สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 22 ธ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 1 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 17 - [6 ม.ค. 56, 00:46] ดู: 3,466 - [18 ธ.ค. 67, 01:52] โหวต: 10
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 1
หนุ่มธุดงค์ไพร (711 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
25 ก.ค. 54, 14:43
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 1
ภาพที่ 1
บทที่ 6


ตอนที่ 6.1

          ไอแดดร้อนระอุ เต้นพลิ้วไหวไปมาบนด่านทางดินลูกรังรางๆ ทั้งสองข้างทางเต็มไปด้วยเถาหนามของหวายป่า และพุ่มเล็บเหยี่ยว ที่พันเกาะเกี่ยวกันเป็นกำแพงหนาทึบ ซึ่งครั้งหนึ่งเส้นทางนี้เคยเป็นทางด่านของช้างป่ามาก่อน แต่ก็คงเป็นรอยที่พวกมันยกโขลงกันมาหากินในป่าแถบนี้เมื่อหลายเดือนมาแล้ว นอกจากเถาหวายบางยอดที่ถูกดึงยอดมากินจนแหลกยับ ใกล้ๆกัน กอไผ่บางกอ ก็ถูกพวกมันดึงยอดจนหักลู่ไปเป็นทาง

          โดยการนำทางของพรานเบ ที่พาคณะทั้งหมดเดินไต่ไปตามสันเขาที่สูงชัน บางครั้งก็สูงเสียจนปวดขา บางตอนก็เดินลงเขาชัน จนต้องคอยจิกปลายเท้าจนเกร็งไปหมด บ่อยครั้งที่บางคนก็ลื่นไถลจนก้นจ้ำเบ้า เพราะความลื่นของพื้นดินลูกรังที่มีแต่หินดานก้อนเล็กๆ จนมาถึงก้นห้วยอย่างทุลักทุเล แต่ละคนก็เหงื่อโทรมกายไปตามๆกัน นอกจากจะเหนื่อยจากการเดินทางอันแสนจะวิบากแล้ว ทุกคนยังต้องคอยปัดแมลงนานาชนิด ที่มาคอยตอมกินเหงื่อจนน่ารำคาญ โดยเฉพาะพวกผึ้ง ทั้งผึ้งหวี่ ตัวเล็กๆ ไปจนถึง ผึ้งหลวงและผึ้งโพรง โดยเฉพาะผึ้งโพรง ซึ่งต้องคอยระวังพวกมั นเป็นพิเศษ เพราะเผลอเป็นไม่ได้ พวกมั นจะไต่เข้าไปในเสื้อผ้า เผลอไปปัดเข้าก็ต่อยเอา

“ร้อนจริงๆเว้ยวันนี้”พรานโส่ยร้องบ่น พูดจบก็ทิ้งถุงปุ๋ยที่ภายในมีสำภาระลงพื้นดังโครม

“พักกันสักหน่อยดีกว่าพวกเรา ไม่ไหวหาน้ำลูบเนื้อลูบตัวหน่อย รำคาญพวกผึ้งจริงๆ”สิงห์พูดจบก็ถอดเครื่องหลังที่สะพายออก รวมถึงปืนยาว .22 ก็ถูกปลดมาวางอิงไว้กับโคนต้นยอ

“พี่สิงห์ มียาหม่องติดมาบ้างหรือเปล่า”พุ่มร้องถามหายาหม่องจากสิงห์ เพราะเจ้าตัวโดนผึ้งต่อยไปหลายที

“มี อยู่ในกระเป๋ายานั้นล่ะ”สิงห์ร้องตอบมาจากริมห้วย ซึ่งตอนนี้ เหล่าพรานทั้งหลายต่างลงไปใช้น้ำล้างหน้าล้างตากันจนชื่นใจ โดยเฉพาะเจ้าเคิ้งถึงกับลงไปนั่งแช่น้ำในลำห้วยทั้งชุด

“ค่อยยังชั่วหน่อย เย็นสบายดีแท้”เจ้าเคิ้งร้องบอก ขณะนั่งแช่น้ำกลางลำห้วยอย่างสบายอารมณ์

“ตอนที่เราเดินกันบนเขา เห็นรอยช้างป่าเปรอะไปหมด หวังว่าคงไม่ไปเจอกันข้างหน้านะ”สิงห์พูดพลางยกน้ำในกระติกขึ้นดื่ม

