ภาพที่ 1บทที่ 4
ตอนที่ 3
แสงดาวสว่างสุกใสราวกับมณีแก้ว ที่ส่องแสงระยิบระยับแข่งกับพระจันทร์ข้างแรม เสียงหินในลำห้วยพลิกดัง กึกกัก แว่วมา ทำให้เขียดป่าที่ร้องระงมอยู่ในดงบอนเงียบเสียงลง ราวกับนัดกันไว้ จิ้งหรีดรองไนที่พากันกรีดปีกเซ็งแซ่ก็พากันเงียบจนหูดับ มีเพียงเสียงน้ำในลำห้วย และเสียง ออดแอด ของต้นไม้ที่โอนเอนไปมาตามแรงลมเอื่อยๆ อากาศเย็นยะเยือกผสมกับบรรยากาศที่วังเวงราวกับป่าช้า แต่ก็ไม่ได้ทำให้คณะหาปลาหวาดกลัวแม้แต่น้อย เสียงย่ำกรวดหินดังห่างออกมาเรื่อยๆ เขียดป่าที่ว่าเป็นใบ้ก็เริ่มส่งเสียงอีกครั้ง แรกๆก็มีตัวสองตัวที่ใจกล้านำร้องก่อน แต่อึดใจต่อมาก็พากันร้องระงมลำห้วยไปหมด
คืนนี้น่าจะหนาว สงสัยคงไม่ได้อาบน้ำแน่พรานแปะพูดจบ ก็ดูดยาเส้นที่คาบไว้จนปลายแดดวาบ
ขืนอาบคืนนี้มีหวังปอดบวมตายห่ าพรานโส่ยพูดเสริมออกมา พูดจบก็กราดไฟฉายไปตามแอ่งน้ำตื่นๆ
ผมคงดูอีกที ถ้าหนาวมากๆก็ไม่ไหว เป็นไข้มาจะลำบาก แต่ไม่อาบก็ไม่ไหวเหนียวตัวไปหมดสิงห์พูดจบก็ควักเหล้าแดงที่พกใส่กระติกขึ้นมาจิบ
มาลุงโส่ยพี่แปะ คนละจิบสองจิบแก้หนาวพูดจบพรานมือใหม่ก็ส่งกระติกน้ำ ที่ภายในนั้นมีเหล้าแดงอยู่เกือบครึ่ง ส่งให้พรานชราและพรานหนุ่ม
บ๊ะ! ค่อยอุ่นขึ้นหน่อย เอ๊าไอ้แปะตาเอ็งแล้วพรานเฒ่าร้องบอกหลังจากเหล้าเข้าไปอุ่นอยู่ในท้อง
ปลาสร้อยเยอะดีนะลุง เมื่อเย็นผมไล่ฟันไม่ได้สักตัวไว้จัด แต่กลางคืนลอยให้เห็นตัวเลยสิงห์พูดพลางกราดไฟฉายไปบนผิวน้ำ ที่ตอนนี้มีปลาสร้อยหลายสิบตัวว่ายลอยตัวให้เห็นบนผิวน้ำ
จะไปยากอะไรไอ้สิงห์ เดี๋ยวข้าจะจับให้เอ็งดูพรานชราพูดจบก็ถอดผ้าขาวม้าที่โพกหัวออก จากนั้นก็ร้องเรียกให้พรานแปะช่วยจับมุมของผ้าขาวม้าอีกด้าน ในลักษณะตามยาวของผ้า สิงห์เห็นเข้าถึงเอามือตบหน้าผากตัวเองดังฉาด
ปัดโถ่...เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไม่ผมถึงนึกไม่ออก ก็เอาผ้าขาวม้ามาทำสวิงช้อนปลาแบบง่ายๆ ข้าน้อยขอคารวะสิงห์พูดจบก็ส่งกระติกเหล้าให้พรานโส่ยและพรานแปะที่ยิ้มหลาคอยท่าอยู่แล้ว
