สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 21 ธ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 1 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 21 - [8 ม.ค. 56, 19:13] ดู: 4,251 - [21 ธ.ค. 67, 01:44] โหวต: 12
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 1
หนุ่มธุดงค์ไพร (711 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
31 ส.ค. 54, 13:22
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 1
ภาพที่ 1
บทที่ 7

ตอนที่ 1

          ราตรีกาลที่อยู่ครอบงำมาเมื่อไม่นานมานี้ บัดนี้คงถึงเวลาที่จะต้องลาลับจากไป หมู่นกกานานาชนิด ที่พากันหลับใหลในรวงรัง พอท้องฟ้าเริ่มสาง พวกมันก็พากันเริงร่าท่องเที่ยวออกหากินไปในไพรกว้าง ตรงกันข้ามกับสัตว์ป่าที่ออกหากินในยามราตรี พอฟ้าสางพวกมันก็หาที่บังไพรเตรียมหลับนอนเอาแรง เพื่อรอเวลาออกหากินในราตรีต่อไป คงไม่แตกต่างจากมนุษย์ที่ก็ต้องดิ้นรนหาเลี้ยงชีพไปวันๆเหมือนกัน ทำงานทั้งเช้า เย็น กลางคืน หนุนเวียนพลัดเปลี่ยนกันไป เป็นกะ คนไหนทำงานกะเช้า กลางคืนก็นอนหลับเอาแรง คนไหนทำงานตอนกลางคืน ตอนเช้าก็นอนเอาแรง ดูไปแล้วมนุษย์กับสัตว์ก็ไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่นัก จะแตกต่างกันตรงที่สัตว์มันออกหากินด้วยตัวของมันเองเป็นอิสระ ไม่ได้เป็นขี้ข้าใครเหมือนมนุษย์อย่างเรา

          ละอองหมอกในยามเช้า แตกเป็นฝอยละเอียดราวกับฝุ่นแป้ง แลดูขาวโพลนไปทั้งผืนป่า ยิ่งบางช่วงที่อยู่ห่างออกไปเท่าไหร่ ยิ่งมองอะไรไม่เห็นเลย นอกจากเงาตะคุ่มๆดูเลือนลางเท่านั้น อากาศที่ชื้นไปด้วยละอองหมอกเช่นนี้ จึงทำให้บริเวณยอดใบของต้นไม้ ดูชื้นแฉะไปด้วยหยดน้ำค้าง ที่เกิดจากการรวมตัวของละอองหมอก แต่ก็น่าประหลาดใจ เพียงแค่หยดน้ำ หยดเล็กๆที่เกิดจากน้ำค้างเหล่านั้น จะกลับกลายเป็นสายน้ำในลำห้วยได้อย่างน่าพิศวง คงจะจริงอย่างที่เขาว่า ป่าคือน้ำ น้ำคือป่า ทั้งสองอย่างนี้ต้องอยู่เคียงคู่กันเสมอ จะขาดสิ่งใดสิ่งหนึ่งไปไม่ได้ ถ้าไม่มีป่า น้ำก็ไม่มี หรือถ้าไม่มีน้ำ ป่าก็จะไม่มีเช่นกัน สองสิ่งนี้จึงแยกจากกันเสียมิได้

          สูงขึ้นไปบนยอดของต้นตะแบกใหญ่ หยดน้ำค้างที่เกาะติดตามก้านใบ หลังจากถูกหล่อรวมกันเป็นหยดน้ำหยดใหญ่ ก็ทิ้งตัวตกลงมาเบื้องล่างที่ต่ำกว่า เพราะต้านทานแรงดึงดูดของพื้นโลกต่อไปไว้ไม่ไหว แต่แทนที่หยดน้ำนั้นจะตกลงบนพื้นที่เต็มไปด้วยใบไม้แห้งและยอดหญ้า หรือตามสุมทุมพุ่มไม้ อย่างที่หยดน้ำค้างหยดอื่นๆได้ตกลงไปก่อนหน้านั้นแล้ว โดยบังเอิญมันกลับตกลงบนใบหน้าของชายหนุ่ม ที่ตอนนี้ยังนอนขดอยู่บนห้าง หยดน้ำค้างหยดแล้วหยดเล่าที่ตกลงกระทบใบหน้าของเขา ซึ่งขณะนี้ ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น แต่พอโดนไปหลายๆหยดเข้าก็ทนไม่ไหว

