สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 27 ธ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 5 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 20 - [5 ม.ค. 56, 02:47] ดู: 2,475 - [23 ธ.ค. 67, 06:03] โหวต: 7
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 5
หนุ่มธุดงค์ไพร (711 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
22 มิ.ย. 54, 09:54
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 5
ภาพที่ 1
บทที่ 4

ตอนที่ 5

          หญิงสาวแต่งกายในชุดไทย มีผ้าสไบคาดเฉียงสีเขียวอ่อนบางๆ ปกปิดสองปทุมถัน ที่ต้อนนี้สั่นกระเพื่อมท้าทายลมหนาว ผมของหล่อนดำยาวมาถึงเอวที่คอดกิ่วรับกับสะโพก ซึ่งตอนนี้มีเพียงผ้าซิ่นคาดเอวอยู่แค่ผืนเดียว หล่อนนั่งแกว่งขาตรงคาคบไม้อย่างสบายอารมณ์ โดยมือทั้งสองข้างของหล่อนเพลิดเพลินอยู่กับกล้วยไม้ป่าช่อใหญ่ ใบหน้ารูปไข่ ที่รับกับริมฝีปากบางๆ โดยมีจมูกโด่งคมเป็นสัน รับกับคิ้วที่งอนงาม ของดวงตาที่โตได้สัดส่วน  เขาเห็นหน้าหล่อนชัดเจน

          เหมือนเขาตกอยู่ในภวังค์หรือมนต์สะกดอะไรบางอย่าง ที่ไม่สามารถเข้าใจได้ จึงทำให้เขาถึงกับ เคลิบเคลิ้มกับภาพที่บอกกับตัวเองไม่ได้เลยว่า กลัวหรือตกใจ มันเป็นความจริง หรือความฝัน หล่อนชั่งเป็นผู้หญิงที่สวยงาม สวยจนเขาคิดว่าไม่เคยพบเห็นผู้หญิงคนไหน สวยเท่าเธอมาก่อน ใบหน้านั้นเอียงมาทางเขาช้าๆ หล่อนยิ้มให้เขา สิงห์ถึงกับขนลุกเกรียวไปทั้งตัว นี้ตัวเขาโดนผีหลอกจริงๆแล้วหรือนี่ มันเป็นไปได้หรือ หัวใจเขาแถบจะหยุดเต้น

“ไอ้สิงห์เอ็งเป็นอะไรของเอ็งว่ะ”พรานชราร้องถาม เมื่อเห็นสิงห์ส่องไฟจ้องอะไรอยู่บนคาคบไม้ เสียงเรียกของพรานเฒ่าทำเอาสิงห์สะดุ้ง เท่ากับเป็นการเตือนสติของเขาให้กลับมา แต่ก็ยังไม่ลดไฟฉายที่ส่องจับนิ่งอยู่เช่นนั้น

“ไม่มีอะไรหรอกลุง”สิงห์ร้องตอบ แต่พอเขาหันกลับไปยังตำแหน่งเดิมก็ไม่พบหล่อนคนนั้นแล้ว เขาขยี้ตาอยู่หลายครั้ง แต่เมื่อค่อยๆลืมตาขึ้นมาก็ไม่พบอะไรอีก นอกจากกล้วยไม้ป่ากอใหญ่ ที่ขึ้นอยู่ตรงลำต้นของตะเคียนยักษ์

“ไม่มีอะไรแล้วเอ็งเป็นอะไรว่ะ! ยืนทื่อเป็นสากกร ะเบือเลย”พรานแปะพูดจบก็เดินเข้ามาหา

“ปะ..ปะ..เปล่า..ไม่มีอะไรจริงๆ ผมส่องเจอกล้วยไม้ป่าบนนี้ เห็นมันสวยกว่าที่เคยเห็นมา ไม่รู้ว่ากล้วยไม้ป่าอะไร”สิงห์พูดกลบเกลื่อน แต่ใครจะรู้หรือไม่ว่าหัวใจเขายังเต้นแรงไม่เป็นจังหวะอยู่

“ฮีโธ่ ข้าก็คิดว่าอะไร ช้างกระ เอ็งไม่เคยเห็นหรือไงไอ้สิงห์”พรานแปะตอบหลังจากส่องไฟฉายดู กล้วยไม้ป่ากอใหญ่

“เคยเห็น แต่ผมไม่เคยเห็นช้างกระมันขึ้นกอใหญ่ขนาดนี้ เต็มที่ก็ไม่เกินสิบช่อ แต่ที่เห็นไม่ต่ำกว่าสามสิบช่อ”สิงห์ตอบแบบควบคุมอารมณ์ไม่ให้พรานแปะผิดสังเกต

