ้าไม่เป็นเพราะเขื่อนนั่น สัมปทานการทำไม้ก็คงไม่มี”

“ป่าไม้ก็คงไม่เหี่ยนเตียนแบบนี้”

“เพราะความเจริญ และความก้าวหน้า จึงมองข้ามสิ่งเหล่านั้นไป”

“คงอีกไม่นานหรอกครับ ที่พวกผมคงต้องชดใช้กรรม ที่เคยก่อไว้กับพวกคุณ”

“และผมก็พร้อมที่จะชดใช้กรรมนั้น”ชายหนุ่มกล่าวออกมาด้วยความสำนึกผิด

“เหตุไฉน ท่านจึงจะมารับผลกรรมนั้น โดยที่ท่านเองไม่ได้ก่อ”

“ความพยาบาท มันไม่แตกต่างไปจากกระแสน้ำที่เชี่ยวกราดดอกท่านสิงห์”กล่าวจบ หญิงสาวก็เอื้อมมือมาจับแขนของชายหนุ่ม เหมือนเป็นการเตือนสติ พร้องกล่าวต่อมาว่า

“มันเป็นลิขิต และชะตาชีวิต ที่เราจะต้องเผชิญ”

“ไม่มีใคร หรือสิ่งมีชีวิต อื่นใด หลีกหนีจากบ่วงกรรมเหล่านี้ไปได้ดอก”

“ขอให้ท่านจงอย่าได้วิตกกังวล อันใดเลยกับเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว”หญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึง กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม

“ท่านจงมองเป็นเพียงสายน้ำ ที่ไหลไปแล้วไม่มีวันกลับ” ประโยคสุดท้าย ทำให้สิงห์ถึงกับสะอึก เป็นไปได้หรือกับการให้อภัยในความสูญเสียครั้งยิ่งใหญ่ของหล่อน เป็นไปได้หรือที่หล่อนจะใจกว้างขนาดนี้ ถ้าเรื่องราวที่โหดร้ายเช่นนี้ เกิดขึ้นกับเราและครอบครัวของเราบ้างล่ะ อยากจะถามใจตัวเองเสียจริงๆว่า เราจะใจกว้างพอจะให้อภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้น แบบหล่อนคนนี้ได้หรือเปล่า

“คุณไม่โกรธ หรือเจ็บแค้นบ้างเลยหรือครับ?”

“ที่พวกมนุษย์อย่างผม สร้างความเจ็บปวดทั้งกายและใจ ให้กับคุณ”แทนคำตอบของชายหนุ่ม หญิงสาวส่ายหน้า ช้าๆ พลางพูดต่อขึ้นมาว่า

“เราบอกท่านแล้ว”

“ว่าเรามิได้คิดผูกใจเจ็บ หรือคิดแค้นใดๆ กับบุคคลเหล่านั้น”

“เพราะมันมิได้ก่อประโยชน์อันใดให้เกิดขึ้นเลย นอกจากความสูญเสีย”หญิงสาวพูดจบก็ลดมือจากแขนของชายหนุ่ม พลางหมุนกายไปจับจ้องที่ราวป่า ซึ่งตอนนี้มืดทะมึน

“อย่างน้อยๆ คุณก็น่าจะสั่งสอน หรือให้บทเรียนแกพวกเขาบ้างนะครับ”

“หรือจะลงโทษผมก็ได้ ผมยินดี”ชายหนุ่มพูดจบ พลางก้าวเท้าตามหล่อนไปหยุดยืนอยู่ด้านข้างเธอคนนั้น

“ตั้งแต่ผมรับรู้มา ธรรมชาติ ไม่เคยคิดร้ายต่อมนุษย์เลย”

“มีแต่ให้คุณ”

“แต่พวกมนุษย์แบบผมนี้ล่ะ ที่คิดร้ายหวังแต่จะกอบโกยจากธรรมชาติ”ชายหนุ่มกล่าวออกไปอย่างคนสิ้นหวัง