          ชายหนุ่มลืมตาขึ้นอย่างงัวเงีย ท่ามกลางสายหมอก และน้ำค้างที่เกาะจนชื้นแฉะไปทั่วบริเวณ แม้กระทั่งถุงนอนที่เขาใช้ห่อหุ้มร่างกาย ก็ยังชื้นราวกับถูกละอองฝน โชคยังดีที่เขายังมีเสื้อแจ็คเก็ตสวมใส่อยู่อีกชั้น มันจึงช่วยให้เขาอบอุ่นขึ้นมาบ้าง แต่ก็ยังอดแปลกใจกับพรานเบไม่ได้ ที่แกมีเพียงผ้าขาวม้าเพียงผืนเดียวก็สามารถอยู่ได้ทั้งคืน ถ้าเป็นเขาคงหนีไม่พ้นปอดบวม หรือไม่ก็เป็นไข้หนาวจับสั่นอยู่บนห้างแน่ๆ

          ขณะที่พรานหนุ่มยกแขนขึ้นเพื่อจะปาดเช็ดหยดน้ำค้างบนใบหน้าของเขานั้นเอง มีอะไรบางอย่างตกลงมาบนถุงนอนของเขา สิ่งนั้น เขาเห็นมันเพียงแวบเดียวก็รู้ว่ามันคือ ดอกช้างกระ กล้วยไม้ป่าที่ตัวเขาเองคุ้นเคยกับมันเป็นอย่างดี จะด้วยว่ามันตกมาจากยอดไม้หรือไม่ ก็ไม่อาจทราบได้ เพราะเมื่อเงยหน้าขึ้นไปมองรอบๆ ก็มองไม่เห็นต้นช้างกระสักต้น เพราะบริเวณที่มาขัดห้างไว้ ไม่มีต้นไม้ใหญ่เลย นอกจากต้นตะแบกใหญ่ที่ตัวเองนั่งหัวโด่อยู่นี่ ซึ่งมันก็ไม่มีกล้วยไม้ป่าเช่นกัน หรืออาจจะเป็นไปได้ว่า บริเวณหน้าผาหินนั้น อาจจะมี แต่เมื่อพยายามสอดส่องสายตาไปแล้ว มองหาเท่าไหร่ก็ไม่เจอ นอกจากเฟิร์นข้าหลวงและต้นมะยมผา ที่ขึ้นแซมห่างๆกัน ซึ่งก็ไม่มีวี่แววของต้นช้างกระสักต้น เห็นแต่กอกล้วยไม้ป่าจำพวกหวายไม่กี่ก่อ

          ชายหนุ่มยกดอกกล้วยไม้ดอกเล็กๆดอกนั้น ขึ้นมาพิจารณา แต่เมื่อพลิกไปมาอยู่ในมือได้ไม่นาน ความรู้สึกตื่นเต้นระคนพิศวง ก็บังเกิดขึ้นกับเขาอย่างฉับพลัน ความรู้สึกบางอย่างทำให้เขานึกอะไรขึ้นมาได้ ถ้าจำมันไม่ผิด ดอกช้างกระดอกเล็กดอกนี้นี่เอง ที่หล่อนคนนั้นได้ส่งให้เขาเป็นที่ระลึกก่อนจากกัน  ของเมื่อคืนที่ผ่านมา แต่มันก็เป็นเพียงความฝันลมๆแล้งๆของเขาเอง ที่เกิดขึ้นจากจินตนาการ ซึ่งมันสมจริงเหมือนกับว่าเขาได้ไปอยู่ ณ สถานที่แห่งนั้น หรือมันจะเป็นไปได้หรือไม่ อาจจะเป็นการถอดจิตถอดวิญญาณของเขา โดยที่ร่างกายของเขายังอยู่ที่นี่ เหมือนกับละครในทีวี มันก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะตอนนี้และเวลานี้ มันคือชีวิตจริง

“ตื่นแล้วรึสิงห์”เสียงร้องเรียกมาจากเบื้องล่าง ทำให้สิงห์หยุดชะงักในความคิด ฟุ้งซ่าน ไปชั่วขณะ

“ครับ”สิงห์ร้องตอบออกมาสั้นๆ ก่อนจะบรรจงหยอดดอกช้างกระดอกนั้นลงไปในกระเป๋าเสื้อของเขา

“แล้วน้าเบ ตื่นนานแล้วเหรอครับ”ชายหนุ่มร้องถาม พูดจบก็นั่งบิดกายไปมาอย่างเมื่อยขบ