ร้อนกระเพาะดีแท้ แบบนี้เดินส่องทั้งคืนไม่มีหนาว ฮาๆพรานชราพูดจบ ก็ชวนพรานแปะเดินลงไปช้อนปลาในแอ่งน้ำตื่นๆ
ไอ้สิงห์เอ็งส่องไฟให้ดีๆ เดี๋ยวข้ากับไอ้แปะจะช้อนปลาพรานชราหันไปบอกสิงห์ ที่ยืนส่องไฟอยู่ใกล้ๆ หลังจากคนทั้งสองลงไปในแอ่งน้ำนั้นแล้ว พรานโส่ยและพรานแปะ ก็ช่วยกันขึงผ้าขาวม้า โดยจับคนละมุม จากนั้นก็ค่อยๆจุ่มผ้าขาวม้าด้านหนึ่งในท่าเฉียงลงน้ำ จากนั้นก็ไล่ตักปลาสร้อยที่ว่ายบนผิวน้ำ พอได้จังหวะที่ปลาสร้อยเข้ามาอยู่ในผ้าขาวม้า หรือจะเรียกว่าสวิงจำเป็นก็ไม่ผิด สองพรานกะเหรี่ยงก็ค่อยๆยก ผ้าขาวม้าขึ้น
ไอ้สิงห์ เอ็งคอยจับปลาก็แล้วกันพรานแปะร้องบอก
แล้วจะเอาอะไรใส่ปลาล่ะ พี่แปะ หม้อไหก็ไม่ได้เตรียมมาด้วยสิงห์พูดขณะมีปลาสร้อยสี่ห้าตัวดิ้นอยู่ในมือ
ใส่ถุงหมากข้าก่อนก็ได้ เอ็งล้วงเอาแล้วกันอยู่ในย่ามข้าพรานชราพูดจบก็บุ้ยปากไปที่ย่ามใบเก่าๆของแก ที่ตอนนี้ถูกแขวนไว้กับกิ่งไม้
เอาถุงใส่ใบพลูก็แล้วกัน ใหญ่ดี ใบพลูผมถ่ายใส่ถุงหมากนะลุงโส่ยสิงห์พูดพลางหยิบใบพลูกำใหญ่ ใส่ไปในถุงหมากอีกใบ
พอได้ถุงเปล่าก็เอามาใสปลาสร้อยที่จับได้ ตลอดเส้นทางในลำห้วยเป็นไปอย่างสนุกสนาน ชายทั้งสามช่วยกันจับปลาอย่างเพลิดเพลิน แอ่งไหนเจอตัวใหญ่ก็ถูกพรานชราและพรานหนุ่มช่วยกันไล่ฟัน ตรงไหนมีปลาเล็กก็ช่วยกันไล่ช้อน ตัวไหนใหญ่หน่อยก็ร้อยเหงือกทำเป็นพวงถือ ตัวเล็กร้อยเหงือกไม่ได้ก็ใส่ถุงพลาสติก เพียงระยะเดินทางไม่ไกลนัก ก็ได้ปลาเวียน ปลากั้ง ปลาสร้อย รวมถึงกุ้งห้วยตัวโตๆ แต่ละตัวใหญ่เกือบเท่านิ้วนาง
ปลาเวียนและปลากั้ง ส่วนมากจะเป็นผลงานของเจ้าสองกะเหรี่ยงดง ที่เดินส่องนำหน้ามากันก่อนแล้ว ฟันทิ้งไว้ให้จับ มีบางตัวที่หลุดรอดสายตามาได้ แต่ก็ไม่หลุดรอดสายตาจากพรานชราและพรานแปะ ที่ช่วยกันส่องไฟ คอยให้สิงห์ถือพวงปลาและถุงใส่ปลาอยู่ข้างๆ ครั้งหนึ่งสิงห์ถึงกับสะดุ้ง เมื่อลำไฟฉายของเขากราดไปเจองู
ลุงๆ ระวังงูสิงห์ร้องออกมาดังลั่น เมื่อเห็นพรานเฒ่าเดินเฉียดเข้าไปใกล้
