สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 28 ธ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 2 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 22 - [22 ธ.ค. 55, 23:47] ดู: 3,689 - [25 ธ.ค. 67, 01:06] โหวต: 11
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 2
หนุ่มธุดงค์ไพร (711 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
31 พ.ค. 54, 09:03
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 4 ตอนที่ 2
ภาพที่ 1
บทที่ 4

ตอนที่ 2

          บริเวณพื้นที่ราบตอนหนึ่ง ซึ่งถูกขนาบด้วยภูเขาทั้งสองฝั่ง โดยมีลำห้วยกว้างไม่เกินวากั้นกลาง อีกด้านจะติดกับผาหิน ส่วนอีกฝั่งเป็นตีนเขา ซึ่งพอจะมีที่ราบไว้ใช้สอยกว้างไม่เกินสิบวา พื้นที่นั้นถูกปกคลุมไปด้วยต้นไม้หลากหลายขนาด ทั้งไม้พุ่มและไม้ยืนต้นขนาดใหญ่อย่างเช่น ยางนา ยวนหรือต้นผึ้ง ส่วนไม้เล็กไม้น้อยก็ขึ้นอยู่ประปรายแต่ก็ไม่รกมากนัก พรานเบพาเดินมาถึงจุดที่ทั้งคณะพอจะอาศัยพักแรมได้ หลังจากเดินสำรวจพื้นที่จนทั่วบริเวณดีแล้ว ก็เลือกเอาพื้นที่ ที่ดูไม่รกนักได้ตรงใต้ซุ้มชงโคใหญ่ต้นหนึ่ง เมื่อได้สถานที่แล้ว ทุกคนก็ช่วยกันใช้มีดถากถางไม้เล็กไม้น้อยที่ขึ้นเกะกะ ชั่วอึดใจก็ได้สถานที่พักที่ดูโปรงโล่งสบายตา จากนั้นก็แบ่งหน้าที่กันทำงาน พรานเบกับพรานพรทำหน้าที่หาฟืนสำหรับใช้ตลอดคืนนี้ พรานแปะกับเหน๋อช่วยกันทำชั้นวางของแบบง่ายๆ พุ่มกับเคิ้งออกไปหาตัดไม้ไผ่โดยมีหมาสองตัววิ่งติดตามไปด้วย ส่วนสิงห์และพรานโส่ยเตรียมหุงข้าว ทุกอย่างทำไปอย่างไม่รีบเร่งนักเพราะคณะเดินทางทั้งหมดมาถึงจุดหมายเร็วกว่าที่คิดไว้

          ลมพัดยอดไม้ไหวดังซู่ซ่าเป็นเกลียวคลื่นไล่มาเป็นละลอก คล้ายๆเสียงฝนตก นกเงือกฝูงหนึ่งบินผ่านหุบอย่างเชื่องช้า เสียงลมผ่านปีกอันใหญ่โตของมันดัง หวือๆ ฟังได้ชัดเจน ไกลออกไปเสียงชะนีป่าร้องโหยหวนแว่วมาให้ได้ยิน เสียงของมันฟังแล้วดูเศร้าวังเวงราวกับว่า ป่าทั้งป่ามีมันอยู่เพียงตัวเดียว ถัดออกมาที่ลำห้วยไหลระริกปะทะแก่งหินน้อยใหญ่ ที่อยู่ต่างระดับกันทำให้เป็นน้ำตกขนาดเล็ก น้ำใสมองเห็นกรวดหินขนาดต่างๆกันหลากสี ครั้นต้องแสงอาทิตย์ยามเย็นก็เปล่งประกายระยิบระยับสวยงาม ราวกับว่ามีใครแกล้งนำเพชรพลอยหลากสีมาโปรยทิ้งไว้