“สักพักแล้วล่ะ”พรานนำทางร้องตอบ พูดจบก็ลากซากเก้งมาผูกขาเข้ากับเถาวัลย์

“เอ็งตื่นก็ดีแล้ว จะได้รีบกลับไปที่แค้มป์กัน”พรานชำนาญไพรร้องตอบ

          สิงห์หลังจากใช้น้ำในกระติกล้างหน้าล้างตาเรียบร้อยดีแล้ว ก็จัดแจงเก็บสิ่งของและสัมภาระต่างๆ หลังจากมะรุมมะตุ้มอยู่กับกองสัมภาระบนห้างอยู่ไม่นาน ก็ใช้เถาวัลย์เส้นเดิม ที่พรานเบใช้ชักรอกเมื่อวาน นำมาผูกสัมภาระ แล้วค่อยๆหย่อนสิ่งของเหล่านั้นลงมา โดยมีพรานเบคอยรอรับสัมภาระอยู่เบื้องล่าง เพียงไม่กี่ครั้งสัมภาระต่างๆก็ถูกลำเลียงลงมาจากห้างจนหมด จากนั้นชายหนุ่มก็ค่อยๆไต่ลงมาตามเถาวัลย์และลำต้นของตะแบกใหญ่ พร้อมๆกับปืนคู่กายของเขา ที่ถูกสะพายหลังติดตัวมาด้วย กว่าจะลงมาถึงพื้นดินเบื้องล่างได้ ก็ใช้เวลาอยู่พอสมควร เพราะต้องคอยระวังความลื่นของเถาวัลย์ที่เหยียบ ซึ่งตอนนี้แฉะไปด้วยน้ำค้าง

“ตัวใหญ่ดีเหมือนกันนิน้าเบ”สิงห์ร้องบอก หลังจากลงไปดูซากเก้ง

“เก้งหม้อ ก็ตัวขนาดนี้ล่ะ ไม่เหมือนเก้งแดงตัวมันจะเล็กกว่า”พรานเบอธิบาย

“สงสัยได้แบกกันไหล่ลู่”สิงห์ร้องตอบ

“เอ็งไม่ต้องแบกหรอก ข้าแบกเอง เอ็งเอาปืนของข้าไปแบกอีกกระบอกก็แล้วกัน”พรานเบพูดจบก็ยกซากเก้งที่ถูกมัดข้าทั้งสองข้าง ขึ้นแบกบนบ่า สาเหตุที่ต้องมัดขาทั้งสองข้างของมัน เป็นเพราะความสะดวกในการแบก ถ้าไม่มัดให้เรียบร้อยขาเก้งทั้งสี่ขา ก็จะชี้โด่เด่ เวลาต้องเดินไปตามสุมทุมพุ่มไม้ จะทำให้เกะกะเสียเปล่าๆ

“ไม่มีปัญหาน้าเบ สบายมาก เราออกเดินทางกันเลยดีกว่า พวกเราทางโน่นคงจะดีใจกันยกใหญ่”สิงห์พูดจบก็ยกเป้สนามขึ้นสะพาย พร้อมๆกับปืนลูกซองยาวของพรานเบอีกกระบอกที่ไหล่ขวา ส่วนปืนคู่กายของเขาถูกสะพายไว้ทางไหล่ซ้าย

          การเดินทางในครั้งนี้ เป็นไปอย่างสะดวก เพราะด้วยปริมาณของสัมภาระที่แบกกลับมาไม่ทุลักทุเลเหมือนครั้งก่อน แต่ก็มีขลุกขลักบ้างเล็กน้อยเป็นบางช่วงไม่ถึงกับยากลำบากมากนัก โดยเฉพาะสิงห์ ถึงจะต้องแบกปืนลูกซองของพรานเบเพิ่มอีกกระบอก ซึ่งน้ำหนักก็ไม่ได้เบาอย่างที่คิด แต่อย่างน้อย มันก็ยังเบากว่าลูกห้างที่แบกมาเมื่อวานหลายเท่าตัว

          ดวงอาทิตย์ยังขึ้นไม่พ้นสันเขา ซึ่งทอดขวางเป็นทางยาวดูสูงทึบทะมึน ทำให้บริเวณนั้นยังถูกปกคลุมไปด้วยละอองหมอก และด้วยอิทธิพลนี้เอง จึงทำให้สภาพป่ารอบๆด้านดูชื้นแฉะไปทั่วทั้งบริเวณ แต่ก็มีข้อด้อยในเรื่องของการมองเห็นเส้นทาง ขนาดสิงห์ที่เดินตามอยู่ไม่ห่างพรานเบนัก ยังต้องคอยร้องเรียกเป็นระยะ เพราะมีอยู่บ่อยครั้ง ที่เดินไม่ทันพรานนำทาง ระยะห่างกันแค่ไม่ถึงห้าเมตร ก็มองไม่เห็นหลังพรานนำทางแล้ว โอกาสที่คนเดินตามมีสิทธิที่จะเดินหลงจึงมีสูง แต่ก็น่าแปลกใจที่พรานเบยังสามารถเดินนำฝ่าสายหมอกที่หนาทึบไปได้ โดยไม่หลงเส้นทางเลยแม้แต่น้อย