“เราเองก็ไม่เข้าใจพวกท่านเช่นกัน”

“ในเมื่อธรรมชาติให้คุณคุณอนันต์เยี่ยงนี้แล้ว ไฉนเลยพวกท่านถึงตอบแทนธรรมชาติเยี่ยงนี้”หญิงสาวเอ่ยขึ้นพร้อมกับแหงนหน้าขึ้นมองดวงดาวอย่างปราศจากความหมาย พลางพูดขึ้นมาอีกว่า

“มันไม่ต่างอันใด กับบุตรที่คิดร้ายต่อบุพการี”

“มิต้องรอให้ ป่าเขาลำเนาไพรหมดไปจากธรณีนี้ ดอกหรือ?”

“พวกท่านถึงจะสำนึก ต่อผลของการกระทำ”หญิงสาวพูด พลางหันหน้ามามองชายหนุ่ม

“คงไม่ต้องรอ ให้ถึงวันนั้นหรอกครับ คุณพลับพลึง”ชายหนุ่มร้องตอบ พลางส่ายหัว

“ทุกวันนี้ ธรรมชาติก็ให้บทเรียนพวกผม อย่างสมเหตุสมผลที่สุดแล้ว”

“หรือถ้ารอให้ถึงวันที่คุณว่าจริงๆ”

“ก็คงไม่มีมนุษย์อย่างพวกผม บนโลกใบนี้อีกแล้ว”ชายหนุ่มตอบ

          ท่ามกลางแสงดาวที่สว่างสุกใส แข่งกับแสงอัมไพขาวนวลของพระจันทร์ครึ่งเสี้ยว แสงจันทร์สว่าง ตัดกับเงาของเมฆลางๆที่ลอยเข้ามาใกล้ ลมดึกเงียบสงัด ทำให้บรรยากาศดูเงียบสงบ นานๆครั้งถึงจะแว่วเสียง รองไนและแมลงไพรยามค่ำคืนกรีดปีกเคล้ากับเสียงน้ำไหลระรินริก สายลมยามดึกพัดมาอีกครั้ง แต่ครั้งนี้มันหอบเอากลิ่นหอมเย็นของดอกไม้ป่าติดมาด้วย กลิ่นที่คุ้นเคย ที่ใครก็แล้วแต่ถ้าได้สัมผัสก็ไม่มีวันที่จะลืมเลือน กองไฟกองน้อยที่ส่องแสงเพียงริบหรี่ ช่วยสร้างบรรยากาศที่แสนโรแมนติก

          ภายใต้แสงไฟและแสงจันทร์ที่สว่างวอมแวมนั้น ถึงแม้ว่าแสงสว่างจะมีอยู่ไม่มากนัก แต่ความขาวนวลของร่างกายและผิวพรรณของสตรีนางนั้น ทำให้มองเห็นภาพของหญิงสาว ยืนโดดเด่นอยู่ตรงหน้าอย่างชัดเจน ตลอดทั่วทั้งเรือนร่างและอณูของหล่อน ไม่มีสาวงามคนไหนเลยแม้แต่คนเดียว ที่ชายหนุ่มเคยพบเห็นมา จะสวยงามเหมือนกับเธอผู้นี้ งามจนชายหนุ่มไม่สามารถห้ามใจ ที่จะแอบมองเรือนร่างของหล่อนเสียมิได้