“รอยหมูป่าขุดดินไว้เพียบเลย”พรานเบพูดจบก็โยนท่อนฟืนแห้งที่แบกมา ลงพื้นดังโครม

“สงสัยเป็นหมูฝูง น่าจะสองสามวันมาแล้ว”พรานพรเสริมมาอีกคน พูดจบก็ทิ้งท่อนฟืนขนาดเท่าโคนขา ที่ตัวเองแบกมาลงพื้นอีกโครม

“ไอ้สองตัวนั้นยังไม่มาอีกหรือวะไอ้แปะ”พรานเบพูดพลางใช้มีดเหน็บฟันฟืนแห้งเป็นท่อนๆ

“ยังไม่เห็นมันโผล่มาเลย ไม่รู้ว่ามันไปยันไหน”พรานแปะตอบขณะใช้เถาวัลย์ผูกแคร่ไม้สำหรับทำชั้นวางของแบบหยาบๆ

“คงจะหายิงนกยิงหนูไปตามเรื่อง”เหน๋อพูดพลางหยิบกิ่งไม้ที่สำหรับใช้ทำแคร่ส่งให้พรานแปะ

“จะไปยิงอะไรได้ ปืนแก๊ปมันก็แขวนไว้อยู่นี่”พรานพรโพล่งออกมา พร้อมบุ้ยปากไปที่ปืนแก๊ปคู่ใจของสองหนุ่ม ที่ตอนนี้ถูกแขวนไว้กับต้นไม้

“ไม่รู้มันจะไปหาโคต รพ่อ โคต รแม่มันถึงไหน ไอ้ห่ าพวกนี้”พรานชราบ่นเสียงดังมาจากริมลำห้วย

“ก็โคต รเดียวกับลุงโส่ยนั้นล่ะ ไอ้เคิ้งมันก็ลูกลุงไม่ใช่รึ” คำตอบของสิงห์ทำเอาพรานเฒ่าถึงกับสะดุ้ง เล่นเอาทุกคนที่ได้ยินพากันหัวเราะ

          กองไฟกองใหญ่ถูกจุดขึ้นในไม่ช้า สิงห์และพรานโส่ยช่วยกันลำเลียงหม้อสนาม ขึ้นราวไม้เตรียมหุงข้าว พรานแปะและพรานพร แยกตัวออกไปผูกเปลเตรียมที่นอนอยู่ข้างๆ ห่างจากกองไฟประมาณสองวา ซึ่งด้านนั้นมีต้นไม้ขนาดขาอ่อนขึ้นอยู่ห่างๆกัน แต่ก็พอที่จะใช้ผูกเปลนอนได้อย่างสบาย ถัดออกไปเหน๋อกำลังง่วนอยู่กับการจัดของบนแคร่ไม้โดยมีพรานเบเป็นลูกมือ คอยส่งของให้อีกแรง เสียงคนคุยกันงึมงัมดังมาจากดงทึบเบื้องหน้า แต่ไม่กี่อึดใจเจ้าของเสียงก็โผล่มาให้เห็นคือเจ้ากะเหรี่ยงหนุ่มสองคน

“นั่นไงมากันแล้ว แล้วนั่นหิ้วอะไรมาเป็นพวงเลย”สิงห์ยืนมองพร้อมพูดออกมาอย่างสงสัย

“ปูห้วยครับพี่สิงห์ มีแต่ตัวใหญ่ๆเลยจับมา กะจะเผากินเสียหน่อย”เคิ้งตอบพลางชูพวงปูห้วยตัวเขื่อง ที่ถูกผูกด้วยตอกเป็นพวงใหญ่ไม่ต่ำกว่าสิบตัว ส่วนที่บ่าก็แบกกระบอกไม้ไผ่มาด้วย

“คืนนี้ผมจะพาพี่สิงห์ไปส่องปลาแถวๆโน่น ปลาเวียนตัวสวยๆเยอะแยะเลย”พุ่มพูดพลางชี้มือไปทางจุดหมายที่จะไปคืนนี้ พูดจบก็โยนกระบอกไม้ไผ่ลำยาวเกือบสองวาลงพื้น