ร้องเสียตกอกตกใจหมด ปุดโถ งูกินปลาน่ะไอ้สิงห์พรานชราตอบ
ไอ้นิ มาขโมยกินปลา ที่ไอ้เคิ้งกับไอ้พุ่มฟันทิ้งไว้ ปลายังอยู่ในปากมันอยู่เลยพรานแปะพูดจบก็ทำท่าจะเอาไม้ฟาด
งูมีพิษหรือเปล่าพี่แปะ ถ้าไม่มีพิษมีภัยอะไรก็อย่าไปทำมันเลย แบ่งๆกันกินสิงห์ร้องห้าม
เออไอ้แปะ ข้าก็ว่าแบบไอ้สิงห์มัน ต่างคนต่างหากิน มันก็คงไม่รู้ว่าปลาเราเป็นคนหา ปล่อยมันไปเถอะพรานชราร้องทักมาอีกคน
มันน่าเคาะกบาลสักทีสองทีพรานแปะพูดจบก็เดินผละไป
อ้าว นั้นกบนี้หว่า นอนหมอบอยู่นั่นพรานแปะร้องบอก
กบอะไรพี่แปะสิงห์ร้องถาม
น่าจะกบขาสั้น แหนะ!ไวจริงนะเอ็ง เห็นไฟหน่อยทำหมอบพรานแปะร้องบอกขณะใช้ไฟฉายส่องจี้ไปที่กองใบไม้แห้งริมห้วย
ผัวะ!
โน้น อีกตัวไอ้แปะ กระโดดเข้าไปในดงแล้ว
วูบ!..ผัวะ!!
สิ้นเสียงไม้แหวกอากาศ กบเคราะห์ร้ายทั้งสองตัวก็ถูกมัดด้วยเถาวัลย์ ถูกอย่างที่พรานแปะบอก มันเป็นกับขาสั้นทั้งสองตัว กบขาสั้นเป็นกบที่ตัวไม่ใหญ่นักลักษณะเหมือนกบนา โตเต็มที่ใหญ่ไม่เกินกำมือ ซึ่งมีอยู่ชุกชุมตามลำห้วยสายนี้ พรานแปะและพรานโส่ย เลือกจับกบขาสั้นที่ตัวโตเต็มที่ ส่วนตัวไหนเล็กไม่ได้ขนาดก็ปล่อยให้เจริญเติบโตต่อไป เพราะเหตุนี้ป่าแถบนี้จึงยังอุดมสมบูรณ์ไปด้วยแหล่งอาหาร ผิดกับโลกภายนอกที่เจริญแล้ว บทที่จะหาก็หากันแทบสูญพันธ์ ตัวอย่างมีให้เห็นออกบ่อย
นั่นใช่กบหรือเปล่าลุงโส่ย ใกล้ๆโคนไม้นั่นสิงห์พูดพลางส่องไฟฉายไปที่แสงแวววาวสีขาวเล็กๆ ที่ส่องกระทบแสงไฟ
ไอ้ที่เอ็งเห็น นั่นมันตาแมลงมุมพูดจบพรานชราก็ค่อยๆย่องเข้าไปใช้สันมีดฟันปลากั้งที่นอนซุกอยู่ในเศษใบไม้ริมห้วย
ตากบมันต้องเป็นแบบนี้สิงห์พรานแปะกระซิบบอกพรานสมัครเล่น
เห็นไหม ตาแมลงมุมมันจะใกล้ๆกัน แต่ตากบมันจะใหญ่และอยู่ห่างกันมาก กบมันตัวใหญ่กว่าแมลงมุมพรานแปะอธิบายพลางจี้ไฟฉายไปที่ตากบ