          ชายหนุ่มบอกกับตัวเองไม่ถูกว่า ณ เวลานี้เขาคิดเช่นไรกับหล่อน แต่ก็ยอมรับสารภาพว่า ตั้งแต่แวบแรกที่เห็นเธอคนนั้น เพียงครั้งแรก ชายหนุ่มก็รู้สึกหลงรักหล่อนเข้าเสียแล้ว หัวใจที่เต้นตุ้บๆต่อมๆ ไม่เป็นจังหวะ ทุกครั้งที่อยู่ใกล้หล่อน ก็อธิบายไม่ได้ว่าเกิดจากสาเหตุอะไร ยิ่งได้สัมผัสกลิ่นกายของเธอแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มจนบอกไม่ถูก จะเป็นไปได้หรือ ที่เขาจะแหกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ จะเป็นความจริงหรือความฝันก็ตาม ชายหนุ่มบอกกับตัวเองได้ว่า ถึงแม้มันเป็นแค่ความฝัน เขาก็มีความสุขที่ได้อยู่ใกล้ชิดหล่อน และยินดีที่จะอยู่ในห้วงแห่งความฝันนี้ แม้ไม่ได้ตื่นขึ้นมาอีกเลย ขณะที่ชายหนุ่มกำลังเคลิบเคลิ้มอยู่นั้น เสียงหวานใสของหล่อนก็แทรกขึ้นมาทำลายจิตนาการของเขา

“อาจจะเป็นเยี่ยงนั้น”หญิงสาวเอ่ยขึ้นทำลายความเงียบที่ครอบงำชายหนุ่มอยู่ชั่วขณะ สิงห์เองก็เพิ่งจะได้สติรีบบ่ายสายตาไปทางอื่น

“บุคคลเหล่านั้น ได้ชดใช้ผลกรรมตามรูปแบบที่เคยก่อไว้แล้ว”

“มันเป็นผลกรรมที่เราทั้งสองฝ่ายสร้างร่วมกันมาเมื่อครั้งเก่าก่อน”

“โปรดอย่าได้วิตกอันใดเลย”

“เรื่องราวร้ายๆมันได้ผ่านเลยไปจนหมดสิ้นแล้ว”หญิงสาวกล่าวออกมาพร้อมปรายยิ้มที่จริงใจบริสุทธิ์ ไร้มารยาแอบแฝง

“เราขออโหสิกรรมกับเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น”

“นอกจากจะงามทั้งกายแล้ว จิตใจของเธอช่างงามเหลือเกิน”มันเป็นความคิดของชายหนุ่ม ที่กลั่นออกมาจากจิตใจของเขา ถูกต้องแล้ว นอกจากหล่อนจะงามทั้งเรือน
ร่างและหน้าตา จิตใจของหล่อนที่ซ่อนอยู่ภายใน ยิ่งงามเหนือกว่าสิ่งที่กล่าวมาหลายร้อยเท่า

“ขอบคุณครับ คุณพลับพลึง”ชายหนุ่มพูดพลางก้มศีรษะให้หญิงสาว แสดงการขอบคุณ

“ผมดีใจครับ ที่คุณให้อภัยกับเรื่องที่ผ่านมา”

“คุณช่างมีจิตใจงามเหลือเกินครับ”ไม่พูดเปล่า ชายหนุ่มเอื้อมมือเข้าไปคว้ามือหญิงสาวขึ้นมากุมแน่น พลางพูดติดตลกเพิ่มอีกว่า

“นอกจากจะสวยแล้ว ยังใจดีอีกต่างหาก”

“สวยๆแบบนี้ มีแฟนหรือยังน๊า...”พูดพลางก็ใช้มืออีกข้างที่เหลือ เกาท้ายทอยตัวเองแกรกๆ แก้เขิน แต่ดูเหมือนว่าหญิงสาวจะไม่เข้าใจความหมายในสิ่งที่สิงห์พูด

“..?”

“ท่านเอ่ยถ้อยความอันใด เรามิเข้าใจความหมายของท่านดอก?”หญิงสาวตอบ พลางทำหน้างงเล็กน้อย ซึ่งชายหนุ่มก็ไม่คิดจะอธิบายความหมายด้วยเช่นกัน

“เอาะ...เอาะ...อ๋อ! ไม่มีอะไรหรอกครับ”

“ผมหมายถึง คุณพลับพลึงเป็นคนจิตใจดี ไม่คิดแค้นอะไรกับเรื่องที่ผ่านมา ประมาณนั้นล่ะครับ”ชายหนุ่มพูดจบ พลางก้มหน้าเป่าลมฟู่ ออกมาอย่างโล่งอก พร้อมกับรีบปล่อยมือที่กุมแน่นนั้นออก