“ข้าก็ตอบไม่ได้ว่าจะเจอมันหรือเปล่า แต่รอยมันนานหลายเดือนแล้ว ป่านนี้คงไปหากินไหนต่อไหน”พรานเบพูดจบก็สูบบุรี่ใบจากจนควันโขมง

“อย่าเจอกันเลยดีที่สุด ต่างคนต่างอยู่เถอะ เจ้าพระคู้ณ..”พรานชราร้องบอก พูดจบก็พนมมือไหว้ท่วมหัว

“แล้วแต่ดวงแล้วกันของแบบนี้”พรานพรพูดเสริมขึ้นมาอีกคน

“ว่าแต่ แถวนี้มันก็น่ามาตั้งแค้มป์นอนกันนะ น้ำท่าก็อุดมสมบูรณ์ดี”พรานมือใหม่พูดขึ้นมาลอยๆ จริงอย่างที่สิงห์ว่ามา บริเวณนี้ดูผ่านๆแล้ว ก็น่ามาตั้งแค้มป์พักนอนยิ่งนัก เพราะมีทั้งชัยภูมิ ที่เหมาะแก่การตั้งแค้มป์ เพราะดูราบเรียบไม่รกมากนัก รวมถึงลำห้วย ที่อยู่ไม่ห่างกัน นอกจากสายน้ำที่จะนำมาใช้สอยแล้ว ตลอดสองฝั่งลำห้วยยังเต็มไปด้วย ผักกูด และบอนป่า ที่พอจะนำมาประกอบอาหารได้ รวมถึงกล้วยป่าอีกหลายกอ ก็พอจะใช้สอยได้เช่นกัน แต่ก็ต้องเลือกๆหน่อย เพราะแต่ละกอมีร่องรอยช้างป่า กระชากยอดใบและลำต้น จนดูราบไปเป็นแถบๆ

“ข้าว่าเราไปหาที่นอนที่แก่งผักกูดกันดีกว่า อีกไม่ไกลก็น่าจะถึง”พรานชราร้องบอก พูดจบก็งัดหมากในย่ามมาเคี้ยวหยับๆ

“พี่ก็ว่าแบบตาโส่ย ไปหาที่นอนแถวแก่งผักกูดดีกว่าตรงนี้ตั้งแยะ”พรานแปะเสริมมาอีกคน หลังจากผลโหวตออกมาจากเหล่าพรานกะเหรี่ยง สิงห์ก็ยากนักที่จะปฏิเสธ เมื่อยกนาฬิกาขึ้นดู เวลาก็ชี้ไปที่ 15.48 น. คิดดูแล้วอย่างน้อยๆ ก็มีเวลาเดินอีกไม่ต่ำกว่า 2 ชั่วโมง เมื่อทุกคนมีความเห็นตรงกัน ขบวนท่องไพรก็ออกเดินทางอีกครั้ง

        พรานเบออกเดินนำทางอีกครั้ง หลังจากพาเดินไปตามสันเขาที่ร้อนระอุ ราวกับอยู่ในเตาอบ หรือไม่ก็ขุมนรกขุมไหนสักแห่ง แต่เมื่อคนนำทาง พาเดินมาอยู่ที่ก้นหุบเบื้องล่าง สภาพแวดล้อมและสภาพอากาศก็ดูผิดไปถนัดตา จากที่บนยอดเขาออกจะแห้งแล้ง เพราะไม่มีแหล่งน้ำและความชุ่มชื้นถึงจะเพิ่งผ่านฤดูฝนมาแล้วก็ตาม ต้นไม้ต้นไร่ก็ดูเหี่ยวเฉา แลดูไม่มีชีวิตชีวา แต่พอทั้งคณะลงมาเดินอยู่ก้นหุบ สภาพแวดล้อมก็กลับกลายมาเป็นป่าทึบอีกครั้ง รวมทั้งอากาศที่ร้อนขนาดเจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบองยังร้อง หงิ๋งๆ ก็กลับมาเย็นฉ่ำ ทำให้มีเรี่ยวแรงเดินอีกเป็นกอง เพราะบริเวณป่าเบื้องล่างมีความชุ่มฉ่ำมากกว่า