ตัวนี้ขอผมจัดการเองพี่แปะสิงห์พูดจบก็ก้มลงไปหยิบไม้แห้งท่อนหนึ่ง จากนั้นก็ค่อยๆเดินย่องหมายที่จะใช้ไม้หวด แต่มันไม่ได้ง่ายอย่างที่เขาคิดไว้ จังหวะที่เหนี่ยวแขนเพื่อนจะตีกบเต็มแรง ไม้แห้งเจ้ากรรมดันหักเสียก่อนกลางอากาศ ส่วนกบขาสั้นตัวที่สิงห์หมายตาไว้ ดวงคงไม่ถึงฆาต เลยรอดตายไปอย่างหวุดหวิด แถมก่อนจะกระโดดเขาไปในพงรกมันยังฉี่เป็นทางยาว เล่นเอาพรานกะเหรี่ยงทั้งสองที่เฝ้ามองอยู่หัวเราะชอบใจ
ฮาๆ ดีนะที่มันไม่เยี่ยวรดหน้าเอ็งพรานชราพูดพลางหัวเราะ
โน้นๆ มีอีกตัว คราวนี้อย่าให้พลาดนะเว้ย ฮาๆพรานแปะแหย่อีกคน
ม้งไม้ ไม่ใช้มันแล้ว มือตะปบเลยดีกว่าพูดจบสิงห์ก็ตะปบกบขาสั้นอีกตัวที่นอนหมอบซุกตัวอยู่ในแอ่งน้ำตื้นๆ
เบาๆไอ้สิงห์ เดี๋ยวก็ล้มหน้าแหกพรานโส่ยร้องเตือน
ไอ้สองตัวมันเดินย้อนกลับมาทำไม่ของมันพรานแปะร้องหลังจากเห็นลำไฟฉายส่องวูบวาบมาทางนี้
เจอตัวอะไรเข้าล่ะมั่งสิงห์เสริมมาอีกคน พูดจบก็ส่งกบขาสั้นที่จบได้ ให้พรานชราผูกเอวเข้ากับเถาวัลย์
เฮ้ย พวกเอ็งกลับมาทำไมพรานแปะร้องทัก สองกะเหรี่ยงหนุ่ม
ฉันว่าจะกลับไปเอาปืนที่แค้มป์ ตะกี้ส่องไฟเจออีเห็นพุ่มร้องขณะยืนหอบ
จะกลับให้เสียเวลาทำไม กว่าเอ็งจะย้อนกลับมา มันก็เปิดไปยันไหนแล้ว มันคงไม่รอลูกปืนเอ็งให้โง่หรอก ไอ้พุ่มพรานชราโพล่งออกมา
ได้อะไรมาบ้างล่ะ เห็นไปกันตั้งนานสิงห์หันไปถามเคิ้ง แทนคำตอบกะเหรี่ยงดงก็ล้วงไปในย่ามที่ตัวเองสะพายอยู่ ภาพที่ปรากฏทำเอาสิงห์ถึงกับผงะ กบธูปหรือกับทูดตัวใหญ่ขนาดฝ่ามือสองตัว ถูกมัดเอวด้วยเถาวัลย์อย่างแน่นหนาคู่กัน เมื่อกะด้วยสายตาแล้วสิงห์คิดว่าไม่น่าต่ำกว่ากิโล
โอโฮ้..ตัวใหญ่ดีแท้สิงห์พูดพลางหยิบพวกกบธูปที่เคิ้งส่งให้ดู
ไอ้เคิ้งมันแพ้ผมพี่สิงห์ ผมได้สามตัวพุ่มพูดจบก็ดึงพวงกบธูปในย่ามของตัวเองโชว์ให้สิงห์ดู
โถ่..ไอ้พุ่มถ้าเอ็งไม่แย่งข้า ข้าก็ชนะเอ็งไปแล้วเคิ้งบ่นคู่แข่ง
ข้าเห็นก่อนโว้ย เอ็งเดินเลยไปเองนี่หว่าพุ่มเถียง
ถึงว่าได้ยินเสียงเอะอะโวยวายอะไร ที่แท้ก็เถียงกันเรื่องกบ ฮาๆสิงห์พูดพลางหัวเราะ
แต่ถ้านับกบขาสั้น ข้าชนะเอ็งแน่ไอ้พุ่มพูดจบเคิ้งก็ล้วงพวงกบขาสั้นขึ้นมาอีกพวง