“ได้เสบียงมาตุนไว้แบบนี้ วันนี้คงได้ขึ้นเขาสก สินะน้าเบ” สิงห์ร้องถามพรานเบที่เดินนำอยู่เบื้องหน้า

“ข้าก็คิดแบบเอ็ง วันนี้สายๆคงได้เดินทางกันต่อ”พรานเบตอบ

“ถ้าข้าจำไม่ผิด ข้ามเขาสกไปอีกไม่เกินสองวัน คงถึงชายป่าดำ” พรานเบหยุดเดินแล้วหันมาบอกสิงห์

“ทีนี่ล่ะ เอ็งจะได้เห็นสักที ว่าป่าดำ ที่ข้าว่า มันใหญ่โตและกว้างใหญ่ขนาดไหน”พรานเบพูดจบก็นำซากเก้งที่แบกมาวางบนพื้น จากนั้นก็นั่งมวนยาเส้นที่ขอนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง

“พักดูดยาสักมวนก่อนวะ ไม่ต้องรีบร้อนข้ามเนินนี้ไปก็ถึงแค้มป์แล้ว”พรานเบพูดจบก็คาบบุหรี่ยาเส้นที่มวนเสร็จใหม่ๆ จากนั้นก็จุดไม้ขีดไฟไปจ่อที่ปลายอีกด้านหนึ่ง

          สิงห์เอกก็ไม่ปฏิเสธ เพราะบ่าทั้งสองข้างก็ชักจะเริ่มระบมแล้ว หลังจากปลดเครื่องหลังและปืนทั้งสองกระบอกออกมาวางพิงไว้เรียบร้อยดีแล้ว เขาก็งัดกระติดน้ำขึ้นมาดื่มอย่างกระหาย จากนั้นก็ส่งให้พรานนำทาง โดยไม่ได้คิดรังเกียจอะไรเลย พรานเบก็ไม่ปฏิเสธน้ำใจของสิงห์เช่นกัน รีบรับกระติกน้ำนั้นขึ้นมาดื่มเข้าไปอึกใหญ่

“ได้เนื้อได้หนังมาแบบนี้ ก็หมดห่วงเรื่องเสบียง”

“ดีไม่ดี ข้าอาจจะพาขึ้นเขาสกวันนี้เลย”พรานเบร้องบอก

“บนเขาสกมันไม่มีอะไรให้เรากินเลยหรือ?”พรานมือสมัครเล่นร้องถาม

“มี แต่คงจะหายากหน่อย ไม่เหมือนตามหุบหรือตามห้วย”

“กุ้ง หอย ปู ปลา ที่เคยจับกินกันได้ ถ้าขึ้นไปบนเขาสกแล้วก็อย่าได้คิด เพราะบนนั้นไม่มีน้ำเลย”พรานเบพูดจบก็สูบบุหรี่ยาเส้นจนควันโขมง

“แล้วเราจะเอาน้ำที่ไหนกินใช้ล่ะ น้าเบ”สิงห์ถามด้วยความกังวล รู้ดีแก่ใจว่า การหาแหล่งน้ำบนเขามันหายากแค่ไหน

“ถ้ากลัวว่าจะไม่มีจริงๆ คงต้องแบกน้ำขึ้นไปใช้ก่อน”พรานนำทางร้องตอบ

“เอาอะไรแบกไปล่ะ แกลอน เราก็มีอยู่ใบเดียว แถมเหล้าป่าของลุงโส่ยก็ยังเหลือเกือบครึ่ง”สิงห์ถาม

“จะไปยากอะไร ไม้ไผ่ออกเยอะแยะเต็มป่า เอ็งลืมไปแล้วรึ”พรานเบพูดจบก็โยนบุหรี่ยาเส้นลงพื้นแล้วใช้ปลายเท้าขยี้ปลายบุหรี่นั้นจนดับ ก่อนจะลุกขึ้นไปแบกซากเก้งขึ้นมาไว้บนบ่าเช่นเดิม โดยที่สิงห์เองก็ไม่ต้องบอกก็รู้ว่า การเดินทางได้เริ่มขึ้นอีกครั้งแล้ว