        ลำห้วยสายนั้น ไหลคดเคี้ยวไปตามตีนเขา บางครั้งก็ไหลแยกออกเป็นสองสาย บางตอนก็ไหลตกลงมาจากที่สูง กลายเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ และขนาดเล็ก ลดหลั่นกันมาเป็นชั้นๆดูสวยงามไปอีกแบบ และบางช่วงก็เป็นแอ่งลึก เหมือนมีใครเอารถขุดดิน มาขุดเอาไว้ เพราะเท่าที่ดูด้วยสายตา น่าจะลึกไม่ต่ำกว่าสองวา ภายในแอ่งน้ำที่ใสราวกับกระจกนั้น หมู่ปลาน้อยใหญ่ ว่ายวนกันเป็นกลุ่มๆ มองเห็นถนัด

        เลยจากแอ่งน้ำที่กว้างใหญ่กว่าที่ผ่านๆมา เหนือขึ้นไปก็เป็นลำห้วยที่แลดูตื้นเขิน แต่กว้างขวางร่วมสี่วา ซึ่งมีภูเขาขนาบทั้งซ้ายขวา ระดับน้ำที่ลึกที่สุดสูงไม่เกินตาตุ่ม แต่ก็น่าแปลกใจที่ระดับน้ำเพียงเท่านี้ ก็ยังมีปลานานาชนิดอาศัยอยู่ชุกชุม ครั้นเมื่อทั้งคณะเดินลุยผ่าน พวกมันก็พากันตื่นตกใจว่ายกระเจิดกระเจิง ไปคนละทิศคนละทาง ตัวไหนมีขนาดเล็กก็พอจะแทรกตัวไปตามกระแสน้ำที่ตื้นนั้นไปได้ ตัวไหนใหญ่หน่อยก็พยายามกระเสือกกระสนแถกตัวไปอย่างทุลักทุเล จนได้ยินเสียงลำตัวของมันกระแทกกับกรวดหินใต้น้ำดัง แพรดๆ อย่างถนัดหู

“บ๊ะ ปลาเวียนมันแยะดีโว้ย” พรานโส่ยร้องลั่น เมื่อเห็นฝูงปลาเวียนตัวเขื่อง พากันวายแถกตัวสวนน้ำไปหลายฝูง

“ปลาก้างก็มี”เคิ้งร้องมาอีกคน

“ฟันเก็บไว้ย่างเกลือกินเสียหน่อยดีกว่า”พุ่มเสนอความคิด พูดจบก็ใช้สันมีดเหน็บเคาะไปที่หัวปลาเวียนที่ว่ายไปซุกซอกหิน

“นั่นๆ ว่ายไปทางโน่นแล้ว”พรานแปะพูดจบก็ วิ่งไล่ฟันปลาเวียนจนน้ำบาน เห็นแล้วน่าสนุก

          นอกจากเหล่าปลานานาชนิด ที่พากันวายหนีกระเจิดกระเจิง ไม่เป็นขบวนแล้ว ทั้งสองฝั่งลำห้วยนั้น ยังอุดมไปด้วยไม้ล้มลุก จำพวก กล้วยป่า บอนป่า กระวาน ผักกูด และผักหนาม โดยเฉพาะต้นผักกูด มีมากเป็นพิเศษ ซึ่งแต่ละยอดอวบใหญ่น่ากินกว่าที่เคยเก็บมาจากป่าด้านล่าง นอกจากไม้ล้มลุกที่ขึ้นกันหนาแน่นแล้ว ยังมีไม้ยืนต้นขนาดใหญ่อย่าง ต้นยางนา ต้นยวน และต้นผึ้ง ที่ขึ้นเบียดกันจนไม้เล็กไม่น้อยใต้โคนต้นของมัน ไม่สามารถเจริญเติบโตได้เลย เพราะไม่มีโอกาสได้รับแสงอาทิตย์มาหล่อเลี้ยงยอดใบ  บางต้นก็แคะแกร็น บางต้นก็ยืนต้นแห้งตายก็มีให้เห็นอยู่มากมาย