          ขบวนหาปลาทั้งห้าคนเดินงมกันมาในความมืด โดยมีพรานแปะเดินส่องไฟฉายนำทางอยู่หัวขบวน ติดตามด้วยสองกะเหรี่ยงดงเคิ้งและพุ่มเดินตามติดโดยมีพวงปลาและกบ ถือกันมาคนละพวงสองพวง ส่วนพรานโส่ยและสิงห์เดินเคียงคู่กันมา โดยสิงห์เป็นคนเดินส่องไฟฉายให้ เพื่อเป็นการประหยัดแบตเตอร์รี่ ทั้งคณะจึงใช้ไฟฉายเพียงสองกระบอก จนทั้งหมดมาหยุดพักอยู่บริเวณที่โล่งตอนหนึ่งของลำห้วยสายนั้น

“สิงห์กี่โมงกี่ยามแล้ว”พรานแปะร้องถามมาจากหัวขบวน

“อีก สิบห้านาที จะเที่ยงคืน”สิงห์ร้องตอบ

“บ่ะ จะเที่ยงคืนแล้วรึ”พรานโส่ยพูดจบ ก็อ้าปากหาว

“ไม่รู้น้าเบกับน้าพรจะเป็นไงบ้าง”สิงห์พูดออกมาเบาๆ

“จะเป็นยังไง ป่านนี้ก็นั่งสั่นอยู่บนห้างแล้ว ทำไม่มันหนาวฉิบหา ยแบบนี้ว่ะ”พรานโส่ยพูดจบก็ล้วงกระติกเหล้าที่สิงห์ฝากไว้ขึ้นจิบ เสร็จแล้วก็ส่งต่อไปให้สิงห์และพรานแปะ

“ค่อยยังชั่วหน่อย ดีนะที่ติดมาด้วย ถ้าไม่มีตัวช่วยสงสัยเป็นตะคริวตายไปแล้ว”สิงห์พูดหลังจากยกเหล้าในกระติกขึ้นจิบไปหลายอึก ไม่รู้ว่าอากาศหนาว หรือเพราะพบเจออะไรที่ตนเองยังมึนงงอยู่

“พี่เหน๋อป่านนี้คงนอนไปแล้วมั๊ง”เคิ้งร้องถามมาอีกคน

“โอย..ขานั้น ถ้าไม่หลับก็นั่งตาขาวอยู่ข้างกองไฟ ฮาๆ”พรานแปะพูดจบก็หัวเราะชอบใจ

“โธ่..ก็น่าเห็นใจอยู่นะพี่แปะ อยู่คนเดียวเฝ้าแค้มป์ เป็นผมก็หนาวเหมือนกัน”สิงห์พูดขณะส่องไฟฉายไปรอบๆ

“ใครว่ามันอยู่ตัวคนเดียว มีหมาสองตัวอยู่เป็นเพื่อนแบบนั้น ไม่ต้องไปกลัวอะไรแล้ว”พรานโส่ยบอกมาอีกคน

“อ้าว ไหนว่าไอ้เหน๋อมันผูกหมาไว้ดีแล้วพี่แปะ”สิงห์พูดพลางส่องไฟฉายจับไปที่สัตว์อะไรชนิดหนึ่ง ซึ่งตัวเขาเองเข้าใจว่าเป็นหมา เพราะเห็นแต่แสงกระทบไฟฉายจากตาสีเขียวๆสองดวง

“ชะมด ตัวโตเสียด้วย”พรานแปะพูดออกมาเบาๆเชิงกระซิบ

“ถ้าเป็นหมาป่านนี้มันวิ่งจี๋มาหาเราแล้ว”พรานแปะเสริมมาอีก

“ตอนส่องเจอครั้งแรกผมก็คิดว่าหมา ตามันเหมือนตาหมาจริงๆ”สิงห์พูดขณะยังส่องไฟฉายจี้ไปที่ตาของชะมดตัวนั้นอยู่

“สู้ไฟดีจริงๆ เสียดายไม่ได้ติดปืนมาด้วย ระยะแค่นี้ไม่พลาด”เคิ้งพูดอย่างคันไม้คันมือ

“แค่ของที่แบกกันมาด้วย ก็กินกันไม่ไหวแล้ว ต่างคนต่างหากิน วันนี้เรามาหาปลาหากบ แค่นี้ก็พอแล้ว เอาไว้วันอื่นค่อยว่ากันดีกว่า”สิงห์ร้องบอก