“เดินล้วงปูเพลินไปหน่อยเลยมาช้า”เคิ้งพูดจบก็เอาพวงปูไปแขวนไว้ที่แคร่ไม้

“แหม..ตัวโตๆทั้งนั้นเลย เผากินคงจะมันน่าดู”เหน๋อพูดหลังจากหยิบพวงปูห้วยขึ้นดู

“แล้วไก่ป่าสองตัวนี่ จะทำอะไรกินดี”เหน๋อหันมาถามชาวคณะ

“แกงป่าซิว่ะ มาเที่ยวป่าก็ต้องกินแกงป่า”พรานชราพูดขณะใช้กิ่งไม้แห้งเล็กๆต่อไฟจากกองมาจุดมวนยาเส้นที่แกคาบอยู่

“แกงใส่ยอดเต่าร้านก็เข้าท่าดีนะ”พรานแปะเสนอเมนู พูดจบก็ชี้มือบอกให้พุ่มและเคิ้งช่วยกันตัดต้นเต่าร้าน ที่ขึ้นอยู่เป็นกลุ่ม ตรงบริเวณตีนเนินริมห้วย เต่าร้านลักษณะเหมือนต้นหมากถูกตัดสองต้น โดยพุ่มเลือกตัดต้นที่มีขนาดเล็กกว่าโคนขา พอตัดจนล้มแล้ว ก็ใช้มีดฟันบริเวณเกือบถึงยอดที่มีกาบของก้านใบห่อหุ้มอยู่ จากนั้นก็ผ่าแบะออกมา ซึ่งส่วนที่เป็นยอดอ่อนจะอยู่ภายในกาบนั้น ลักษณะเดียวกับยอดมะพร้าว ยอดตาวร้านสีขาวมีรสขมเล็กน้อยถูกนำมาล้างทำความสะอาดที่ริมห้วยนั้น โดยเจ้าเคิ้งเอามีดสับเป็นท่อนๆยาวไม่เกินนิ้วก้อย จากนั้นก็เอาใบตองที่หาได้ใกล้ๆนำมาห่อยอดตาวร้านได้ห่อใหญ่

“พริกแกงไม่ต้องตำใหม่นะ ข้าตำเผื่อไว้แล้วเมื่อตอนบ่าย ห่อใบตองอยู่ในย่ามนั่น”พรานโส่ยพูดเมื่อเห็นสิงห์เตรียมจะตำพริกแกงป่า

“ดีเลยผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อย อ้าวนั่นลุงโส่ยทำอะไร”สิงห์หันมาทางพรานชรา ซึ่งตอนนี้กำลังนั่งเหลาไม้ไผ่อยู่

“ข้าว่าจะทำลอบไว้ดักปูดักปลาคืนนี้สักหน่อย”พรานโส่ยพูดพลางก็เหลาไม้ไผ่ไปพลาง ซึ่งสิงห์เองก็ให้ความสนใจอยู่ไม่น้อย

“ไก่ป่าเอามาย่างไฟอีกหน่อยก็ดี กลิ่นชักจะไม่ค่อยดีแล้ว”พรานเบพูดจบก็เอาไม้คีบไก่มาพาดอิงกับราวแขวนหม้อสนาม ซึ่งตอนนี้ข้าวภายในหม้อเริ่มจะเดือดแล้ว พอไก่เริ่มร้อนส่งกลิ่นหอมได้ที่ พรานเบก็นำไก่ไปสับ กับท่อนไม้ที่ตัดแล้วถากส่วนของผิวจนเรียบแทนเขียงเป็นชิ้นเล็กๆพอคำ ชั่วเวลาไม่ถึงอึดใจ ก็ได้ไก่ป่าสับห่อใหญ่