“เฮ้อ!! เกือบไปแล้วเรา อยู่ดีๆไม่ว่าดี คิดพิเรน จะไปจีบนางไม้นางตะเคียนเสียแล้ว เดี๋ยวแม่จับหักคอล่ะยุ่งเลย”มันเป็นความคิดภายในใจของชายหนุ่ม ซึ่งมันแอบซ่อนความรู้สึกนี้ไว้ โดยไม่กล้าที่จะแพร่งพราย แต่ในส่วนลึกของจิตใจตะโกนบอกกับตัวเองว่า ก็หล่อนทั้งน่ารัก และสวยขนาดนี้ ถึงจะโดนจับหักคอก็ยอม

“ผมเห็นใจคุณนะครับ”

“ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คุณคงจะเหงาและเคว้งคว้างน่าดู”สิงห์เปลี่ยนเรื่องคุย หญิงสาวก้มหน้าเล็กน้อย แทนคำตอบว่า ใช่ พลางตอบกลับมาว่า

“เราชินกับการอยู่อย่างโดดเดี่ยวเสียแล้ว”

“ก็มีแต่ท่านเพียงผู้เดียว ที่ช่วยทำให้เรา ห่างหายจากความเหงาและเปล่าเปลี่ยวลงไปได้”หล่อนที่มีนามว่า พลับพลึง กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มที่จริงใจ แต่ฝ่ายตรงข้ามที่ได้ยิน กลับแสดงสีหน้าเศร้า พร้อมกับฝืนยิ้มแล้วพูดต่อมาว่า

“ถ้าเราสามารถพบกันได้ตลอดเวลาก็คงดีไม่น้อย”

“ไม่ใช่เพียงความฝัน หรือสถานที่แบบนี้”ชายหนุ่มกล่าว พลางหลบสายตาจากหญิงสาว แล้วเงียบไปชั่วครู่หนึ่ง

“...”

“ผม...”ชายหนุ่มหยุดถ้อยคำที่จะเอ่ย ไว้เพียงเท่านั้น เหมือนจะชั่งใจคิดอะไรสักอย่าง จนหญิงสาวร้องทัก

“ท่านมีเหตุอันใด ก็จงบอกเรามาเถิด”

“โปรดอย่าได้เกรงอันใดเราอีกเลย”หญิงสาวกล่าวพร้อมรอยยิ้ม

“ถ้าผมกลับออกจากป่าไปแล้ว”

“ผมกลัวว่า เราจะไม่ได้พบกันอีก”ชายหนุ่มสารภาพความในใจ

“มันจะเป็นไปได้มั้ยครับ เมื่อผมออกจากป่าแห่งนี้ไปแล้ว”

“ผมและคุณยังสามารถพบกันได้อีก”ชายหนุ่มร้องถาม

“...”หญิงสาวเงียบไปชั่วครู่ ก่อนที่จะตอบว่า

“เราตอบท่านมิได้ดอก”

“ว่าการณ์นั้นจะเป็นเยี่ยงไร”หญิงสาวตอบ ถึงแม้หล่อนจะตีหน้าราบเรียบปกติ แต่แววตาของหล่อนดูเศร้าสลดอย่างเห็นได้ชัด

“พอจะมีวิธี หรือหนทางแก้ไขอะไรบ้าง ที่จะช่วยให้เราได้พบกันอีก”

“บอกตามตรง ผมไม่อยากจากคุณไปแบบนี้เลย”สิงห์ร้องบอก

“ข้อนั้น เราตอบท่านไปแล้ว”

“ส่วนการณ์ที่เราและท่านจะได้พบกันอีก....”หญิงสาวหยุดถ้อยคำไว้เช่นนั้น ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นมาอีกว่า