“จริงของเอ็งไอ้สิงห์ คืนนี้เราได้ลาภเป็นตะพาบแล้ว แค่นี้ก็ถือว่าโชคดีของเรา”พรานโส่ยพูดจบก็ยกลอบดักปลาที่ภายในมีตะพาบน้ำตัวเขื่องตะเกียดตะกายอยู่

“คืนนี้เดือนมืดดีจริงๆ ถ้าได้เดินส่องสัตว์ท่าจะไม่พลาด”พรานแปะพูดขณะนั่งชันขาข้างหนึ่งบนก้อนหินใหญ่ริมห้วย

“ไอ้พว กนี้มันนกรู้ ถ้าเราไม่ติดปืนกันมา มันไม่กลัวเราหรอก แบบไอ้ชะมดตัวนั้นไง มันกลัวเราที่ไหน ขนาดส่องไฟแบบนี้ยังเดินลอยชายอยู่เลย ถ้ามันยังไม่หนีไปไหน พ่อจะเอาก้อนหินนี่ล่ะล่อกบานมันเลย”พุ่มเสริมมาอีกคน

“ยังจะพยายามอีกนะพุ่ม ปล่อยมันไปเถอะ พี่ชักเบื่อๆเมนูสัตว์บกแล้ว เมนูหน้าขอเป็นสัตว์น้ำดีกว่า”สิงห์พูดจบก็ลดไฟฉายที่จับอยู่ที่ชะมดตัวนั้นออก แล้วชักชวนให้ทั้งหมดเดินกลับแค้มป์

          หลังจากใช้เวลาหยุดพักที่หมู่หินใหญ่กลางลำห้วยเกือบ 20 นาที คณะหาปลาก็เริ่มเคลื่อนขบวนอีกครั้ง และเหมือนเดิม โดยการนำทางกลับของพรานแปะ ที่ตอนนี้เดินสูบยาเส้นอย่างสบายอารมณ์ ซึ่งมีเจ้าสองกะเหรี่ยงหนุ่มเดินคุยกันอย่างสนุกสนาน บ้างครั้งก็หัวเราะคิกคักกันลั่นห้วยไปหมด ส่วนสิงห์และพรานโส่ยเดินคู่กันมาอยู่ท้ายแถว ซึ่งไม่ห่างจากขบวนมากนัก ลมเย็นพัดมาตามช่องเขาเอื่อยๆ ซึ่งตอนนี้เย็นยะเยือกราวกับห้องแช่แข็ง จนทำให้ลมหายใจที่ออกมาจากร่างกายของชายทั้งห้า เป็นไอหมอกเหมือนคนสูบบุรี่ ไม่ต่างอะไรกับสายน้ำในลำห้วยที่ไหลริน ไอหมอกจางๆที่ลอยจับอยู่บนผิวน้ำสูงไม่เกินคืบ เต้นไหวไปมา ราวกับนางระบำ สูงขึ้นไป หิ่งห้อยหลายสิบตัวบินระเรียดไปตามชายป่า สูงๆต่ำๆ เห็ดป่าบางชนิดก็เปล่งแสงเรืองๆ เหมือนใครแกล้งเอาสีเรืองแสงไปแต้มไว้ตามต้นไม้แห้งผุๆ ครั้นเมื่อเอาไฟฉายสองก็กลับกลายเป็นเห็ดธรรมดาๆ แต่พอละไฟฉายไปทางอื่นก็กลับมาเรืองแสงอีกครั้งเล่นทำให้แปลกใจดูพิลึก เสียงแมลงนานาชนิดพากันกรีดปีกส่งเสียงเซ็งแซ่ไปหมด แต่พอคณะเดินผ่าน พวกมันก็พากันเงียบกริบ จนทั้งหมดเดินห่างออกไป พวกมันจึงกรีดปีกอีกครั้ง แรกๆก็มีแค่ตัวสองตัว แต่พอทิ้งช่วงห่างไปไม่นาน พวกที่เหลือก็ส่งเสียงตามออกมาจนฟังดูวุ่นวายไปหมด หลังจากเดินลัดเลาะกันมาตามลำห้วยอย่างเชื่องช้า เพราะบริเวณทางเดินเต็มไปด้วยตะไคร้น้ำที่เกาะอยู่ตามหมู่หิน และพื้น ทั้งคณะจึงต้องเดินอย่างระมัดระวัง เพราะพื้นมีความลื่นมาก ระหว่างที่กำลังเดินลอดซุ้มไม้ที่ทอดขวางลำห้วยนั้น พรานแปะใช้ไฟฉายส่องไปที่กิ่งแห้งที่ดูโปร่งโล่ง นกกระเต็นเล็ก ตัวหนึ่งนอนเอาหัวซุกปีกอยู่บนกิ่งไม้แห้งนั้น สีขนของมันดูมันวาวคล้ายๆปีกแมลงทับ เมื่อกระทบแสงไฟฉาย ห่างออกไปบนกิ่งแห้งๆของต้นไม้ตายซาก ดวงตาสีแดงก่ำของ นกเค้าแมว ครั้นเมื่อต้องแสงไฟ ดูท่าทางไม่มีความรู้สึกกลัวมนุษย์เอาเสียเลย เสียงแกรกกราก ของสัตว์ขนาดเล็กที่พากันวิ่งซุกตามกองใบไม้แห้ง พวกมันคงจะตกใจพวกมนุษย์ที่เดินล่วงล้ำมาในถิ่นหากินของมัน เล่นเอาพวกของสิงห์สะดุ้งหลายครั้งหลังจากเดินตัดผ่านมาทางช่องเขา กลิ่นควันไฟลอยมาตาม ลมจางๆ บอกให้รู้ว่าคงอีกไม่ไกล ก็ถึงแค้มป์แล้ว สายลมเย็นพัดมาอีกวูบ นอกจากควันไฟจากแค้มป์แล้ว มันยังพัดเอากลิ่นของดอกไม้ป่าลอยคละคลุ้งติดมาด้วย