กบขาสั้นไม่นับโว้ย ข้าหาแต่กบธูป เอ็งไม่ได้บอกให้ข้าหาด้วยนี่หว่าพุ่มเถียงจนหน้าแดง
ข้าบอกว่าใครหากบได้มากคนนั้นชนะ เอ็งฟังไม่ดีเองเคิ้งเถียงข้างๆคูๆไม่ยอมแพ้ง่ายๆ
เออๆพวกเอ็งสองคนไม่มีใครแพ้ ไม่มีใครชนะ เถียงกันอยู่ได้ ฮาๆ เอาเป็นว่าพี่ให้เสมอกันก็แล้วกันสิงห์สรุปผล เมื่อได้คำตอบที่ฟังดูแล้ว ไม่มีใครได้เปรียบใคร ทั้งสองกะเหรี่ยงคู่ปรับจึงหยุดเถียงกัน ว่าใครแพ้ใครชนะ
สรุปว่าเคิ้งได้กบธูปมาสองตัว แต่ก็มีกบขาสั้นแถมมาด้วยอีกหกเจ็ดตัว ส่วนพุ่มได้กบธูปมาสามตัว กบขาสั้นไม่ได้จับมาด้วย ก็ถือว่าการตัดสินของสิงห์ยุติธรรม เพราะกบขาสั้นที่เคิ้งได้มา ถ้าเอามารวมๆกันแล้วขึ้นกิโลชั่ง ก็ยังเบากว่ากบธูปของพุ่มหนึ่งตัว จากที่ได้มาสามตัว แต่ถ้าจะให้พุ่มชนะ เพราะได้กบธูปมากกว่าหนึ่งตัวก็ไม่ถูก หรือนับจำนวนกบพุ่มคงแพ้เคิ้ง แต่ถ้าเทียบน้ำหนักรวมแล้วพุ่มชนะขาด กบธูปของพุ่มที่จับมาได้แต่ละตัวใหญ่โตหนักร่วมกิโล
เวลาผ่านไปเกือบสองชั่วโมงที่คณะหาปลาทั้งห้าคน เดินลัดเลาะไปตามลำห้วยสายนั้นเงียบๆ มีเพียงเสียงพูดคุยกันเบาๆของสิงห์และพรานชรา ที่เดินเคียงคู่กันอยู่ท้ายขบวน ปล่อยให้กะเหรี่ยงดงอีกสามคนเดินนำหน้าไปไม่ห่างนักที่นานๆครั้งจะมีเสียงคุยแว่วมาให้ได้ยิน ทั้งสามเดินส่องไฟอย่างเงียบเชียบ บางครั้งก็ส่องตามพุ่มไม้บ้าง ยอดไม้บ้าง ครั้งหนึ่งพรานแปะส่องพบตัวอะไรชนิดหนึ่งบนยอดยางสูงริบ เห็นเพียงดวงตาที่กระทบแสงไฟฉายแวววาว พอสิงห์เดินมาใกล้ก็ส่องไฟฉายให้สิงห์ดู
ตัวอะไรหรือพี่แปะสิงห์กระซิบถาม
บ่างพรานแปะตอบมาเบาๆ พูดจบก็ลดไฟฉายที่ส่องอยู่ลง
เสียดายไม่ได้เอาปืนมาด้วย ไอ้ตัวนี้ แกงเพี้ย เรี่ยมเลยพรานโส่ยเสริมมาอีกคน
อย่าไปสนใจมันเลยลุงโส่ย เรามาหาปลาหากบสิงห์พูดจบก็เดินส่องไฟไปตามดงบอน
กู้ลอบก็พอแล้วมั๊งตาโส่ย กบปลาเราก็ได้เยอะแยะแล้วพรานแปะหันมาถามพรานชรา
เออ ข้าก็คิดแบบเอ็งไอ้แปะ กู้ลอบเสร็จก็น่าจะกลับแค้มป์ได้แล้วพรานชราตอบ