“คงต้องขึ้นอยู่กับวาสนาของเราทั้งสอง ว่าเคยสร้างร่วมกรรมกันมา มากน้อยเพียงใด”

“ถึงกระนั้น ถ้าท่านจากป่าดงพงไพรแห่งนี้ไป แล้วไม่สามารถติดต่อกับเราได้”

“เรา...ก็พอใจแล้ว ที่ได้พบกับท่านได้เพียงเท่านี้”หญิงสาวตอบ พลางฝืนยิ้มให้ชายหนุ่ม

“เพลานี้ ก็จวนจะได้เวลาของเราแล้ว”

“ที่เราจะต้องลาจากท่านไปอีกครา”หญิงสาวกล่าวออกมา พลางก้าวเท้าถอยห่างจากชายหนุ่มไปช้าๆ ความรู้สึกที่เศร้าหมองอยู่ก่อนแล้ว ทำให้ชายหนุ่มถึงกับใจหายวาบ เวลาที่ล่วงเลยไป ไวจนตัวเองตั้งตัวไม่ทัน ทุกครั้งที่ผ่านมาก่อนจากกัน ยังไม่ทำให้เขารู้สึกใจหายเหมือนครั้งนี้มาก่อน ภาพที่หล่อนกำลังจะจากไป ทำให้ตัวเองรู้สึกสะเทือนใจจนบอกไม่ถูก มันแตกต่างไปจากทุกครั้ง ที่หล่อนมักจะฝากรอยยิ้มไว้เป็นที่ระลึกก่อนจาก แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนครั้งที่ผ่านมา หรือว่า ความรู้สึกที่มีต่อเธอผู้นั้นของเราได้เปลี่ยนไปแล้ว ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลจิตดลใจ ให้เขาเกิดความกล้าบ้าบิ่น ในชั่วเสี้ยววินาทีนั้นเอง ชายหนุ่มคว้าข้อมือของหญิงสาวไว้ ก่อนที่จะดึงกายของหล่อนเขามาสวมกอดจนแน่น

“ผมสัญญา!”

“ผมสัญญาครับคุณพลับพลึง ว่าผมจะทำทุกวิถีทาง เพื่อกลับมาหาคุณ”

“ถึงมันจะยากเย็นขนาดไหนก็ตาม”

“หรือไม่ก็...”ชายหนุ่มเว้นวรรค แล้วกล่าวต่อมาว่า

“จนกว่า ผมจะไม่มีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้แล้ว!”ชายหนุ่มกล่าววาจาออกมาหนักแน่น เหมือนกาลเวลาจะหยุดนิ่งไปชั่วขณะ ราวกับสวรรค์จะเห็นอกเห็นใจบุคคลทั้งสอง
ไม่มีคำตอบใดๆจากหญิงสาวที่อยู่ภายใต้อ้อมกอดของชายหนุ่ม มีเพียงอาการสั่นสะท้านของหล่อนที่เกิดจากการสะอื้นไห้เท่านั้น ไม่นาน หยาดน้ำตาของหล่อน ก็ไหลพรากออกมาอาบแก้มทั้งสองข้าง ที่ตอนนี้เปรอะไปด้วยรอยยิ้มด้วยความปิติใจ

“ท่านช่างมีน้ำใจกับเรายิ่งนัก”

“จนเรามิอาจจะตอบแทนสิ่งใดแก่ท่านได้”หญิงสาวกล่าวออกมา พลางเงยหน้าขึ้นมาสบตาชายหนุ่ม

“คุณไม่ต้องตอบแทนอะไรผมหรอกครับ”

“ในเมื่อคุณมีน้ำใจให้ผมขนาดนี้ เรื่องแค่นี้ทำไม ผมถึงจะทำให้คุณบ้างไม่ได้”ชายหนุ่มตอบ พลางใช้หลังมือบรรจง ปาดเช็ดคราบน้ำตาให้หญิงสาวอย่างแผ่วเบา ซึ่งหล่อนเองก็ดูเหมือนว่าจะเต็มใจให้เขาทำเช่นนั้น