“สงสัยไอ้เหน๋อคงจะหลับ ฟืนไฟก็ไม่รู้จักเติม เดี๋ยวพ่อมึ งได้มากระทื บตายห่ า”สิงห์ร้องบ่นออกมาเบาๆเมื่อมองเห็นถ่านแดงๆจากแค้มป์ที่พัก ซึ่งตอนนี้เห็นอยู่ไม่ไกลนัก

“ถ้านอนอยู่คนเดียวล่ะ ไม่แน่ มีหมาอยู่ด้วยก็ดีไปอย่าง”พรานแปะเสริมมาอีกคน

        ไม่ทันขาดคำของพรานแปะ เมื่อทั้งหมดเดินเข้ามาใกล้ที่พัก เจ้าสองตัวที่ถูกมัดไว้ก็พากันเห่าดังลั่น แรกๆก็กล้าๆกลัว เพราะพวกมันก็ไม่แน่ใจว่า สิ่งแปลกปลอมที่จะเข้ามาใกล้แค้มป์คืออะไร แต่พอแน่ใจว่าเป็นเจ้านายของพวกมัน พวกมันก็พากันคราง หงิ๋ง กระโจนอย่างดีใจ กระโดดโลดเต้น บ้างก็กระดิกหางจนเอวแทบหลุด

“ดูมัน ไอ้หอ กขนาดหมาเห่าดังลั่นขนาดนี้มันยังนอนไม่รู้เรื่อง”พรานโส่ยโพล่งออกมา พูดจบก็ยัดลูกแปที่ก้นของเหน๋อ แต่ก็ไม่มีอะไรตอบสนอง

“ฮืม...กลับกันมาแล้ว ช่วยเติมฟืนให้ด้วยมันหนาว”คนโดนลูกแปบ่นงึมงำอยู่ในโปงผ้าห่ม

“โธ่...ไอ้สั นดา น! ยังมีหน้ามาใช้ข้าอีก”พูดจบพรานเฒ่าก็ยัดลูกแปเขาที่จุดเดิม ครั้งนี้ได้ผล ผู้ถูกกระทำลุกขึ้นมานั่งเกาหัวแกรกๆ งัวเงียอยู่เช่นนั้น

“เอ็งนี้ก็เหลือเกิน แทนที่จะช่วยกันดูฟืนไฟ เสือ กนอนไม่รู้เรื่อง”พรานเฒ่าบ่นพรางส่ายหัวไปมา บ่นจบแกก็โยนท่อนฟืนลงในกองไฟดังโครม

“พ่อ! ปลาพวกนี้จะให้ฉันทำเลยหรือเปล่า”เคิ้งร้องถาม

“ยังไม่ต้องทำก็ได้ ดึกดื่นป่านนี้แล้ว ไปล้างหน้าล้างตัวนอนดีกว่า อากาศเย็นแบบนี้ไม่ทันเน่า เช้าค่อยว่ากันใหม่”ผู้เป็นพ่อร้องตอบ ขณะนั่งผิงไฟอยู่ข้างๆสิงห์