          บนเส้นทางที่ลาดต่ำลงไปทุกขณะ ซึ่งทอดยาวลงไปสู่ลำห้วยเบื้องล่าง ที่ตอนนี้ถูกบดบังด้วยป่าที่ขึ้นรกทึบ ถึงแม้ว่าจะมองไม่เห็นสายน้ำเบื้องหน้า  แต่ก็พอเดาได้ว่ามันอยู่ไม่ไกล เพราะแว่วกระแสเสียงของสายน้ำนั้น ชายทั้งสองพากันเดินไต่มาตามไหล่เขาชันอย่าทุลักทุเล เพราะความลื่นของดินที่ชื้นแฉะไปด้วยน้ำค้าง จึงต้องคอยระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่ถึงจะระวังตัวแค่ไหน สองพรานต่างวัยก็ยังพลาด แต่ละคนลื่นก้นกระแทกพื้นคนละทีสองที กว่าพรานเบจะพาลงมาที่ริมห้วยนั้นได้ก็เล่นเอาก้นระบม

          ตัดมาที่แค้มป์ อากาศช่วงเช้ามืดเช่นนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ามันหนาวทรมานคนแก่แค่ไหน พรานโส่ยตื่นขึ้นมาเติมฟืนสุมไฟ ตั้งแต่ไก่ป่าขันได้มีกี่ครั้ง  จนบริเวณแค้มป์สว่างโพรงไปหมด เปลวไฟลุกโชน ช่วยส่งไอความอุ่นให้กับชายชรา ที่ตอนนี้นั่งยองๆเอามือมาผิงข้างกองไฟ โดยยังมีโปงผ้าห่มคลุมตัวอยู่ นอกจากพรานชราจะได้รับไออุ่นของกองไฟแล้ว เจ้าพะเปรี้ยวและเจ้าพะบอง ก็พลอยได้รับอานิสงส์ไปด้วย หลังจากต้องนอนขดบนกองขี้เถ้ามานาน

“หนาวฉิ บหาย”พรานแปะบนงึมงำได้ไม่เท่าไหร่ ก็ลุกขึ้นมานั่งหัวเด่บนเปล

“ตื่นนานแล้วรึ ตาโส่ย”พรานแปะร้องถาม พูดจบก็ลุกขึ้นมานั่งผิงไฟข้างๆชายชรา

“ตั้งแต่ไก่ขันแล้ว”พรานชราร้องตอบ จากนั้นก็ซุนท่อนฟืนเข้าไปในกอง

“ไก่ป่าขันเรียกแต่เช้ามืดเลย ไม่รู้ว่ามันอยู่แถวไหน”พรานแปะพูดพลางมองไปยังทิศทางของเสียง

“อยู่ในหุบโน่นล่ะมั่ง?”พรานชราตอบ พลางชี้มือไปที่ชายป่า ที่ตอนนี้ยังมองอะไรไม่เห็น นอกจากเงาของต้นไม้สลัวๆ

“ถ้าเอ็งอยากรู้ เอ็งก็ออกไปด้อมดูสิ”พรานโส่ยแนะนำ
เสียงไก่ป่าขันแว่วมาอีกครั้ง ทำให้พรานแปะทนนั่งจับเจ่าต่อไปไม่ไหว จึงคว้าปืนลูกซองคู่กายที่พาดอิงไว้กับต้นไม้ ซึ่งตอนนี้น้ำค้างเกาะชุ่มไปหมด หลังจากใช้ผ้าขาวม้าถูเช็ดจนเรียบร้อย พรานแปะก็หักลำกล้องเพื่อเปลี่ยนลูกปืน จากลูกเบอร์ที่ภายในบรรจุลูกกระสุนเก้าเม็ด เป็นลูกปลายที่มีลูกกระสุนบรรจุอยู่ภายในไม่ต่ำกว่าหกสิบเม็ด เพื่อให้เหมาะกับสถานการณ์และเหยื่อที่ตนเองจะล่า ระยะเวลาไม่ถึงนาที เสียงหักลำกล้องกลับดัง กริ๊ก! ก็แว่วมาให้ได้ยิน กะเหรี่ยงหนุ่มหันมาคุยกับพรานชราอยู่สองสามประโยค ย่ามและปืนคู่กายก็ถูกสะพายไหล่เดินหายเข้าไปในดงทึบ

“ตื่นโว้ย!”พรานชราร้องเรียกเจ้าเคิ้งและเจ้าพุ่ม ที่นอนขดอยู่ในโปงผ้าห่ม แต่มันก็ไม่ได้ผลเพราะสองกะเหรี่ยงยังนอนไม่อยากจะตื่น

“บ๊ะ!ไอ้นิ”

“ผัวะ!!” พรานชรายัดลูกแปใส่ก้นสองกะเหรี่ยงอย่างบรรจงที่สุด และวิธีนี้มันได้ผล

“จะรีบไปไหนพ่อ! วู้!”เจ้าเคิ้งลูกชายบ่นอุบอิบ

“คนแก่ทำไมชอบตื่นแต่เช้าก็ไม่รุ? ดูๆฟ้ายังมืดอยู่เลย หนาวก็หนาว”เจ้าพุ่มได้ทีขอบ่นบ้าง