โน้นไง จะถึงแล้วสิงห์พูดหลังจากส่องไฟฉายไปที่ตะเคียนใหญ่ ที่ตอนนี้เห็นเพียงเงาตะคุ่มๆน่ากลัว ผิดจากเมื่อตอนเย็นที่พอจะเห็นอะไรเป็นอะไรได้บ้าง แต่มาตอนนี้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบตัวดูมืดทะมึนวังเวงจนน่าขนลุก บวกกับบรรยากาศที่เย็นยะเยือกด้วยแล้วยิ่งทำให้บริเวณนี้น่ากลัวขึ้นไปอีก ถ้ามีคนที่ขวัญไม่ดีมีหวังจับไข้หัวโกร๋นแน่ๆ ขนาดสิงห์เองก็ไม่ค่อยเชื่อเรื่องอะไรพวกนี้อยู่แล้วยังหนาวๆร้อนๆ เพราะก็เคยรู้กิติศักดิ์ของต้นตะเคียงมาบ้างว่ามีความขลังอย่างไร ลำพังถ้าเป็นตะเคียนที่ขึ้นอยู่แถวบ้านก็ไม่เท่าไหร่ แต่นี้มันตะเคียนที่อยู่กลางป่ากลางดงอย่างนี้ คนกล้าๆก็ยังหนาว ทั้งหมดมาหยุดอยู่ที่ริมห้วยตอนหนึ่ง ซึ่งเบื้องหน้าต้นตะเคียนใหญ่ยืนต้นทะมึนอยู่
วังเวงดีพิลึกสิงห์กระซิบ
ข้าก็ว่าแบบเอ็ง ไอ้สิงห์พรานชรากระซิบตอบ
อ้าว...แล้วลุงพามาดักลอบตรงนี้ทำไม่เล่าสิงห์ร้อง
ทีนี้ใครจะเข้าไปดูล่ะสิงห์พูดพลางมองหน้าทุกคน
แกนั่นล่ะตาโส่ย ที่ดักมีออกเยอะแยะคิดยังไง ทะลึ่งมาดักเอาที่โคนต้นตะเคียนพรานแปะโพล่งออกมาเบาๆ
ตอนที่เห็นข้าว่าที่มันเหมาะดีพรานชราตอบออกมาอ้อมแอ้ม
มันน่านัก ไป ไปกันหมดนี้ล่ะพรานแปะพูดจบก็พาเดินนำขบวน
ลอบแกดักไว้ตรงไหนล่ะพรานแปะพูดพลางใช้ไฟฉายส่องไปรอบๆ
โคนต้นตะเคียนนั้นไง ตรงริมห้วยเห็นไม้หลักปักอยู่นั่นพรานชราพูดจบก็ส่องไฟฉายไปยังตำแหน่งที่ดักลอบไว้ ทั้งห้าคนเดินไปยังตำแหน่งที่ชายชราดักลอบ หลังจากยกกิ่งไม้ใบไม้ที่เอามาปิดพรางไว้ ทุกคนถึงกับร้องออกมาด้วยความดีใจ โดยเฉพาะสิงห์ถึงกับไม่เชื่อสายตาตัวเอง ภายในลอบมีสัตว์อะไรชนิดหนึ่งสีกระดำกระด่าง แวบแรกที่เขาเห็นคิดว่ามันเป็นใบไม้เน่าสีดำๆด่างๆหลุดเข้าไปในลอบ แต่เมื่อพิจารณาดูให้ดี สิ่งที่เขาเห็นมันไม่ใช่ใบไม้เน่าอย่างที่เขาคิดไว้ เพราะนอกจากขาทั้งสี่ข้างที่ตะเกียดตะกายไปมาแล้ว ลำคอที่ยาวผิดรูปขนาดนั้น ใช่แล้วมันเป็นตะพาบน้ำ ตะพาบป่าที่ตัวเขาเองไม่คิดว่าจะมีอยู่จริง