“ข้าวมีเหลือบ้างหรือเปล่า ไอ้เหน๋อ”พรานแปะร้องถามเจ้าเหน๋อ ซึ่งตอนนี้นั่งทำตาปรือ

“ยังเหลืออยู่อีกสองหม้อ แขวนอยู่บนแคร่”พูดจบก็ชี้มือไปที่หม้อสนามสองใบ ที่ถูกแขวนไว้บนแคร่

“น้ำพริก กับแกงไก่ มีเหลืออยู่อีกหน่อย เอาใบตองปิดไว้บนนั้นแหละ”คนขี้เซาเสริมมาอีก พูดจบก็อ้าปากหาว

“กินข้าวสักหน่อยดีกว่าพวกเรา ออกแรงเดินกันเยอะชักหิว”พรานแปะเสนอความคิด ที่ไม่มีใครปฏิเสธ

“ตาโส่ยลอบแกจะเอาไว้ตรงไหน”พรานแปะร้องถาม ขณะที่เดินไปหยิบลอบดักปลา ซึ่งพรานเฒ่าวางไว้อย่างไม่แยแส

“เอาแขวนไว้แถวนั้นแหละ เอาปูห้วยมาเผากินกับน้ำพริกสักพวงสิ ไอ้แปะ”พรานชราร้อง ให้พรานแปะหยิบพวงปูที่แขวนไว้มาด้วยอีกพวง

“พี่แปะ แกงไก่จะอุ่นก่อนหรือเปล่า”พุ่มถาม ขณะที่กำลังช่วยเจ้าเคิ้งจัดเตรียมอาหารมื้อดึก

“เออ..ก็ดีเหมือนกัน แค่นี้ก็หนาวพอแล้ว ขออะไรๆที่มันอุ่นในท้องบ้างเถอะว่ะ”พรานแปะพูดจบก็โยนปูห้วย ที่หามาได้ลงไปในกองไฟที่ถูกพรากไว้ทั้งพวง

“จะมีอะไรที่ดีไปกว่าไอ้นี่วะ”พรานเฒ่าพูดจบก็งัดกระติกเหล้า ออกมาจากย่ามใบเก่า

“คืนนี้ล่อให้หมดนี้ล่ะ ไว้ถึงตอนเช้ามันจะบูดเอา”คำพูดของพรานเฒ่าเล่นเอาทั้งคณะหัวเราะ ยกเว้นเจ้าเหน๋อคนเดียวที่นั่งสัพงก

“แหม...ทีเหล้ากลัวว่ามันจะบูด แล้วปลาไม่กลัวมันเน่ารึลุงโส่ย ฮาๆ”สิงห์พูดพลางหัวเราะ

          กลิ่นของแกงไก่ หอมฉุยไปทั่วบริเวณที่พัก ผ้าใบผืนใหญ่ถูกนำมากางใหม่อีกครั้ง หลังจากที่ถูกพับเหน็บไว้กับง่ามไม้เมื่อตอนหัวค่ำที่ผ่านมา ข้าวในหม้อสนามตักไม่ค่อยจะเข้า เพราะมันทั้งแข็งและเย็นชืด ผิดกับต้อนที่มันสุกใหม่ๆ แกงไก่ป่าถูกอุ่นได้ที่ พร้อมๆกับปูห้วยหลายสิบตัวที่เผาจนสุก หลังจากพรานชราและลูกชาย ช่วยกันใช้ไม้เขี่ยไปมา ไม่นาน พวกมันก็ถูกวางไว้บนใบตองได้กองใหญ่ นอกจากปูห้วยเผาแล้ว ยังมีปลารมควันอีกไม้ใหญ่ ที่พรานชราทำเอาไว้ ก็ถูกนำมาเสริมอีกเมนู อาหารมื้อดึกก็พร้อมบริโภค

“ไม่กินข้าวด้วยกันเหรอ ไอ้เหน๋อ”สิงห์ร้องถาม เพื่อนเกลอที่ตอนนี้นั่งหลับนกอยู่ แต่ก็ไม่มีเสียงตอบสนองคนถามกลับมา

“ตะพาบจะทำอะไรกินดีตาโส่ย”พุ่มถามพรานเฒ่าจบก็ตักข้าวเข้าปากคำใหญ่

“แกงสิวะ ข้าว่าจะแกงใส่ผักกูดกับหยวกป่า ให้ไอ้สิงห์มันลองกินดู”พรานเฒ่าตอบ

“ใส่ยอดหวายด้วยสิลุงโส่ย”สิงห์เสนอความคิด

“เออ..ก็เข้าท่าดีว่ะ เอ็งสองตัว พรุ่งนี้ไปหาตัดยอดหวายมาแต่เช้านะ”พรานเฒ่าหันไปสั่งสองกะเหรี่ยงดง ที่ตอนนี้นั่งแทะปูจนปากมัน