“ไอ้ฉิ บหายพวกนี้ นอนกันอยู่ได้ จะรอให้แดดมันแยงตูดพวกเอ็งก่อนใช่มั๊ยวะ”พรานเฒ่าตวาดจบ แกก็ทำท่าจะเดินไปยัดลูกแปอีกชุด แต่ใครจะโง่ให้โดนลูกแปฟรีๆอีกเล่า กว่าพรานเฒ่าจะง้างเท้าไปถึง สองหนุ่มก็พรวดพราดจากโปงผ้าห่มจนวงบาน พร้อมๆกับเสียงหัวเราะคิกคักอย่างชอบอกชอบใจ นอกจากสองกะเหรี่ยงที่พากันตื่นเพราะเสียงเอ็ดตะโรของพรานเฒ่าแล้ว พรานพรที่นอนอยู่บนเปลที่ผูกไว้ใกล้ๆกัน ก็พลอยต้องตื่นขึ้นมาด้วย เพราะทนนอนฟังพรานชราบ่นต่อไปไม่ไหว

“ยิ่งแก่ยิ่งขี้บ่นเว้ย ตาโส่ย”พรานพรร้องบอก ก่อนจะลุกขึ้นมานั่งผิงไฟข้างๆพรานเฒ่า

“ข้าล่ะเป็นห่วงไอ้สิงห์มันจริงๆ เมื่อคืนคงนอนหนาวเป็นลูกนก”พรานเฒ่าพูดพลาง ใช้ไม้เขี่ยกองไฟเล่นโดยปราศจากความหมาย

“แกไม่ต้องเป็นห่วงมันหรอก มีไอ้เบอยู่ด้วยทั้งคน ถุงนอนมันก็เอาไป ดีไม่ดีนอนอุ่นกว่าเราอีก”พรานพรร้องตอบ พูดจบก็หยิบซองยาเส้นจากกระเป๋าเสื้อออกมาม้วน

“ไอ้เหน๋อมันไปไหนล่ะ”พรานพรร้องถามพรานเฒ่า

“จะไปไหนได้ ก็นอนขดในเปลอยู่นั่น ไอ้ห่ านี้ก็อีกตัว ไม่เรียกไม่ลุก”พรานชราโพล่งออกมา พูดจบแกก็เดินไปเตะบริเวณส่วนที่น่าจะเป็นก้นของคนขี้เซาดัง ป๊าบ!

          ท้องฟ้าเมื่อครั้งไม่นานมานี้ซึ่งขมุกขมัวมองอะไรไม่ค่อยจะเห็น บัดนี้เริ่มจะมองเห็นบริเวณรอบที่พักได้สะดวกขึ้น เหล่าพรานป่าหลังจากตื่นนอนกันทุกคน ก็แบ่งงานกันทำ พรานพรกับเหน๋อช่วยกันเตรียมหุงข้าว ส่วนพรานโส่ยและกะเหรี่ยงหนุ่มทั้งสอง ช่วยกันทำปลาและกบที่หาได้มาเมื่อคืนที่ริมห้วย ซึ่งประมาณไม่ได้มากมายเหมือนเมื่อครั้งที่ผ่านมา แต่ขนาดมันกลับใหญ่ขึ้นเป็นเท่าตัว เพราะกะเหรี่ยงหนุ่มทั้งสองเลือกเอาเฉพาะขนาดตัวโตๆทั้งนั้น ถึงจะได้มาไม่มาก แต่มันก็พอเพียงแล้วสำหรับอาหารมื้อนี้

          ข้าวในหม้อสนามถูกขึ้นมาแขวนไว้บนราวเรียบร้อยแล้ว หลังจากนี้คงไม่ต้องทำอะไรนอนจากปล่อยให้เปลวไฟและความร้อนในกองฟืน ทำหน้าที่ของมันเอง เสร็จงานตรงนี้ แต่ก็ยังไม่หมดงานตรงนั้น พรานพรออกไปเดินเก็บยอดผักกูด ที่ขึ้นงามอยู่ดาษดื่นเผื่อเอาไว้ประกอบอาหารกิน เพียงไม่กี่นาทีก็ได้ยอดผักกูดงามๆมาสองกำใหญ่ แถมยังมียอดผักหนามอีกหลายสิบยอด แต่ละยอดอวบน่ากิน ส่วนเหน๋อก็ไม่ได้กินแรงคนอื่นๆ หลังจากรู้พิษสงของพรานชราแล้ว ก็ไปรื้อค้นกระปุกน้ำพริกแห้ง ที่พรานโส่ยเก็บเอาไว้ในถุงปุ๋ย เตรียมเอามาละลายน้ำมะขามเปียก ส่วนปลาบางส่วนที่ชำแหละแล้วก็นำมาขึ้นย่างกับไฟอ่อนๆ ยกเว้นกบทูดตัวโตๆอีกสองตัวที่ถูกพรานเฒ่าเผาแบบลวกๆเพื่อดับคาว เห็นสภาพแล้วพาลให้ไม่น่ากิน เพราะหลังจากโดนความร้อนไม่นานหนังของมันก็ดูตึงเห็นผ่านๆคิดว่าขึ้นอืด