          หลังจากทุกคนพากันไล่ฟันปลาเวียนและปลาก้าง จนได้ปลามาพอกิน พรานเบก็ร้องบอกให้เดินทางกันต่อ โดยเจ้าเคิ้งและเจ้าพุ่ม ได้ปลาเวียนและปลาก้างถือติดไปด้วยคนละพวง ปลาที่ได้มาตัวเขื่องๆทั้งนั้น เพราะเลือกที่จะฟันมากินโดยเฉพาะ ส่วนปลาเล็กปลาน้อยที่มีอยู่มากมาย ทางคณะตระเวนไพร ไม่คิดสนใจแม้แต่น้อย เพราะกลัวเสียเวลาไปเปล่าๆ ในเมื่อ ปลาย่างรมควัน และกบย่าง ที่พรานโส่ยทำไว้ ก็มีอีกหลายไม้ที่ยังไม่ได้ทำอะไรกิน

“เฮ้ย ไอ้เคิ้ง เอ็งถือพวงปลาดูบ้างสิว่ะ ดูซิ หลุดมาจากพวงเกือบหมดแล้ว”พุ่มที่เดินตามหลังร้องบอกเจ้าเคิ้งที่เดินแกว่งพวงปลา จนปลาเวียน หลุดจากพวงตกกระจัดกระจายเกลื่อน โดนเจ้าตัวไม่ได้ระแคะระคายอะไรเลย จะว่าด้วยน้ำหนักตัวของปลา หรืออาจจะเป็นส่วนหัวที่ถูกร้อยเหงือกเข้ากับเถาวัลย์ขนาดใหญ่ จึงทำให้ส่วนหัวที่แต่เดิมถูกตีจนแบะอยู่แล้ว ฉีดขาดหลุดจากพวงได้อย่างง่ายดาย

“อ้าว เฮ้ย! เหลือแต่หัว ฮ่าๆ”เจ้าเคิ้งหัวเราะชอบใจ หลังจากยกพวงปลาเวียนขึ้นดู ซึ่งตอนนี้เหลืออยู่ไม่กี่ตัว นอกนั้นตัวขาด หัวหลุด ไปหมดแล้ว

“เอาใส่ย่ามข้าไว้ก่อน”พรานโส่ยที่เดินอยู่ใกล้ๆ รับปลาเวียนที่พุ่มเดินเก็บ มาใส่ย่ามใบเก่าของแก นอกจากปลาเวียนและปลาก้างที่อยู่ในย่ามของแกแล้ว ข้างในนั้นยังมี หัวปลี ของกล้วยป่า ที่แกตัดไว้ อีก สองสามหัว แต่ละหัวใหญ่ไม่เกินฝ่ามือ

“รอยหมูป่าลงมาลุยไว้เป็นแปลงเลย”พรานเบพูดจบก็บุ้ยปากไปยังตำแหน่งกอกล้วยป่า ที่ตอนนี้บริเวณผิวดินโคนต้นแหลกยับไปเป็นแถบๆ

“รอยยังใหม่ๆเสียด้วยซิ”พรานพรพูดเสริมมาอีกคน หลังจากก้มลงไปพิจารณา

“สงสัยจะหมูฝูง รอยตีนไม่ค่อยใหญ่ ดูสิ ย่ำไว้ให้เปรอะไปหมด”พรานแปะพูดพลางชี้มือไล่ดูไปตามรอยตีนหมูป่า ที่เหยียบย่ำไว้ใหม่ๆ

        นอกจากรอยหมูฝูงที่ลงมาหากินบริเวณที่คณะเดินผ่านมาแล้ว ตามริมห้วยทั้งสองฝั่งที่เป็นแอ่งโคลน ยังมีร่องรอยของพวกมันบางตัว ลงไปนอนแช่ปลักก็มีให้เห็นอยู่บ่อยๆ รวมถึงตามต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ข้างปลักโคลนนั้น ก็มีรอยพวกมันเอาสีข้างมาถูเล่น แต่ละรอยสูงเกือบถึงขาอ่อน นอกจากหมูป่า ยังมีรอยถูของช้างป่าก็มีให้เห็น แต่ก็นานมาแล้วหลายเดือน  ซึ่งดูจากเศษโคลนแห้งกรังที่ติดบนลำต้นของต้นไม้ บอกได้ว่าเป็นช้างโทนขนาดใหญ่ เพราะรอยโคลนที่มันฝากไว้ สูงเลยหัว เห็นแล้วพาให้เสียวสันหลัง เพราะไม่รู้ว่าจะไปจ๊ะเอ๋ กับเจ้าของรอยนี้เมื่อไหร่ ขนาดยืนชูแขนวัดแล้วก็ยังไม่พ้น รวมถึงรอยตีนของมันก็ใหญ่ไม่ใช่เล่น หลังจากพิจารณาร่องรอยต่างๆเรียบร้อยแล้ว พรานเบก็พาทั้งคณะเดินทางต่อ

      อากาศเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพราะอยู่ในป่าทึบ ถ้าไม่ก้มดูนาฬิกา ก็ไม่รู้เลยว่าตอนนี้ เกือบจะ ห้าโมงเย็นแล้ว แต่ด้วยความทึบของป่า จึงดูว่าค่ำเร็วไปหน่อย พรานเบจึงให้คณะรีบเร่งในการเดินเข้าไปอีก จากที่เดินชมนกชมไม้ตั้งแต่ตอนต้นๆ ตอนนี้เปลี่ยนมาเดินจ้ำกันอย่างไม่คิดสนใจอะไรรอบตัวเลย ขนาดไก่ฟ้า ที่เจ้าพะเปรียวเห่าไล่ไปเกาะเด่นอยู่บนกอไผ่เห็นถนัดๆ พรานเบก็ไม่คิดที่จะยิงเก็บเอาไว้เป็นเสบียง เพียงแค่ยืนมองๆ แต่ไม่ถึงอึดใจก็พาเดินนำทางไปต่อ

        เส้นทางของด่านสัตว์ ตัดผ่านแนวป่าดูสับสนไปหมด บางช่วงก็เป็นแยกสลับไปมา แต่พรานชำนาญไพร อย่างพรานเบ ก็พาเดินตัดไปได้อย่างไม่ลังเล เพราะไม่ต้องคอยตัดกิ่งไม้และเถาหนามที่ขวางทาง คณะเดินทางจึงใช้เวลาไม่มากนักบนด่านทางเดินเส้นนี้ หลังจากพากันเดินลุยดงกระวานที่ขึ้นรกไปหมด ทุกคนก็มาโผล่บริเวณ ลานราบเรียบตอนหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากลำห้วยไม่มากนัก และแน่นอนมันเป็นลำห้วยสายเดียวกับที่คณะช่วยกันหาฟันปลาในระหว่างทาง

        นอกจากบริเวณที่พักที่ดูโล่งเตียนเป็นพิเศษแล้ว บริเวณกลางลานดินนั้น มีร่องรอยของกองไฟกองใหญ่ อีกมุมใกล้ๆกันก็มีเตาไฟ ที่มีหินก้อนใหญ่วางทิ้งไว้สามก้อน หรือที่เรียกกันว่า เตาสามเส้า ซึ่งตรงกลางเตานั้นมีกองขี้เถ้าอยู่กองใหญ่ ส่วนบริเวณที่มีต้นไม้เล็กๆขึ้นอยู่ประปลายรอบๆบริเวณ  แคร่ไม้สำหรับวางของก็ยังมีอยู่

“เมื่อสองอาทิตย์ก่อน ข้าก็มาตั้งแค้มป์ที่นี้กับไอ้พรมัน”พรานเบพูดจบก็หยิบใบไม้แห้งที่หล่นทับถมอยู่บนแคร่ออก จากนั้นก็ใช้มือขยับลูกแคร่ หรือร้านวางของ เพื่อตรวจความแข็งแรง เมื่อเห็นตรงไหนดูไม่เรียบร้อยก็แก้เถาวัลย์ที่ผูกลูกแคร่ออก แล้วผูกใหม่ให้แน่นหนา

“มานอนตรงนี้ก็ดีไปอย่าง ไม่ต้องเตรียมอะไรมากแบบเมื่อวาน”พรานพรร้องเสริมมาอีกคน พูดจบก็ถอดเป้ที่แบกมาออก

“เอ็งสองตัวไปช่วยกันหาฟืนเตรียมก่อไฟดีกว่า จะได้รีบหุงข้าวหุงปลา มืดค่ำจะลำบาก”พรานเฒ่าร้องบอก เจ้าพุ่มกับเจ้าเคิ้ง ที่ตอนนี้กำลังช่วยกันใช้กิ่งไม้ปัดกวาดบริเวณที่พัก