“พวกฉันไปแล้วใครจะทำปลาล่ะ เยอะอยู่นะ”พุ่มเงยหน้าถาม

“เดี๋ยวข้าทำเอง พวกเอ็งก็ไม่ต้องทะลึ่งออกกันไปไกลนัก แค่ชายๆห้วยนี้ก็มีออกแยะ เลือกๆเอาแต่หวายดำมาละกัน จะได้ไม่ขม”พรานเฒ่าเสวนาตอบ พูดจบแกก็ตักน้ำพริกมาขยำข้าว

“เดี๋ยวพรุ่งนี้ข้าช่วยอีกคน”พรานแปะพูดเสริม ขณะที่บิปลารมควันโยนเข้าปาก

“ผมช่วยอีกแรงจะได้เสร็จไว้ ดูๆมันก็เยอะอยู่ ทั้งปลาทั้งกบ”สิงห์พูด ขณะก้มหน้าก้มตา ใช้ช้อนขูดมันปูจากกระดอง

“เออ..ก็ดีเหมือนกัน จะได้มีเวลาเดินเที่ยวเยอะๆหน่อย พรุ่งนี้ข้าว่าจะชวนเอ็งไปเดินเที่ยวหายิงนกยิงหนู”พรานแปะพูดจบก็ยกน้ำขึ้นดื่ม

“ลึกๆแบบนี้จะมีไก่ป่าให้ยิงหรือเปล่าพี่แปะ”สิงห์ร้องถามหลังจากตักมันปูเข้าปาก

“ไม่ค่อยมีหรอก ถ้าจะมีก็แถวๆโน่นล่ะ ที่เอ็งไปยิงกันมา”พรานแปะพูดจบก็ดุนท่อนฟืนเข้าไปในกอง

“ป่าไผ่ ป่ารวกแถวนี้ไม่ค่อยจะมี ป่ามันทึบ ถ้าจะมีก็คงจะเป็น ไก่ฟ้า”พรานแปะเสริมมาอีก

“ไก่ฟ้าไม่ไหวพี่แปะ เนื้อมันเหนี่ยวเหลือเกิน”สิงห์ร้องตอบ พูดจบก็โยนเศษก้างปลาและกระดองปู ที่ตัวเองนั่งกินเป็นกองให้หมาสองตัวที่นอนหมอบอยู่ข้างๆกองไฟ

“ก็แล้วแต่เอ็งแล้วกัน หรือเอ็งจะไปหายิงนกกระทาดง กับข้า”พรานแปะชักชวนมาอีก

“พี่แปะไปคนเดียวเถอะ พรุ่งนี้ผมว่าจะอยู่ช่วยลุงโส่ยแกทำกับข้าวกับปลา”สิงห์พูดจบก็กวาดข้าวคำสุดท้ายเข้าปาก

        เพียงเวลาไม่ถึง ครึ่งชั่วโมง อาหารรอบดึกก็หมดไปอย่างรวดเร็ว หลังจากทั้งหมดช่วยกันจัดเก็บสถานที่ ก็คงจะมีเหน๋อคนเดียว ที่นอนคลุมโปงอยู่บนผ้าใบ ยิ่งดึกยิ่งหนาว เรื่องจะอาบน้ำตอนนี้คงไม่มีอยู่ในหัวของทุกคน แม้แต่สิงห์เอง ถึงจะไม่ชอบนอนแบบเนื้อตัวยังเหนียวหนับแบบนี้ก็ตาม แต่วันนี้และคืนนี้ขอยกเว้นไว้สักวัน ที่เขาทำได้ดีที่สุดในตอนนี้คือ ลงไปล้างหน้าแปรงฟัน ใช้น้ำลูบตามเนื้อตามตัว แค่นี้ก็หนาวจนคางสั่น ส่วนบนแค้มป์ เจ้าสองกะเหรี่ยงหนุ่มต่างช่วยกันปูผ้าใบเพื่อเตรียมตัวนอน โดยมีพรานโส่ยนั่งดูดยาเส้น ข้างกองไฟอย่างสบายอารมณ์ ห่างออกไปไม่ไกลนัก พรานแปะนอนหนุนแขนบนเปลที่แกว่งไกวไปมาเอื่อยๆ โดยอีกมือคีบบุหรี่ใบตองแห้งห้อยอยู่ นานๆครั้งก็ยกขึ้นมาสูบจนปลายแดงวาบทีหนึ่ง ราวกับว่าคนสูบกำลังคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจเพียงลำพัง เสียฟืนแตกดัง เปรี๊ยะ ในกองไฟดังเป็นระยะๆราวกับใครจุดประทัดขนาดจิ๋ว พร้อมๆกับเสียง ฟู่ ของไอน้ำที่ดันตัวออกมาตามท่อนฟืน บ้างก็ดันออกทางปลาย บ้างก็ออกมาด้านท้าย และบางครั้งก็มียางเดือดปุดๆออกมา