          พริกแกงถูกคั่วในหม้อใบกระดำกระด่างจนหอมฉุย โดยเหน๋อวันนี้รับเป็นพ่อครัว กลิ่นของพริกแกงป่าหอมฉุยจนทุกคนจามกันทั่วหน้า พอได้ที่ดีแล้วพ่อครัวจำเป็นก็เทไก่ป่าสับลงไปผัดคลุกเคล้าจนทั่ว พอไก่เริ่มสุกก็นำยอดเต่าร้านที่พรานพรนั่งซอยเป็นฝอยๆแล้วแช่น้ำไว้ ลงไปผัดอีกครั้ง พอกะว่าสุกๆดิบๆก็ปรุงรสด้วยเกลือป่น กับข้าวป่าปราศจากผงชูรสก็เสร็จ แต่ก็ยังไม่สมบูรณ์ เพราะก่อนที่จะยกลงจากเตาไฟ ที่ใช้หินก้อนเขื่องมาทำเส้า พ่อครัวหัวป่าก็ฉีกใบชะพลูที่เจ้าพุ่มเก็บมาให้อีกกำใหญ่ แกงป่าไก่ใส่เต่าร้านจึงมีกลิ่นหอมยั่วน้ำลายเพิ่มขึ้นไปอีก จนสิงห์ที่ยืนมองอยู่ใกล้ๆอดใจไม่ไหว

“ไหนขอชิมฝีมือหน่อยสิ ว่าพอจะสู้กันได้หรือเปล่า”พูดจบสิงห์ก็ตักแกงป่าเข้าปาก

“เค็มไปหน่อยวะไอ้เหน๋อ แต่ถ้าได้คลุกกินกับข้าวสวยร้อนๆน่าจะเด็ด”สิงห์พูดพลางซูดปากไปพลางเพราะแกงป่าทั้งเผ็ดและร้อน

“มีกับข้าวกินอยู่แค่นี้ จะพอกินกันหรือ”สิงห์พูดพร้อมหยิบท่อนฟืนดุนเข้าไปในกองไฟ

“เดี๋ยวรอตาโส่ยทำลอบเสร็จก่อน พี่ว่าจะหาฟันปลาเสียหน่อย ยังพอมีเวลา”พรานพรพูดขณะนอนเล่นอยู่บนเปลอย่างสบายอารมณ์

“น่าสนุกดี ขอผมไปด้วยคน ดีกว่านั่งๆนอนๆอยู่ที่นี้”สิงห์พูดพลางช่วยพรานโส่ยยกหม้อสนามออกจากราวแขวน มาวางเรียงบริเวณถ่านอ่อนๆที่ถูกพรากออกมาจากกอง

“ก็ไปกันหมดนี้ล่ะ ได้พอกินกันเย็นนี้แล้วค่อยกลับ”พรานแปะตอบขณะนอนหนุนแขนสูบยาเส้นบนเปล จนควันฉุย

“ข้าขอนอนเฝ้าแค้มป์ดีกว่าว่ะ ขี้เกียดเดิน” เหน๋อตอบ

“เดี๋ยวข้าอยู่เป็นเพื่อน ข้าว่าจะนอนเอาแรงสักตื่น คืนนี้ว่าจะเดินส่องปลาไกลหน่อย”พรานแปะเสริมมาอีกคน

“เอาแบบนี้ดีกว่า ใครอยากจะไปก็ไป ใครยังไม่อยากไปก็อยู่เฝ้าแค้มป์”พรานเบพูดจบก็นั่งมวนยาเส้น

“ไปหาดักลอบกับข้าดีกว่าไอ้สิงห์”พรานโส่ยพูดพลางยกลอบดักปลา ที่แกทำแบบหยาบๆขึ้นดูความเรียบร้อย พอเห็นช่องว่างที่ใหญ่เกินไปแกก็ขยับซีกไม้ไผ่ให้ช่องนั้นเล็กลง

