สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 2 พ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 6 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 25 - [5 ม.ค. 56, 03:22] ดู: 2,154 - [21 เม.ย. 67, 02:48] โหวต: 14
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 6
หนุ่มธุดงค์ไพร (707 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
27 มิ.ย. 54, 09:08
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 6
ภาพที่ 1
บทที่ 4

ตอนที่ 6


“เฮ้ย!”

          สิงห์อุทานดังลั่น หลังจากเท้าของเขาถูกพื้น จริงๆแล้วจะว่าพื้นก็ไม่ถูกนัก เพราะมันเย็นยะเยือกราวกับถูกน้ำ ใช่แล้วน้ำ น้ำในลำห้วยนั้นเอง

“นะ..นะ..นี้เรามาอยู่ที่นี้ได้ยังไง ทุกคนหายไปไหนกันหมด”ภาพที่เขาเห็นยิ่งทำให้เขางง เพราะนอกจากกองไฟกองเล็กๆแล้ว ไม่มีใครอยู่ด้วยเลย

“ลุงโส่ย พี่แปะ ไอ้เคิ้ง ไอ้พุ่ม วู้วว...”เขาอยากจะป้องปากตะโกน แต่คอแข็งเกินที่จะทำแบบนั้นได้

“ฝัน! เราต้องฝันไปแน่ๆ”หลังจากคิดอยู่ในใจเช่นนั้น เขาก็หลับตา กะว่าถ้าลืมตาก็คงจะตื่น และคงจะไม่เห็นภาพที่เห็นอยู่แบบนี้ แต่เขาคิดผิด

“คิก คิก”เสียงหัวเราะแหลมใสแว่วมาจากชายห้วย เล่นเอาสิงห์สะดุ้งเกือบตกเปล

“คะ..คะ..ใครน่ะ”สิงห์กลั่นใจถาม

“คิก คิกๆ”ไม่มีคำตอบจากเจ้าของเสียงว่าเป็นใคร มีแต่เสียงหัวเราะตอบกลับมาอีก

“ผะ..ผมถามว่าใครครับ”ครั้งนี้ไม่พูดเปล่าเพราะเขาคว้าก้อนหินใกล้ๆเตรียมขว้างไปยังตำแหน่งของเสียงปริศนา

“เรายังมิได้ทำอันใดท่านเลย ไฉนเลยท่านถึงจะทำร้ายเรา”ครั้งนี้มาเป็นประโยคฟังถนัดหู ไม่ได้มาแค่เสียงหวานใสเท่านั้น แต่มาพร้องเสียงกรวดหินที่ดัง เหมือนคนกำลังเดินย่ำเข้ามาเรื่อยๆ จนหินในมือของคนที่คิดจะขว้าง หลุดจากมือเหมือนคนไม่มีเรียวแรง

“หยุด! หยุดอยู่ตรงนั้น อย่าเข้ามาคุณเป็นใครกันแน่”ได้ผล เสียงฝีเท่าที่คิดว่าจะเดินเข้ามาใกล้หยุดทันที เมื่อเหลือบไปรอบๆก็สะดุดตาเข้ากับฟืนท่อนหนึ่ง ยาวพอประมาณ ซึ่งด้านปลายของมันมีไฟติดอยู่

“เหตุใดท่านต้องกลัวเรา เราบอกท่านแล้วว่าเรามิได้คิดทำร้ายท่านดอก”ยิ่งห้ามเหมือนยิ่งยุ เจ้าของเสียงทำท่าเหมือนจะเดินเข้ามาอีก

“ผมบอกแล้วนะว่าอย่าเข้ามา ผมไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร และคุณต้องการอะไรจากผม”ไม่พูดเปล่าสิงห์ก็ชูท่อนฟืนติดไฟสูงขึ้น ราวกับว่ามันคือคบเพลิง


“ท่านนี่ ช่างดื้อด้าน เสียจริงๆ ท่านกลัวเรา ที่เป็นผู้หญิง อย่างนั้นฤา”ประโยคนี้ ทำเอาคนที่ยืนฟังลืมความกลัวเป็นปลิดทิ้ง