“ยังไม่นอนอีกรึ ลุงโส่ย”สิงห์ร้องถาม ขณะเดินกอดอกขึ้นมาจากริมห้วย

“เดี๋ยวข้าก็ว่าจะนอนแล้วเหมือนกัน รอน้ำเดือด ว่าจะชงชาจิบแก้หนาวสักหน่อย”พรานชราพูดจบก็โยนท่อนฟืนลงไปในกองไฟอีกสองสามท่อน

“แหม..ดีแท้ลุง อยู่กลางป่ากลางดงอย่างนี้ ยังมีน้ำชาร้อนๆจิบอีก”สิงห์พูดจบก็เอาผ้าขนหนูผืนเล็ก พาดไว้กับเชือกที่ขึงหลังคาเปลสนาม

“ข้ามีติดมาประจำแหละ ของเก่าค้างปี จะทิ้งก็เสียดาย มันยังหอมอยู่”พูดจบแกก็ยกถุงชาขึ้นดม ดูแล้วไม่ผิดอะไรกับคนติดกาวยางน้ำ

“โอวันติน กาแฟ ก็มีนะลุง เยอะแยะ เอาหรือเปล่าล่ะ”สิงห์พูดพร้อมยกถุงโอวันตินและกาแฟ ให้พรานชราดู

“พุ่มกับเคิ้ง จะกินก็มาหยิบไปนะ พี่แขวนไว้ตรงนี้”พูดจบ สิงห์ก็แขวนถุงใส่โอวันตินและกาแฟ ไว้กับกิ่งไม้

“พี่แปะกินเปล่า กินอะไรอุ่นๆก่อนนอน จะได้หลับสบายๆ หนาวๆแบบนี้ล่ะดีแท้”สิงห์ร้องถามพรานแปะที่นอนแกว่งเปลเล่นอยู่เช่นนั้น แทนคำตอบ พรานแปะยกหัวแม่มือขึ้น บอกเป็นนัยๆกับสิงห์ว่า เยี่ยมมากไอ้น้อง

“ไอ้พุ่มจัดการให้ลูกพี่เอ็งเร็ว ฮาๆ”สิงห์พูดพรางหัวเราะ

“จะเอากาแฟ หรือโอวันตินล่ะ พี่แปะ”พุ่มร้องถาม

“โอวันติน”เสียงที่ตอบมาทำเอาสิงห์สะดุ้ง เพราะคำตอบไม่ได้มาจากพรานแปะ แต่เป็นเจ้าเพื่อนเกลอ ที่นอนคลุมโปงอยู่ เล่นเอาพรานเฒ่า ที่นั่งอยู่ใกล้ๆโพล่งออกมา

“ไอ้หอ กหัก ตะกี้เขาเรียกให้กินข้าว ไม่เสือ กจะกิน พอมีของดีหน่อยหูผึ่งเชียวเอ็ง”ไม่พูดเปล่า พอแกพูดจบก็สับมะเหงกลงไปบนหัวของคนที่อยู่ในโปงผ้าห่ม เล่นเอาทุกคนหัวเราะชอบใจ ยกเว้นแต่เจ้าเหน๋อคนเดียว คงขำไม่ออก

          เปลวไฟลามเลีย บนกองฟืนที่ถูกสุม นานๆครั้งก็ทรุดลงมา เพราะท่อนฟืนด้านล่างถูกเผาไหม้จนหมดสภาพที่จะรับน้ำหนักจากด้านบนได้ ที่ริมห้วยเบื้องล่าง เสียงแมลงต่างๆที่กรีดปีกดังลั่นเมื่อตอนหัวค่ำ ตอนนี้เริ่มเงียบเสียงลงแล้ว แต่ก็ยังมีแมลงบางชนิดที่ยังกรีดปีกเรียกคู่อย่างไม่ลดละ ตามพุ่มรกและหมู่หินริมห้วย เสียง ออดแอด ของเขียดป่าก็ยังมีแว่วให้ได้ยินเป็นระยะเช่นกัน ห่างออกไปในราวป่า เสียง ทึบๆของตุ๊กแกป่า ที่ร้องอยู่ในโพรงไม้ที่ไหนสักแห่ง เสียงของมันวังเวงดีพิลึก