          ส่วนคนอื่นๆหลังจากจัดการกับเครื่องหลังที่สะพายออกมาวางแล้ว ก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือ อย่างไม่ดูดาย เหน๋อกับพรานแปะ ช่วยกันรื้อหม้อสนามและข้าวสารเตรียมหุงข้าว พรานโส่ยกับสิงห์ช่วยกันก่อไฟขึ้นกองใหญ่ ตรงตำแหน่งเดิมที่พรานเบเคยก่อไว้ รวมถึงกองไฟในเตาอีกกอง เพียงไม่กี่อึดใจ กองไฟกองใหญ่ก็ถูกก่อขึ้น จนบริเวณที่พักสว่างโพรงไปหมด

“แล้ววันนี้จะทำอะไรกินกันดีล่ะ”สิงห์ร้องถาม

“ข้าว่าจะแกงปลาแห้งใส่หัวปลีกินสักหม้อ”พ่อครัววัยชราร้องตอบ ขณะกำลังรื้อค้นเสบียงในกระสอบปุ๋ยใบเก่าของแก

“แค่นึกเห็นภาพก็หิวแล้ว”สิงห์พูดพลางหยิบท่อนฟืนที่ติดไฟนำมาใส่เตาสามเส้า

“อ้าว น้าเบไปหาเก็บผักกูดมาตั้งแต่ตอนไหน เผลอแป๊บเดียวเอง”สิงห์ร้องบอก ขณะเห็นพรานเบและพรานพรเดินถือยอดผักกูดมาคนละกำใหญ่

“แถวๆริมห้วยใกล้ๆนี้ล่ะ ผักกูดเยอะแยะ ไม่ต้องเดินหาไกล”พรานเบพูดจบก็วางยอดผักกูดสดๆลงบนผ้าใบที่ถูกปูแผ่ไว้แล้ว

“ชื่อสถานที่มันก็บอกในตัวแล้วเพื่อน”เหน๋อพูดเป็นปริศนา

“เอ็งพูดอะไรว่ะ สะทงสถานที่อะไร ไม่เข้าใจ”สิงห์ร้องตอบ พูดจบก็รับหม้อสนามมาแขวนบนราว

“ปัดโธ่...ก็ที่เอ็งจะมานอนอยู่นี้ เขาเรียกว่า แก่งผักกูด ชื่อมันก็บอกแล้วว่าแก่งผักกูด ผักกูดมันต้องเยอะอยู่แล้ว ฮ่าๆ”เหน๋อพูดจบก็หัวเราะชอบใจ

“เออว่ะ จริงของเอ็ง ผักกูดมันเยอะจริงๆ”สิงห์ร้องตอบ

          นอกจากแก่งผักกูดที่คณะทั้งหมดมาพักอาศัยบริเวณนี้แล้ว สถานที่ส่วนใหญ่ มักจะมีชื่อเรียกตามสภาพแวดล้อมนั้นๆ อย่างเช่น แก่งผักกูด ก็เพราะบริเวณนี้มีต้นผักกูดขึ้นเป็นจำนวนมาก จะว่าที่อื่นไม่มีก็ไม่ถูกนัก แต่เยอะและดกสู้บริเวณนี้ไม่ได้ รวมถึงลำห้วยที่น่าจะกว้างขวางกว่าที่อื่นและมีแก่งหินอยู่มากมาย ชื่อ แก่งผักกูด น่าจะเหมาะที่สุด ส่วนบริเวณที่พักเมื่อคืนก่อนมีชื่อเรียกว่า ช่องผาแคบ ก็เพราะถ้าใครจะผ่านไปอีกฟากก็ต้องเดินผ่านช่องหน้าผา ลักษณะเหมือนกำแพงที่กั้นขวางไว้ เหลือเพียงช่องกว้างไม่เกินวา ดูแล้วเหมือนประตูที่มีหน้าผาขนาบทั้งสองข้าง ถ้าไม่ผ่านทางนี้ไป ก็ต้องเดินปีนเขาเป็นลูกๆ คิดแล้วก็น่าชื่นชมกะเหรี่ยงดงพวกนี้ ที่เขาใจตั้งชื่อสถานที่นั้นๆ และคงไม่ต้องให้อธิบาย สถานที่อื่นๆที่ยังไม่ได้บอกมา เช่น ห้วยปลากั้ง แค่ชื่อก็ไม่ต้องอธิบายให้ยืดเยื้อแล้ว