“วันนี้จะทำอะไรกินดีตาโส่ย”พรานพรร้องถาม

“ข้าว่าจะแกงส้มปลาเวียนเสียหน่อย”

“เอ็งเก็บผักกูดมาก็ดีแล้ว ข้าจะได้เอามาแกงส้มเลย”พรานชราพูดจบก็นำไม้เสียบปลาเวียนขึ้นย่าง

“ปั่ง!”

“ไอ้แปะล่อไก่ป่าเข้าแล้วมั๊ยล่ะ”พรานชราหันไปบอกพรานพร

“แกก็ทำเป็นรู้ดีไปได้ ตาโส่ย”พรานพรตอบ พูดจบก็ยกหม้อสนามที่มีน้ำอยู่เต็มขึ้นตั้งบนเตา

“ก็ข้านี่ล่ะ เป็นคนบอกให้มันไปด้อมเมื่อเช้ามืด ตั้งแต่เอ็งยังไม่ตื่นแล้วไอ้พร”

          จริงอย่างพรานโส่ยว่า เพียงไม่นานหลังจากเสียงปืนลั่นขึ้น พรานแปะก็เดินหิ้วไก่ป่ามาสองตัว แต่ละตัวดูอ้วนพีกว่าที่ได้มา อาจเป็นเพราะบริเวณแหล่งหากินของมันอุดมสมบรูณ์กว่าป่าด้านล่างก็ได้ จึงทำให้ไก่ป่าที่ได้มาดูตัวโต

“เจอเป็นฝูงเลย แต่ได้มาแค่สอง”พรานแปะเดินยิ้มหลามาแต่ไกล

“เออดี จะได้เอามาย่างเกลือกิน”พรานพรร้องตอบ

“เอ๊า! เอ็งสองคนเอาไปช่วยกันทำ”พรานแปะพูดจบก็ส่งไก่ป่าทั้งสองตัวให้เคิ้งและพุ่ม ไก่ป่าโดนยิงมาใหม่ๆตัวยังอุ่นแบบนี้ ใช้เวลาไม่นานก็ถูกทอนขนออกมาอย่างง่ายดาย ขึ้นชื่อว่าสัตว์ปีกก็เหมือนกันหมดถ้าตายใหม่ๆจะถอนขนง่าย แต่ถ้าตายนานๆจนแข็งทื่อแล้วล่ะก็ ถอนขนทีหนังก็หลุดตามมาด้วย ใครจะว่าก็ว่าเถอะ ส่วนที่อร่อยที่สุดก็คือหนังนี้แหละ แต่ยังไม่ทันที่สองกะเหรี่ยงจะทำไก่ป่าเสร็จ หมาสองตัวที่ถูกผูกไว้ก็เห่าดังลั่น ทำให้ทุกคนหันไปมอง

          ร่างของชายทั้งสองที่หายไปทั้งคืน เดินฝ่าดงไม้ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ โดยมีร่างที่สูงใหญ่กว่าเดินนำ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่านั่นคือพรานเบ แต่จุดเด่นหรือจุดสนใจไม่ได้อยู่ที่ตัวพรานนำทาง แต่เป็นอะไรชนิดหนึ่งบนบ่าของเขานั้นเอง ที่มีขนสีน้ำตาลแดงตัวเขื่อง

“บ๊ะ เก้งหม้อ ตัวเบ้อเร่อ เลยเว้ย” พรานพรร้องลั่นอย่าดีใจ ไม่เพียงแต่พรานพรเท่านั้นที่ดีใจ เจ้าเคิ้งและเจ้าพุ่ม เมื่อเห็นว่าสิ่งที่พรานเบแบกมาคืออะไร ต่างพากันวิ่งกรูกันเข้าไปดู

“เอาๆ มาช่วยพี่ถือของหน่อย”สิงห์ร้องบอกสองกะเหรี่ยงที่พากันวิ่งล้อมหน้าล้อมหลังพรานเบ จนลืมคนที่เดินตามหลังมาอีกคน

“อ้าวแล้วนั่นใครล่อไก่ป่ามาอีกสองตัวล่ะ ใช่เสียงปืนตะกี้หรือเปล่า”พรานเบร้องถาม พูดจบก็ยกเก้งที่ตัวเองแบกมาจนไหล่ลู่ลงพื้น