          ขบวนหาปลาก็พร้อมหลังจากลอบดักปลาของพรานชราเสร็จ ลอบดักปลาที่ถูกสานด้วยไม้ไผ่ซีกเล็กๆ ที่ดูไม่ค่อยจะสวยงามนัก แต่ก็ดูคลังและแข็งแรง หลังจากหาเถาวัลย์มาผูกทำเป็นสายสะพายได้แล้ว อุปกรณ์หาปลาก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ของมัน สรุปว่ามีคนอยู่เฝ้าแค้มป์สองคนคือ พรานแปะและเหน๋อ ส่วนพรานเบ และพรานพร เดินล่องไปตามลำห้วยโดยทั้งสองสะพายปืนไปคนละกระบอก ส่วนเจ้าเด็กหนุ่มทั้งสองคน เคิ้งและพุ่ม ออกเดินนำหน้าพร้อมกับเจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบอง โดยเดินทวนลำห้วยขึ้นไป ปล่อยให้สิงห์และพรานโส่ยเดินตามหลังไปห่างๆ น้ำในลำห้วยสายนี้ใสสะอาดตา บางช่วงก็ตื้นแค่ตาตุ่ม บางช่วงก็ลึกถึงหน้าแข้ง สลับกันเป็นระยะๆ ช่วงไหนที่เป็นแอ่งกว้างพอ ก็จะมีปลามาอาศัยอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปลาสร้อยและปลาเวียนขนาดเล็ก ก็พากันจับกลุ่มว่ายไปมาดูสับสน นอกจากปลาแล้วตามซอกหินริมห้วยยังมีปูห้วยตัวโตๆอาศัยอยู่ จนพรานชราอดใจไม่ไหว

“บ๊ะ! ปูห้วยแถวนี้ตัวมันโตดีจริงๆ แหนะ สู้เสียด้วย” พรานชนาทำถ้าจะตะปบ แต่แกก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเจ้าปูห้วยตัวที่หมายตาไว้ ชูก้ามหราท้ารบ

“นี่แหนะ สู้ข้ารึ”พูดจบแกก็ใช้สันมีดเหน็บฟันไปที่กระดองของมันจนยุบ เพียงเท่านี้เหยื่อของพรานเฒ่าก็สิ้นฤทธิ์
หลังจากนั้นแกก็ดึงเถาวัลย์เส้นเล็กๆที่ขึ้นพันตามต้นไม้ริมห้วย นำมาผูกเป็นพวงแล้วส่งให้สิงห์ถือ

“ปลาเวียนนิ สงสัยไอ้สองตัวนั่นฟันทิ้งไว้ ตัวเขื่องเสียด้วย” สิงห์ร้องบอก พร้อมกับชี้มือไปที่ปลาเวียน ซึ่งตอนนี้นอนนิ่งอยู่บนโขดหินริมห้วย

“นี่อีกตัว ฉับ!” พรานโส่ยพูดจบ ก็ใช้สันมีดเหน็บฟันลงบนกลางตัวของปลาเวียน ขณะที่มันหมกตัวอยู่ใต้เศษไม้และใบไม้เกือบจะมองไม่เห็น แต่ก็ไม่อาจพลาดสายตาของพรานเฒ่าไปได้

“แหม ลุงโส่ยตาดีจริงๆ ผมยังมองไม่เห็นเลย อ้าวนั่นปลาอะไรนอนแถกอยู่”พูดจบสิงห์ก็ไล่ตะคลุบปลาที่ลักษณะเหมือนปลาช่อนนา

“ปลากั้ง ตัวใหญ่ดีนะลุง ได้แบบนี้สักสิบตัว คงได้เอามาต้มยำ”สิงห์ร้อง ขณะชูปลากั้งตัวเกือบข้อแขนที่จับได้ในมือให้พรานโส่ยดู