ฮาๆเป็นยังไงไอ้สิงห์ ทีนี้เอ็งเชื่อข้าหรือยัง ว่าตะพาบน้ำมันมีจริงพรานชราพูดอย่างความภูมิใจกับผลงานที่ได้มา
เชื่อแล้วลุงโส่ยสิงห์ตอบอย่างตื่นเต้น พลางช่วยพรานเฒ่ากู้ลอบดักปลาขึ้นมาจากลำห้วย เมื่อยกลอบขึ้นมาจากน้ำ ทุกคนก็เห็นตะพาบน้ำอย่างเต็มตา ขนาดของมันใหญ่เท่าสองมือกางๆ ดูแล้วไม่น่าจะหลงเข้าไปติดลอบได้เลย เมื่อเทียบขนาดตัวมันกับลอบ อาจเป็นไปได้ที่พรานเฒ่าเคยบอกว่า ปลาที่หลงเข้าไปติดลอบอาจจะเป็นเหยื่อล่อชั้นดีของตะพาบน้ำก็ได้
แบบนี้ไม่น่าต่ำกว่ากิโลครึ่งพรานแปะร้องบอกพลางใช่ไม้เขี่ยตะพาบ ที่หดหัวเข้าไปในกระดองนิ่มๆของมัน
มีปลาเวียนโดนกินไปเกือบครึ่งตัวเคิ้งร้องทักมาอีกคน ขณะที่ส่องไฟฉายสำรวจดูลอบดักปลา
สงสัย มันคงเข้าไปกินปลาที่ติดอยู่ข้างในพุ่มเสริมมาอีกคน พูดจบก็วางพวงปลาที่หิ้วมา ไว้บนแผ่นหินเรียบๆก่อนหนึ่ง
สงสัยแม่ตะเคียนจะให้โชคเราพรานชราพูดจบก็ยกมือไหว้ท้วมหัว แล้วพูดต่อขึ้นมาอีกว่า
พรุ่งนี้ลูกช้างจะแกงป่ามาถวายพรานโส่ยพูดออกมาเสียงดัง ความเชื่อกับคนป่าอยู่คู่กันมาช้านาน ความจริงแล้วคงไม่มีแม่ตะเคียนอะไรมาอยู่กลางป่ากลางดงแบบนี้ถ้าสามารถทดลองทางวิทยาศาสตร์ได้ อาจจะเป็นเพราะความกลัวบวกกับสิ่งแวดล้อมรอบๆตัว ทำให้คนจินตนาการไปต่างๆนาๆ จึงทำให้จิตใจไม่มั่นคง พอจิตใจไม่สงบก็เกิดความกลัว มองเห็นอะไรก็พาลให้เห็นเป็นสิ่งต่างๆมาหลอกหลอนตัวเอง เห็นเงาไม้ไหวๆก็พาลว่าเป็นผีมาหลอก แต่ของแบบนี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่
สิงห์มองชายชราอย่างศรัทธาในคำพูดของแก ถึงแม้จะอดนึกขำไม่ได้กับสิ่งที่แกทำ ถ้ามองในทางที่ดี มันก็เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่ง ซึ่งเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ ให้ทุกคนไม่เกิดความกลัว สิงห์เองก็ยอมรับในข้อนี้