“ข้าเองพี่เบ แหม มาคราวนี้โชคดีจริงๆ”พรานแปะร้องตอบ พูดจบก็ร้องเรียกพรานพรมาช่วยกันหิ้วขาเก้งคนละสองข้าง เพื่อเตรียมชำแหละที่ริมห้วยด้านล่าง

“ได้ทั้งไก่ป่า ได้ทั้งเก้ง จะทำอะไรกินดีมื้อนี้ ปลาเวียนกับกบสงสัยจะเป็นหมัน”เหน๋อร้องทัก

“ทำเก้งก่อนดีกว่าข้าว่า ไก่ป่าก็ย่างเกลือกินสักไม้ กบกับปลาเวียนก็ย่างเก็บเอาไว้กินมื้ออื่นก็ได้ ”พรานเบร้องตอบ

“แกงซงแกงส้ม ไม่ต้องทงไม่ต้องทำมันแล้วพ่อ น้ำพริกก็มีอยู่แล้วผักกูดก็มี หมกกินกับน้ำพริกก็ได้”เคิ้งร้องเสริม

          เก้งหม้อตัวเขื่องถูกชำแหละอย่างรวดเร็ว เกือบจะทุกส่วนของมันถูกนำมาใช้ประโยชน์ให้ได้มากที่สุด เหลือเพียงบางอย่างที่ต้องทิ้งไปเพราะทำอะไรกินไม่ได้ เนื้อสันในและขาทั้งสี่ข้าง ถูกแยกส่วนออกมาย่างลมควัน เพื่อจัดเก็บไว้เป็นเสบียง เครื่องในและกระดูกซี่โครง ถูกพรานเบสับเตรียมไว้ทำต้มเนื้อและผัดเผ็ด โดยเจ้าตัวบอกว่าจะโชว์ฝีมือให้สิงห์กิน ส่วนหนังก็ไม่ได้ทิ้งคว้าง พรานโส่ยใช้มีดขูดขนออกอย่างบรรจง จากนั้นก็ทาเกลือแล้วย่างรมควันเสียอย่างดี โดยให้เหตุผลว่าเอาไว้ย่างกินหรือไม่ก็ต้มแกงเอาไว้กินมื้ออื่น นอกนั้นก็จะเป็นกระดูกชิ้นใหญ่ๆและเครื่องในบางอย่างที่ไม่สามารถจัดเก็บไว้ได้ สิงห์และเหน๋อสองเกลอ ต่างช่วยกันรวบรวมแล้วย่างให้พอสุก โดยแยกกองไฟมาใหม่อีกกอง เพื่อเตรียมไว้ให้เจ้าพะเปรี้ยวและเจ้าพะบองแทะกิน

          เช่นเดียวกับไก่ป่าก็ถูกขึ้นย่างบนร้านย่างเนื้อที่ถูกทำขึ้นมาอย่างลวกๆ แต่ก็แข็งแรงทนทาน พรานเบหลังจากเตรียมเครื่องครัวเสร็จก็ร้องสั่งให้สองกะเหรี่ยงดง ไปหาขุดต้นและหัวกระวานอ่อนๆเพื่อเอาไว้ใส่ผัดเผ็ดเนื้อเก้ง ส่วนตัวแกเองนั่งโขลกพริกแกง เสียงครกทีทำจากกระบอกไม้ไผ่ดัง โป๊กๆ ก้องไปทั้งบริเวณ กลิ่นของเครื่องแกงหอมฉุยน่ากิน....


*****นิยายยังไม่จบเพียงเท่านี้ เหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร หรืออาหารมื้อเช้าจะเอร็ดอร่อยขนาดไหน ไม่อาจทราบได้ โปรติดตามหาความบันเทิงได้ต่อในตอนต่อไป*****


ผิดพลาดประการใด ผม หนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ และจะขอบคุณมากๆ หากท่านผู้อ่านตรวจพบคำผิด แล้วช่วยบอกทางผู้เขียน...
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 1
ภาพที่ 2
เจ้าพุ่มยิ้มตลอดเวลา
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 1
ภาพที่ 3
เจ้าเคิ้ง
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 1
ภาพที่ 4
ล่องไพร...
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 7 ตอนที่ 1
ภาพที่ 5
ที่เห็นขาวๆไม่ใช่ ปีกบนไก่นะครับ แต่มันคือ ขากบทูด/ธูป ทอดกระเทียมพริกไทย ส่วนตัวของกบเอาไปผัดเผ็ด ทอดกินแต่ขา
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024
siamfishing.com/content/view.php?cat=article&nid=51955