“ผมไม่ได้กลัวคุณนะ แต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะเข้ามาหาผมทำไม เพื่ออะไร”พูดจบเขาก็ก้มลงเอามือควานหาฟืนเพื่อจะเติมไฟในกองให้สว่างกว่าเดิม โดยไม่พละใบหน้าที่จ้องไปยังตำแหน่งของเสียงนั้น แต่ไม่ทันที่สิงห์จะหาฟืนเจอ ไฟในกองที่ทำท่าเหมือนจะดับ ก็พลันลุกวูบราวกับเตาแก๊ส เล่นเอาสิงห์หงายท้องก้นจ้ำเบ้า

“คิกๆ”

          สิ้นเสียงหัวเราะชอบใจ ร่างนั่นก็เริ่มโผล่ออกมาจากเงามืด คิดแล้วไม่มีผิด เป็นหล่อนจริงๆด้วย หล่อนคนนั้น คนที่เขาเห็นนั่งสบายอารมณ์อยู่บนต้นตะเคียน ครั้งนี้เขาเห็นถนัดชัดเจนเห็นแม้แต่ขนตาที่งอนงาม สาวงามในชุดสไบชุดเดิมยืนกอดอกอยู่ตรงหน้า ถ้าไม่มีกองไฟขวางไว้ล่ะก็ รับรองว่าคงถึงตัว

“คุณ คุณคนที่ผมเห็นหรือเปล่า แล้วคุณมาอยู่ที่นี้ได้ยังไง มีหมู่บ้านแถวนี้หรือ”สิงห์กลั้นใจถามออกไป ในขณะที่ยังนั่งไม่เป็นท่าอยู่เช่นนั้น

“ใช่ เรือนเราอยู่บริเวณ”หล่อนพูดขณะที่ยังยืนจ้องสิงห์ตาไม่กระพริบ

“เราอยู่ที่แห่งนี้มานานแล้ว แต่พวกท่านมาทำเรือนของเราเสียหาย”หล่อนทำสีหน้าตำหนิสิงห์ แต่แววตาของหล่อนซ่อนยิ้มเอาไว้

“พวกผมไปทำบ้านของคุณเสียหายตอนไหนครับ ตั้งแต่ผมเดินมายังไม่เห็นบ้านที่ไหนสักหลัง”สิงห์พาซื่อเพราะไม่รู้จริงๆว่ากำลังคุยกับใครอยู่

“ท่านจำมิได้จริงๆฤา”หล่อนเลิกคิ้วถาม

“ผมไม่รู้จริงๆ หรือว่าลูกปืนของพวกผมคนใดคนหนึ่ง ตกใส่หลังคาบ้านคุณ”คำพูดของสิงห์เล่นเอาหล่อนอดที่จะยิ้มไม่ได้ จนหล่อนทนไม่ไหว

“ท่านสิงห์ ก็ท่านกับพรานเฒ่านั้นไง ที่ใช้มีดฟันเรือนของเรา ผลงานของท่านยังอยู่ ตรงนั้น”พูดจบหล่อนก็ชี้มือไปที่โคนตะเคียนริมน้ำ เท่านั้นเองสิงห์ถึงกับขนลุกไปทั้งตัว บ้านของหล่อนที่ว่าก็คือต้นตะเคียนใหญ่ ที่พรานเฒ่ากับเขา มาดักลอบบริเวณรากตะเคียนนั้น แล้วที่หล่อนบอกว่าเขาและพรานเฒ่าใช้มีดฟันเรือนหรือบ้านของหล่อน ก็ตรงรากไม้นั้นไงที่เป็นส่วนหนึ่งของที่พักของเธอ

“คุณคือเจ้าแม่ตะเคียนหรือ”สิงห์หันไปมองหน้าหล่อนอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง

“เรามิใช่เจ้าแม่ตะเคียน หรือสิ่งใดก็แล้วแต่ที่ท่านจะยกตำแหน่งให้เรา”

“แล้วคุณรู้จักชื่อผมได้อย่างไร”สิงห์ถามด้วยความสงสัย

“ทำไม ท่านถึงได้เขลานัก ก็ขนาดตะเคียนใหญ่ต้นนี้ เรายังเข้าไปอยู่อาศัยได้ แล้วนับประสาอันใดกับนามของท่าน”หล่อนตอบพลางยิ้มหวาน

“ไหนๆก็ไหนๆแล้ว ผมเชื่อคุณแล้วว่าคุณคงไม่ทำร้ายอะไรผม และคุณก็ไม่ใช่มนุษย์อย่างผม”สิงห์ทำใจดีสู้เสือ