          ที่ลานดินแคบๆข้างกองไฟ ผ้าใบสีดำผืนเก่า ถูกปูห่างจากกองไฟไม่มากนัก บนผ้าใบผืนนั้นเอง มีโปงผ้าห่มสีคร่ำคร่า ซึ่งภายในนั้น เด็กหนุ่มสองคนนอนเบียดเสียดกันอยู่ ถัดออกไปร่างของชายชรานอนคุดคู้อยู่ในโปงผ้าห่มเก่าๆ สภาพที่เห็นก็ไม่ได้แตกต่างจากสองกะเหรี่ยงดงมากนัก อากาศเย็นยะเยือกแบบนี้ขนาดคนมีเสื้อผ้าและผ้าห่มยังนอนสั่น นับประสาอะไรกับหมาสองตัวที่ติดตามไปด้วยจะไม่หนาว เจ้าพะบองหลังจากเดินกินเศษอาหารที่ตกตามพื้นจนไม่มีอะไรเหลือแล้ว มันก็นอนขดอยู่ใกล้ๆกองไฟ ส่วนเจ้าพะเปรียวก็ไม่ต่างกัน มันเดินหมุนไปหมุนมาเป็นวงสองสามรอบ เมื่อได้ตำแหน่งที่เหมาะแล้วก็ทิ้งตัวลงนอน โดยหูทั้งสองข้างของมันตั้งตลอดเวลา พรานแปะคงหลับไปแล้วเพราะมีเสียงกรนเบาๆแว่วมาจากในเปล ทุกคนหลับหมดคงมีแต่สิงห์คนเดียว ที่ยังนอนดูดาวอยู่ในเปลสนามของเขา แสงดาวระยิบระยับ เคร่ากับบรรยากาศที่เงียบสงบ แต่ก็ดูวังเวง ยิ่งนึกถึงตอนที่เขาไปพบเห็นหล่อนคนนั้นแล้ว พาลให้นอนไม่หลับ อากาศยิ่งเย็นยะเยือกผสมกับสภาพรอบๆตัวที่มืดมิดทำให้ต้องคิดหนัก หรือว่าเราจะตาฝาดไป แต่ให้ตายสิ ก็เราเห็นหล่อนเต็มตาขนาดนั้น มันเป็นไปได้อย่างไร จะเล่าให้ใครฟังก็คงไม่มีใครเขาเชื่อ จะว่าผีหลอก ก็ไม่น่าจะใช่ ผีอะไรจะสวยขนาดนี้ หรือว่าจะเป็นเจ้าแม่ตะเคียนอย่างที่ลุงโส่ยว่า แต่เธอก็ยังดูสาวเกินที่จะเรียกคำว่าแม่นำหน้า นางไม้หรือนางฟ้า น่าจะเหมาะสมกว่า สิงห์ใช้ความคิดอยู่นานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ มารู้สึกตัวอีกครั้งเมื่อได้ยินเสียง เปรี๊ยะ ของฟืนในกองไฟ ที่ตอนนี้เปลวไฟที่สว่างเริ่มมอดลงแล้ว รอบๆกองไฟเห็นเพียงเงาตะคุ่มๆ เมื่อยกนาฬิกาขึ้นดู เข็มบอกเวลาที่ ตีหนึ่งยี่สิบเก้านาที เขากะว่าจะลงจากเปลไปเติมฟืนในกองเพิ่ม เสร็จแล้วก็จะล้มตัวลงนอน ครั้นแล้วเขาก็ต้องตกใจ

นิยายยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะอะไรจึงทำให้ชายหนุ่มตกใจ? ไม่อาจทราบได้ โปรดติดตามหาความบันเทิงได้ต่อ ในตอนจบบทที่ 4 เร็วๆนี้

ผิดพลาดประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 5
ภาพที่ 2
ลุงโส่ย
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 5
ภาพที่ 3
พรานเบ
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 5
ภาพที่ 4
พรานพร กับผักป่าชนิดหนึ่งที่กินได้ ภาษากะเหรี่ยงเรียกว่า ผา-หมี่-เหย๋-ข๋วย
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 5
ภาพที่ 5
ที่นี้ล่ะ "ช่องผาแค้บ"
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024
siamfishing.com/content/view.php?cat=article&nid=46787