“เราขอขอบใจท่านมาก”

“ที่มอบจิตที่เป็นมิตรแก่เรา”หญิงสาวพูดจบ ก็ขยับถอนกายออกจากอ้อมกอดของชายหนุ่ม ซึ่งเขาเองก็ไม่คิดฝืนหรือรั้งเธอไว้

“ผมก็ต้องขอบคุณ คุณพลับพลึงเช่นกันครับ”

“ที่ทำให้ผมรู้สึกดี และคุณเองก็เป็นมิตรที่ดีที่สุดของผมคนหนึ่ง”ชายหนุ่มตอบ พลางก้มศีรษะให้หญิงสาวเล็กน้อย เพื่อแสดงความเคารพ

“บัดนี้ คงได้เพลาของเราแล้ว”

“ถึงเพลา ที่เราต้องกล่าวคำอำลาท่าน”หญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึง ย่อกายลงเล็กน้อย เหมือนอาการถอนสายบัวทำความเคารพตอบชายหนุ่ม พร้อมกับสีหน้าและแววตาที่สดใสกว่าครั้งก่อน ดวงตากลมโตของหล่อน ส่องความเป็นประกายดูแช่มชื่น ซึ่งผสานเข้ากันกับรอยยิ้มที่จริงใจบริสุทธิ์ จนปรากฏรอยบุ๋มของลักยิ้มบริเวณแก้มทั้งสองข้างยิ่งเพิ่มมนต์ขลัง ให้ชวนมองยิ่งไปอีก ภาพนี้ล่ะที่ชายหนุ่มปรารถนา อยากที่จะพบเห็น ภาพนี้ล่ะที่ตรึงตราตรึงใจจนยากที่ลืมเลือน

“เชิญครับ”

“ราตรีสวัสดิ์ พรุ่งนี้ผมจะมาพบคุณอีก”ชายหนุ่มกล่าว พลางผายมือข้างหนึ่งเบือนไปทางต้นตะเคียนยักษ์ ที่ตอนนี้ยืนต้นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า หญิงสาวยิ้มตอบ แล้วพูดขึ้นมาอีกว่า

“ขอให้นิทราสวัสดิ์ จงมีแด่ท่านเช่นกัน”หญิงสาวกล่าวออกมา ก่อนที่ร่างของหล่อนจะค่อยๆจางหายไป

          ความเงียบสงบเข้ามาครอบงำชายหนุ่มอีกครั้ง จิตใจที่กำลังว้าวุ่นอยู่ตอนนี้ ดูท่าทางจะสับสนจนบอกไม่ถูก ความรู้สึกวูบวาบใจหาย เมื่อเห็นหล่อนจากไป ราวกับว่าเธอจะไม่กลับมาพบอีก ทำให้รู้สึกกระวนกระวายใจไปหมด นี่เราเป็นอะไรไปแล้ว ความรู้สึกเช่นนี้มันคืออะไรกันแน่ หรือว่า ศรรักของกามเทพตนใด เกิดพิเรน แผงศรเข้ามาปักอยู่กลางอกของเขา เมื่อคิดเช่นนั้น แววตาที่ซ่อนความเศร้าก็ปรากฏ มันคงจะเป็นไปไม่ได้ ในเมื่อเราและเธอผู้นั้น อยู่คนละพบภูมิชาติ เรานั้นเป็นแค่มนุษย์ธรรมดาสามัญ จะเคียงคู่ครองรักกับหล่อน ซึ่งเปรียบเสมือนทวยเทพที่คอยปกป้องรักษาราวไพร ดูไปแล้วมันก็ผิดแปลกจากธรรมชาติ ของความเป็นจริงโดยสิ้นเชิง ถ้าเกิดบุคคลทั้งสองจะคิดครองรักขึ้นมาจริงๆ มันก็คงจะเป็นความรักที่ดูพิลึกพิลั่นที่สุดเท่าที่เคยพบมา แต่สำหรับชายหนุ่ม มันอาจมีข้อยกเว้น ในเมื่อความรักที่ก่อตัวขึ้นนี้ ไม่ได้ก่อความเดือดร้อนให้กับใคร ถึงแม้จะดูพิลึกในความคิดของผู้อื่น สำหรับสิงห์แล้ว ไม่ว่าเรื่องนี้มันจะเป็นเช่นไร เพราะความรักมันท่วมท้นจนจุกอกแบบนี้ นี้หรือที่เขาเรียกกันว่า ความรักไม่มีพรมแดน