“เหตุใดคุณถึงมาบอกผมเรื่องนี้ ทำไมไม่เป็นคนอื่นที่เหลือ”สิงห์ถาม

“ก็เพราะดวงจิตของท่าน กับดวงจิตของเราสื่อถึงกันได้ ถ้าจิตของท่านมิอาจตรงกับของเราแล้ว ท่านก็คงมองเรามิพบดอก สำหรับเรามันตรงกันข้ามกับท่าน เราสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่าง เห็นตั้งแต่พวกท่านเหยียบเข้ามาในเขตของเราแล้ว”หล่อนอธิบาย

“แล้วคุณ ต้องการอะไรจากผมครับ ชีวิตของผมหรือ”สิงห์ถาม

“หึหึหึ”หล่อนหัวเราะในลำคอ

“ถ้าเราต้องการชีวิตของท่าน โทษฐานที่มาบังอาจทำเรือนของเราได้รับความเสียหาย ป่านนี้ท่านก็คงมิได้มาเสวนากับเราเยี่ยงนี้ดอก”พูดจบหล่อนก็สะบัดผมที่ยาวสลวย จนสิงห์ได้กลิ่นหอมของดอกไม้พัดออกมาจางๆ แล้วหล่อนก็เดินไปยังตำแหน่งที่สิงห์และพรานเฒ่าใช้มีดฟันรากของต้นตะเคียน

“โอ้วว..ถ้าเช่นนั้นผมต้องขอโทษคุณด้วยนะครับ พวกผมไม่ได้มีเจตนาเลย”สิงห์พูดออกมาจากใจจริง

“เราให้อภัยท่าน แต่เราอยากจะขอสิ่งใดบางอย่างจากท่าน เพื่อแลกกับหนึ่งชีวิตของคณะ”หล่อนพูดจบก็เดินเรียดๆมาที่เปลของสิงห์ สิงห์เองก็หนาวๆร้อนๆอยู่แล้วรีบขยับหนีไปอีก

“ถ้าผมสามารถทำให้คุณหายโกรธพวกผมแล้ว ผมยินดีทำให้ครับ”สิงห์พูดจบก็ขยับมานั่งบนก้อนหินใหญ่ก้อนหนึ่งข้างกองไฟ ตาประสานตากันอีกครั้ง

“สิ่งที่เราขอก็มิได้มากมายอันใดดอก เราต้องการให้ท่านนำอาหาร คาว หวาน มาขอขมาเรา โดยท่านจะต้องนำมาให้เราตามลำพังเพียงผู้เดียว หามิได้แล้ว เราจะถือว่าท่านหมิ่นเรา”หล่อนพูดจบ ก็ค่อยๆหย่อนเอวที่คอดกิ่วลงบนเปลของสิงห์

“ได้สิครับคุณ เรื่องแค่นี้เองทำไมผมจะทำให้ไม่ได้”สิงห์พูดพลางยิ้ม และเป็นการส่งยิ้มให้หล่อนเป็นครั้งแรก จนคนที่ได้รับยิ้มนั้นมีอาการเหนียมอาย

“แต่ท่านจงอย่าลืมในสิ่งที่เราบอกท่านนะว่า ท่านต้องมาคนเดียวตามลำพัง ห้ามมิให้ผู้ได้ติดตามมาด้วยเป็นอันขาด”หล่อนพูดจบก็หยิบดอกกล้วยไม้ป่าดอกใหญ่ ที่หล่อนนำมาทัดหู ออกมาคลึงเล่นในมือ

“ก็ได้ครับ ผมรับปาก ว่าผมจะมาเพียงคนเดียว”สิงห์พยักหน้ารับคำ จนหล่อนยิ้มอย่างพอใจแล้วพูดต่อมาอีกว่า

“ดีมาก เราหวังว่าท่านคงจะมิผิดสัจจะที่ให้ไว้กับเรา”หล่อนพูดขณะที่จ้องตาของสิงห์ไม่กระพริบ ราวกับว่าสิงห์จะต้องมนต์สะกด จนเขาเผลอพูดอะไรบ้างอย่างออกไปอย่างไม่รู้ตัว

“คุณรู้หรือเปล่า ถ้าคุณเป็นมนุษย์แบบผม คุณจะเป็นผู้หญิงที่สวยที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา”มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ เพราะหล่อนสวยไม่มีที่ไหนจะติเลย จะติอยู่อย่างเดียวคือ หล่อนไม่ใช่คน