“ผักกูดนี้เดี๋ยวเอาไว้หลามใส่กบย่างสักกำ ที่เหลือกินกับน้ำพริกก็น่าจะพอ”พรานแปะเสนอเมนูยั่วน้ำลาย

“เออ...ก็เข้าท่าดี”พรานพรเห็นด้วย

“เอ๊า! เอ็งสองคนได้ยินแล้วใช่มั๊ย ไป ไม่ต้องให้บอก”พรานโส่ยร้องบอกเจ้าเคิ้งและพุ่มที่ต้อนนี้เดินล้วงหอยล้วงปูอยู่ริมห้วย

“ไม่ต้องทะลึ่งไปไหนไกลล่ะ จะได้รีบทำ เดี๋ยวจะมืดค่ำเสียก่อน”

“ได้เลยพ่อ ฉันจะไปไหนไกล ก็ขึ้นเป็นดงอยู่นี่”เจ้าเคิ้งพูดจบก็เดิน ดุ่มๆไปที่โคนก่อไผ่ เพียงไม่กี่นาที ก็แบกไม้ไผ่ลำใหญ่มาคนละลำ

          เวลาผ่านไปไม่นานน้ำในหม้อที่เตรียมทำแกงหัวปลีก็เดือดพล่าน พริกแกงที่ถูกตำขึ้นมาหยาบๆถูกแบ่งออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเอาไว้ใส่แกงหัวปลี และอีกส่วนเอาไว้ทำหลามผักกูด กับข้าวทั้งสองอย่างถูกทำเกือบจะพร้อมๆกันโดยพ่อครัวเพียงคนเดียว หลังจากเติมเครื่องแกงลงไปในน้ำที่กำลังเดือดจนส่งกลิ่นหอมไปทั่ว พรานโส่ยก็เติมกะปิมอญลงไปอีก จนน้ำในหม้อข้นคลัก จากนั้นก็ร้องเร่งเอาหัวปลีที่พรานแปะนั่งซอยอยู่ นำมาเติมจนหม้อแทบล้น ต้องรออีกพักใหญ่กว่าหัวปลีสดจะสุกยุบลงเหลือแค่ครึ่งหม้อ หลังจากปรุงรสจนได้ที่ พรานเฒ่าก็ฉีกบิ ปลาแห้งที่แกรมควันไว้ไปอีกสองไม้ เพียงไม่นานแกงหัวปลีใส่ปลาแห้งรมควันก็สุกส่งกลิ่นหอมฉุย

          ถัดจากหม้อแกงหัวปลีใกล้ๆ กระบอกไม้ไผ่ขนาดเกือบเท่าขาอ่อน ที่มีน้ำแกงเดือดคลัก พรานโส่ยก็เทยอดผักกูดที่ถูกเด็ดเป็นท่อนๆลงไปจนเต็ม จากนั้นรออีกไม่นาน จนผักกูดในกระบอกยุบตัว ก็ฉีกกบย่างที่เหลือไว้จนหมด นอกจากแกงหัวปลีและหลามผักกูดแล้ว บนราวแขวนหม้อสนาม ที่ตอนนี้ข้าวที่อยู่ภายในจวนสุกได้ที่ ยังมีห่อใบตองขนาดใหญ่ ซึ่งภายในมีผักกูดอีกกำใหญ่ถูกคลุกเคล้าเกลือบางๆหมกอยู่อีกห่อ กับข้าวลูกป่าก็เป็นอันเสร็จแต่ก็ยังไม่จบ เพราะเหลืออีกอย่างที่ขาดเสียไม่ได้ก็คือน้ำพริก เพราะมีสำรองไว้แล้วตั้งแต่เมื่อเช้านี้ เพียงแค่เติมน้ำมะขามเปียกหรือลูกมะกอกป่าสุก เท่านี้ก็ได้น้ำพริกเผาป่าถ้วยใหญ่แล้ว

“นั่นน้าเบเตรียมไปไหนล่ะ”สิงห์ร้องถามพรานเบ ที่ตอนนี้กำลังงัดลูกปืนลูกซองออกมาเปลี่ยน