“เฮ้อ..”

“นี่เราคิดบ้าอะไรไปเนี้ย”ชายหนุ่มพึมพำออกมาเบาๆ หลังจากถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

“ตกลงผมเกิดปิ๊งคุณเข้าแล้วหรือนี่”

“ช่วยไม่ได้นี่นา อยากเกิดมาสวยทำไมล่ะ”ชายหนุ่มพูดติดตลก พลางมองไปที่ต้นตะเคียนยักษ์ต้นนั้น ก่อนที่จะเดินเข้าไปทรุดกายลงนอนใช้หัวหนุนบนพูรากของต้นตะเคียน ที่งอกโผล่ล้ำออกมาเหนือพื้นดินต่างหมอน รากตะเคียนแลดูแข็งกระด้าง แต่ความรู้สึกของชายหนุ่มไม่ได้เป็นเช่นนั้น เพราะมันนุ่มนวล ราวกับได้นอนหนุนตักของสตรีผู้ที่ตนโหยหาปรารถนามาเป็นคู่ครอง

          กลิ่นหอมจางๆลอยปะปนมาตามสายลมเอื่อย ที่พัดผ่านใบไม้ให้พลิ้วไหวไปมาช้าๆ ทำให้ใบไม้แห้งใบหนึ่งบิดหลุดจากขั้ว ม้วนตลบตกลงมากลางสายน้ำ ที่ต้อนนี้แว่วเสียงน้ำไหลรินระริกอยู่ริมห้วย โดยมีหริ่งหรีดรองไนช่วยขับกล่อมไพรในยามราตรี ที่ชายห้วยนั้นเอง หิ่งห้อยตัวน้อยบินวนเขามาใกล้ เหมือนจะมาสำรวจชายหนุ่มซึ่งเปรียบเสมือนสิ่งแปลกปลอม ก่อนที่มันจะค่อยๆบินสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยหมู่ดาวน้อยใหญ่ ชายหนุ่มจ้องมองแสงเรืองๆของหิ่งห้อยตัวนั้นไปจนสุดตา ก่อนที่มันจะบินหายลับไปในหมู่ดาว พร้อมกับม่านเปลือกตาของเขาจะค่อยๆปิดลง...

*****เรื่องราวต่อจากนี้จะดำเนินต่อไปเช่นไร คณะของสิงห์ทั้งแปดคนจะพบอะไรต่อจากนี้ โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในบทต่อไป*****

ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผม หนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 6 จบบท
ภาพที่ 2
กลางหุบเขา ที่ใดที่หนึ่ง ของอีกฟากฝั่งเขาสก
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 6 จบบท
ภาพที่ 3
เจ้าพะเปรียว นอนหมกขี้เถ้าแก้หนาว
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 6 จบบท
ภาพที่ 4
ตาเหน๋อ โชว์ฝีมือผัดผักกูด  น้าๆ เห็น ครก มั๊ยครับ(ใกล้ๆถังน้ำ) ครกกระบอกไม้ไผ่ แบบนั้นล่ะครับ ที่ผมว่าไว้ในนิยาย เผื่อน้าท่านใดนึกไม่ออก
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 8 ตอนที่ 6 จบบท
ภาพที่ 5
ผัดผักกูดน้ำมันหอย ไม่มีหนู ไม่มีไก่
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024
siamfishing.com/content/view.php?cat=article&nid=55092