“นี่ท่านกำลังเกี้ยวเราฤา”หล่อนเลิกคิ้วถาม โดยมียิ้มน้อยๆที่มุมปาก

“เปล่าครับ ผมไม่ได้จีบหรือเกี้ยวคุณ คุณเป็นนางไม้หรืออะไรก็แล้วแต่ ที่ผมเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิตครับ เลยไม่รู้ว่าจะมีนางไม้หรือเจ้าแม่ที่ไหนสวยกว่าคุณหรือเปล่า”ประโยคหลังทำเอาหล่อนค้อนให้ทีหนึ่ง

“พูดถึงนางไม้กับเจ้าแม่ ผมอยากรู้ว่ามีคุณ...เอ่อ  มีคุณคนเดียวหรือตนเดียว หรือเปล่าครับ ในป่าผืนนี้”ประโยคหลังเขาถามแบบกล้าๆกลัวๆเพราะกลัวจะไม่เข้าหูหล่อนอีก

“ตั้งแต่เขตหมู่บ้านของพรานนำทางของท่านแล้ว ไปจนสุดเขตที่พวกท่านอยากรู้อยากเห็นนั้น มีเราผู้เดียว ที่ดูแลและปกป้องอยู่”หล่อนพูดทิ้งท้ายไว้เป็นนัยๆ

“คุณรู้! ว่าพวกผมจะเข้าไปเที่ยว ป่าดำ”สิงห์ร้องออกมาอย่างลืมตัว

“เราบอกท่านแล้ว ท่านสิงห์ ว่าเรารู้ทุกอย่าง รู้ว่าพวกท่านมีจุดหมายปลายทางที่ไหน”หล่อนพูดพลางม้วนผมที่ดำคลับเล่นไปมา

“ถ้าแบบนั้นคุณก็รู้สิว่า ป่าดำ มันอยู่ที่ไหน”สิงห์ถามด้วยอาการลิงโลด โดยลืมไปว่าคุยกับอะไรอยู่

“เรารู้”หล่อนตอบมาสั้นๆ

“คุณพอจะบอกผมได้หรือเปล่าครับ ว่าพวกผมทั้งคณะ จะสามารถไปถึงจุดหมายได้หรือเปล่า และจะมีอันตรายใดกับคณะของผมหรือไม่ เผื่อว่าพวกผมจะได้เตรียมตัวและรับมือได้ถูก”

“เราบอกท่านมิได้ดอก เพราะมันผิดกฎ ถ้าเราบอกท่านตัวเราเองอาจจะสูญเสียญาณ ที่เราเพียรบำเพ็ญมาเป็นเวลานาน หรือแม้แต่ดวงจิตของเราเอง อาจถึงขั้นดับสลายไปเลยก็ได้”หล่อนพูดออกมาจากใจจริง ด้วยแววตาวิงวอน

“มันร้ายแรงถึงขนาดนั้นเชียวหรือ”สิงห์ถามอย่างคนสิ้นหวัง แทนคำตอบหล่อนพยักหน้าลงช้าๆ

“แล้วผมควรจะทำยังไงดีครับ”

“หรือว่า....”

“พวกผมควรจะกลับ”สิงห์พูดออกมาลอยๆโดยตาของเขามองไปที่เปลวไฟอย่างปราศจากความหมาย

“ท่านอย่าให้เราต้องผิดกฎเลย ท่านสิงห์ เราบอกสิ่งใดกับท่านมิได้มาก”หล่อนทิ้งคำพูดสุดท้ายเหมือนให้ความหวัง

“ท่านจงยึดมั่นในศรัทธา”หล่อนพูดจบก็ยิ้มหวาน ยิ้มของหล่อนถ้าชายคนใดเห็นแล้วก็ต้องระทวย เพราะนอกจากรอยยิ้มที่มีเสน่ห์ของหล่อนแล้ว บริเวณแก้มทั้งสองข้างของหล่อนยังมีรอยบุ๋มอยู่ทั้งสองข้าง หรือที่เรียกว่าลักยิ้มนั้นเอง

“ถึงเวลาของเราแล้ว ที่เราจะต้องลาจากท่าน”หล่อนพูดออกมาเรียบๆ แต่แอบซ้อนแววตาโศกเศร้า จนสิงห์รู้สึกใจหาย