“ข้าว่าจะไปนั่งห้างเสียหน่อย”พรานเบหันมาตอบ พูดจบก็หยิบลูกปืนจากเป้ขึ้นมาเลือก

“แถวนี้มีลูกไม้ให้นั่งรึ?”สิงห์ถามต่อ แต่ไม่ทันที่คนถูกถามจะตอบ พรานพรก็ตอบแทนว่า

“มี ครั้งที่แล้วพี่ก็มากันสองคน สงสัยจะไปนั่งลูกมะขามป้อม งวดก่อนมามันยังไม่สุกดี”พรานพรพูดจบก็หยิบท่อนฟืนที่ติดไปมาจี้ที่ปลายบุหรี่ยาเส้นของแก

“น่าสนใจ แล้วจะไปกันตอนไหนล่ะน้าเบ”สิงห์พูดพลางช่วยพรานเฒ่ายกหม้อข้าวออกจากราวแขวน

“กะว่ากินข้าวเสร็จก็ไปแล้ว คงถึงห้างที่ข้าขัดไว้คงใกล้มืดพอดี แล้วนี่ก็โมงแล้วล่ะ”ประโยคสุดท้ายพรานเบบุ้ยปากมาที่นาฬิกาของสิงห์

“โอย..นี่ก็เกือบจะ6โมงเย็นแล้ว”

“แล้วน้าเบจะไปกับใครล่ะ พี่พรรึ”สิงห์ร้องถาม

“ข้าว่าจะหาส่องอีเห็นสักหน่อย ไปนั่งห้างกับไอ้เบทีไรไม่ได้ตัวทุกที”พรานพรพูดจบก็อัดยาเส้นแดงวาบ

“ดีเลย เอางี้ ครั้งนี้ขอผมไปเป็นเพื่อนน้าเบเอง”สิงห์พูดจบก็หันไปยิ้มให้พรานนำทาง

“เอ็งจะไปทรมานทำไมว่ะ อยู่หาปูหาปลากับข้าดีกว่า”พรานเฒ่าร้องบอก

“ลองดูลุงโส่ย ไม่ได้นั่งห้างกับน้าเบมานานแล้ว คืนนี้ของทรมานสักคืนจะเป็นไร มาๆจะมืดจะค่ำแล้วกินข้าวกินปลากันดีกว่า ไอ้เคิ้งอย่าลืมเอาข้าวกับเหล้าไปเซ่นเจ้าที่เขาล่ะ คืนนี้พี่จะล่อกระทิงมาให้เอ็งย่างกิน ฮ่าๆ”สิงห์โม้จบ ก็หัวเราะ

“ฮี่โธ่..จะเอามาจากไหนกระทงกระทิง ยิงกระจงมาให้ข้ากินให้ได้ก่อนเถอะไอ้สิงห์ ฮ่าๆ”สิ้นเสียงพรานชราทั้งคณะก็หัวเราะกันอย่างสนุกสนาน ท่ามกลางวงข้าว ที่ถูกห้อมล้อมด้วยบรรดาเหล่าพราน ซึ่งเปรียบเสมือนครอบครัวของเขา ถึงแม้ฐานะการเป็นอยู่จะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงก็ตาม แต่เหนือสิ่งอื่นใดทั้งปวงก็คือ ความรักและความจริงใจต่อกัน รวมถึงการมีน้ำใจซึ่งกันและกัน อีกส่วนที่ขาดเสียไม่ได้คือ ความซื่อสัตย์สุจริต ที่มีให้กันมาโดยตลอด ซึ่งสิ่งเหล่านี้ไม่สามารถตีค่าเป็นราคาค่างวดใดๆได้เลย ยากนักที่จะหาสิ่งเหล่านี้ได้ในโลกภายนอก....

*****จบตอนที่ 6.1 นิยายยังไม่จบเพียงเท่านี้ เหตุการณ์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร ไม่อาจทราบได้ โปรหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนต่อไป*****

ผิดพลาดประการใด หนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 1
ภาพที่ 2
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 1
ภาพที่ 3
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 6 ตอนที่ 1
ภาพที่ 4
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024
siamfishing.com/content/view.php?cat=article&nid=49101