ชายหนุ่มผละเดินแยกออกมาจากกลุ่มกะเหรี่ยงดง มายืนส่องไฟสำรวจรอบๆต้นตะเคียนใหญ่ตามลำพัง แต่ก็ไม่ห่างจากกลุ่มมากนัก ลำไฟฉายของเขาส่องวูบวาบไปตามเรือนยอดของตะเคียนยักษ์ แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติไปจากต้นไม้ชนิดอื่น คือมีแต่ใบหนาทึบไปหมด เมื่อไม่มีอะไรน่าสนใจนอกจากยอดไม้ ก็ส่องไฟไล่ไปตามคาคบของต้นตะเคียน กิ่งขนาดใหญ่โตกางแผ่ ดูโปร่งตาแต่ก็รุงรังไปด้วยรากที่งอกยาวเป็นสาย ราวกับว่ามีใครเอาผ้าม้านบางๆมาแขวนไว้ เขากราดไฟฉายไล่ไปตามคาคบไม้เรื่อยๆ ทันได้นั้น เมื่อลำไฟฉายของเขาจับหยุดนิ่งกับอะไรชนิดหนึ่งระหว่างกิ่งใหญ่ของตะเคียนยักษ์ สิงห์ถึงกับผงะเกือบจะหงายหลัง
ภาพที่เขาเห็นคือ มีอะไรบางอย่างอยู่บริเวณคาคบใหญ่นั้น รูปร่างสัณฐานเหมือนมนุษย์ ใช่แล้วสิ่งที่เขาเห็นคาตานั้นคือมนุษย์นั้นเอง ถ้าเขาเข้าใจไม่ผิดมนุษย์ที่เขาเห็นน่าจะเป็นสุภาพสตรีเสียด้วย แต่ก็อดที่จะประหลาดใจไม่ได้ ว่าผู้หญิงที่ไหนจะขึ้นไปนั่งสบายใจเฉิบอยู่บนต้นตะเคียนสูงลิบ ทำให้คนมองต้องขยี้ตาอยู่หลายครั้ง!
................นิยายยังไม่จบเพียงแค่นี้ สิงห์จะพบกับใคร แล้วหญิงสาวปริศนาที่เขาเห็นล่ะคือใคร? โปรดติดตามความบันเทิงได้ต่อในบทที่ 4.4 เร็วๆนี้...............
ผิดพลาดประการใด ผมนายหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
ภาพที่ 2เจ้าเคิ้ง กับ พรานเบ กำลังช่วยกันทำปลาเวียน ที่หาได้ในห้วย
ภาพบน
ปลากั้ง/ปลาก้าง ที่เคิ้งและพุ่ม สองกะเหรี่ยงดงฟันทิ้งไว้ให้เก็บ ตลอดลำห้วย
ภาพที่ 3พรานพร กับกบทูด/กบธูป ที่หาได้
ภาพที่ 4ลุงโส่ย กับตะพาบน้ำ ที่หามาได้
ตะพาบน้ำที่ได้ ถ้ามีขนาดเล็กกว่าฝ่ามือกางๆ จะถูกปล่อยให้เจริญเติบโตต่อไป เพราะเหตุนี้ พวกมันจึงพบเห็นได้บ่อยในป่าทึบผืนนี้
ภาพที่ 5เจ้าพะเปรียว กับหมอนธรรมชาติที่เอามาหนุนหัว (แข็งไปมั๊ย)
ออ..ที่เห็นส่วนหางแว๊วๆ คือเจ้าพะบองครับ ตอนนั้นมันยังมีชีวิตอยู่ รู้สึกว่าช่วงที่ผมไปจะเป็นช่วงที่อากาศหนาวมาก หมาเลยชอบมานอนใกล้กองไฟ บ่อยครั้งที่พวกมันมานอนใกล้จนเกินไป ทำให้ไฟที่ติดตามฟืนที่มันไปนอนหนุน ไหม้ขนเข้าให้ ก็เป็นเหตุการณ์ที่เห็นอยู่เป็นประจำ โดนทีก็ร้องจนตกอกตกใจ