“แล้วผมจะได้พบคุณอีกหรือเปล่าครับ”สิงห์ร้องถาม ที่เห็นหล่อนลุกขึ้นทำท่าจะเดินจากไป

“ทุกราตรีกาล ถ้าท่านต้องการพบเรา ท่านจงระลึกถึงเรา เมื่อนั้นเราจะได้พบกันอีก”หล่อนพูดแล้วเดินหันหลังเข้าไปที่โคนต้นตะเคียนยักษ์

“เดี๋ยวครับ เดี๋ยวก่อน คุณชื่ออะไร”สิงห์ร้องตะโกนถาม ได้ผล หล่อนหยุดชะงัก แล้วหันมายิ้มหวานอีกครั้ง แล้วตอบชายหนุ่มพร้อมรอยยิ้มหวานนั้นว่า

“เรามีนามว่า พลับพลึง”

“พลับพลึง พลับพลึง” สิงห์พูดทบทวนอยู่เช่นนั้น ก่อนที่ร่างของหล่อนจะเรือนหายไปราวกับหมอกควัน พร้อมๆกับเปลวไฟที่ค่อยๆมอดลงช้าๆ ไม่ผิดอะไรจากสภาพเดิมในตอนแรก ที่เขาคิดจะนำฟืนมาเติมก่อนนอน เหมือนอยู่ที่แค้มป์ไม่มีอะไรผิดเพี้ยน คิดอยู่ในใจไว้ว่าไหนๆก็ต้องมาผูกเปลนอนกับต้นตะเคียนยักษ์ต้นนี้แล้ว จะเดินกลับแค้มป์มืดๆค่ำๆแบบนี้ก็ ยังไงๆอยู่ เพราะไฟฉายก็ไม่มี เลยตัดสินใจว่านอนที่นี้เสียเลย พรุ่งนี้เช้าค่อยเดินกลับ มองไปรอบๆตัวเพื่อหาฟืนจะมาสุมไฟแก้หนาว พลันก็เหลือบไปเห็นท่อนฟืนสองสามท่อนตกอยู่ใกล้ๆ จึงก้มลงไปหยิบ จังหวะนั้นเองเขาก็เห็นความผิดปกติบางอย่างเมื่อยกนาฬิกาขึ้นดู เขาก็ต้องประหลาดใจอีกครั้ง

          เข็มนาฬิกาบอกเวลาที่ ตีหนึ่งยี่สิบเก้านาที มันเป็นเวลาเดียวกับที่เขายกขึ้นดูเมื่อไม่นานมานี้ จะว่านาฬิกาเสียก็ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะเข็มวินาทีก็ยังเดินไม่หยุด นี่มันอะไรกัน ตั้งแต่เหตุการณ์ประหลาดเริ่มต้นขึ้น อย่างน้อยๆก็ต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 นาที แต่นี่ทำไมเวลายังไม่ได้ขยับไปไหนเลยแม้แต่นาทีเดียว และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมาจากนาฬิกา เขาก็ยิ่งตกใจเข้าไปอีก อะไรกัน เมื่อกี้เราไปโผล่ที่ต้นตะเคียนยักษ์นั่น แล้วไหนเลยถึงกลับมาโผล่ที่แค้มป์ มองไปรอบๆให้แน่ใจอีกครั้ง ตาโส่ยก็นอนขดอยู่นั่น ไม่ได้เห็นเฉพาะพรานเฒ่าอย่างเดียว เขามองเห็นทุกคน ทุกชีวิต ไม่มีสิ่งใดผิดเพี้ยนไปจากเดิมเลยแม้แต่นิดเดียว ในยามนี้ไม่มีอะไรทำได้ดีไปกว่าการ ตั้งสติ ใช่ เข้าต้องรวบรวมสมาธิและลำดับเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้น เพราะยังไม่แน่ใจตัวเองอยู่ดีว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้น มันคืออะไรกันแน่ ความจริง หรือความฝัน จะว่าฝันร้ายเราก็ไม่ได้หลับนี่ เพราะดูจากนาฬิกาแล้วมันก็ไม่น่าเป็นไปได้ คนอะไรจะฝันภายในเวลาไม่ถึงนาที หรือว่าเป็นความจริงๆ ยิ่งคิดยิ่งสับสน

“ยังไม่นอนอีกรึ ไอ้สิงห์”เจ้าของเสียงเรียก ไม่ใช่ใครที่ไหน มันเป็นเสียงของพรานเฒ่าที่ตอนนี้ผงกหัวขึ้นมาร้องถาม เล่นเอาสิงห์ที่คิดอะไรอยู่เพลินๆสะดุ้งสุดตัว

“ปัดโธ่...ตกใจหมด! เดี๋ยวก็นอนครับ สุมฟืนอีกสักหน่อย” สิงห์ตอบกลบเกลื่อน พูดจบก็เดินไปลากท่อนฟืนท่อนใหญ่ๆสองสามท่อนใส่ลงไปในกองไฟ

          หลังจากพรานชราคุยอะไรกับสิงห์สองสามคำ พรานชราก็ซุกตัวนอนในโปงผ้าห่มของแกเหมือนเดิม ส่วนสิงห์หลังจากเติมฟืนในกองไฟจนบริเวณแค้มป์สว่างโพลงแล้ว ก็มุดตัวเข้าไปนอนในเปลสนามของเขา ลมหนาวพัดมาอีกวูบ จนเขาต้องนอนห่อตัวเข้าไปในถุงนอน ขนาดมีเสื้อแจ็คเก็ตกันหนาวใส่แล้ว ยังรู้สึกเย็นยะเยือกได้เพียงนี้ แถมมาเจอเรื่องลีลับกับตัวเองอีก ใครจะไปนอนหลับลง เลยต้องนอนตาแป๋วอยู่บนเปลแบบนั้น ครั้นนอนหลับตาเผื่อจะได้หลับ ก็พลันเห็นหน้าหล่อนคนนั้นอีก คิดในแง่ดี ถ้าหล่อนคิดจะมาทำร้ายหรือมาหลอกหลอนเรา ก็คงจะมาในรูปแบบที่น่ากลัว แต่นี้ หล่อนมาในรูปแบบที่สวยงามไม่มีพิษภัย หรือทำให้เข้าต้องหวาดกลัวเลย ในเมื่อพยายามที่จะข่มตานอนแล้วก็ทำไม่ได้ นึกถึงพระพุทธคุณก็แล้ว มันก็ยังไม่หลับ ที่ทำได้ตอนนี้ก็คือนอนนับดาวบนท้องฟ้า ซึ่งก็ดูเหมือนว่าจะเต็มใจให้กับเขา เพราะคืนนี้ท้องฟ้าเปิดไม่มีเมฆหมอกมาบทบังเลย เห็นหมู่ดาวระยิบระยับมากมาย เห็นแม้กระทั้งหมู่ดาวทางช้างเผือกที่ทอดตัวเป็นทางยาว

          ลมหนาวพัดมาอีกครั้งแต่ครั้งนี้มันหอบเอากลิ่นหอมของดอกไม้มาด้วย และถ้าสิงห์จำไม่ผิด มันเป็นกลิ่นหอมกลิ่นเดียวกับหล่อนคนนั้น หล่อนคนที่ทำให้เขานอนไม่หลับในขณะนี้ พอมานึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมา ก็อดยิ้มไม่ได้ ถ้าเป็นคน เธอก็คงเป็นผู้หญิงที่แก่นแก้วมาก ที่มาแกล้งให้เรานอนไม่หลับ ทั้งหมดนี้สิงห์คิดอยู่ในใจคนเดียว เหตุการณ์นี้เขาจะจดจำและไม่มีวันลืมไปจนตาย รวมถึงหล่อนคนนั้นด้วย หล่อนคนที่มีนามว่า พลับพลึง.......


******จบบทที่ 4 เรื่องราวจะดำเนินไปในทิศทางใด หรือผู้แต่งจะลิเก กว่านี้ได้อีกหรือไม่ โปรดติดตามหาความบันเทิงได้อีก ในบทที่ 5 เร็วๆนี้!!!!!******


ผิดพลาดประการใด หนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 6
ภาพที่ 2
พรานพร กับ พรานโส่ย กับร้านแขวนหม้อสนาม
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 6
ภาพที่ 3
เจ้าพุ่มบนหน้าผาตอนหนึ่ง (จะขึ้นไปทำแพะทำไมก็ไม่รุ)
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 6
ภาพที่ 4
เป้สนามของพรานพร
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 6
ภาพที่ 5
แกงกบทูด/ธูปใส่ต้นและหัวกระวาน  แบบเนื้อๆเน้นๆครับ
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024