“เอ็งไม่ต้องห่วง เย็นนี้ได้กินต้มยำปลากั้งแน่” พรานโส่ยพูดจบก็ก้มหยิบปลาตามแอ่งหินและโขดหิน ที่เจ้าพุ่มกับเจ้าเคิ้งช่วยกันฟันทิ้งไว้ บางตัวก็นอนตายแน่นิ่ง บางตัวก็ยังดิ้นแถกไปมาโดยเฉพาะปลากั้ง แต่ก็ไปไหนไม่ได้ไกลนัก เพราะสิงห์และพรานชราช่วยกันจัดการเสียก่อน เพียงระยะที่เดินงมกันมาในลำห้วยไม่ไกลนัก สิงห์ก็ได้ปลามาเป็นพวงใหญ่ถึงสองพวง ที่ได้เยอะที่สุดคงจะเป็นปลาเวียน ซึ่งแต่ละตัวขนาดเขื่องเกือบเท่าข้อมือยี่สิบกว่าตัว และอีกพวงเป็นปลากั้งเล็กกว่าข้อมืออีกสิบกว่าตัว แถมด้วยปูห้วยตัวโตๆ ที่พรานชราจับเป็นบ้างจับตายบ้างอีกยี่สิบกว่าตัว แต่ละตัวถูกมัดก้ามติดกับลำตัวอย่างแน่นหนาด้วยเถาวัลย์ จนคนถือบ่น

“ปูห้วยพอก่อนก็ได้ลุงโส่ย เยอะแยะไปหมดแล้ว”สิงห์พูดพลางยกพวงปูขึ้นดู

“เออ ข้าก็ว่าจะพอแล้ว แต่อดไม่ได้วะ ตัวมันใหญ่น่ากิน เผากินคงจะอร่อย” พรานโส่ยพูดพลาง มือก็มัดปูห้วยด้วยเถาวัลย์ไปพลาง

“แล้วลอบลุงจะดักมันตรงไหน เห็นแบกมาตั้งนานแล้ว”สิงห์พูดพลางบุ้ยปากไปที่ลอบดักปลา ซึ่งตอนนี้พรานเฒ่าสะพายอยู่

“แถวๆโคนต้นตะเคียนนั้น น่าจะเหมาะ”พรานโส่ยพูดพลาง ชี้มือไปที่ต้นตะเคียนใหญ่ ที่ขึ้นอยู่ริมห้วย

          ภายใต้ล้มครึ้ม ของตะเคียนใหญ่ ที่ขึ้นบนเนินดินริมห้วยนั้น สองเกลอต่างวัยต่างช่วยกันดักลอบบริเวณช่องที่มีน้ำไหลไม่กว้างนัก ซึ่งอุดมไปด้วยรากของคะเคียนรกรุงรังไปหมด โดยการเปิดช่องที่มีรากไม้รกนั้น พรานโส่ยใช้มีดเหน็บฟันเปิดให้เป็นช่อง พอที่จะนำลอบลงไปวางดักไว้ได้ จากนั้นก็ตัดไม้มาทำหลักตอกติดด้วยหินอย่างแข็งแรง แล้วผูกลอบกับไม้หลักนั้นด้วยเถาวัลย์กันลอบหลุดลอยไปตามกระแสน้ำ

“วู้...ไอ้พุ่ม ไอ้เคิ้ง จะกลับกันแล้วโว้ย”สิงห์กู่ร้องบอกสองกะเหรี่ยงดง ที่ตอนนี้ต่างช่วยกันฟันปลากันอย่างสนุกสนาน

“พวกเอ็งสองตัว ใครก็ได้หาตัดไม้ไผ่มาทำเฝือกให้ข้าด้วย”พรานชราร้องเสริมมาอีกคน ชั่วไม่นานนักทั้งสองหนุ่มก็เดินมายังตำแหน่งที่ดักลอบไว้ โดยพุ่มและเคิ้งช่วยกันนำกระบอกไม้ไผ่ที่ถูกทุบแล้วมาให้พรานโส่ยตอกกั้นไว้ไม่ให้ปลาหรือตัวอะไรก็แล้วแต่ ว่ายหลุดไปทางอื่น ซึ่งแกกั้นไว้ทั้งสองด้านของลอบ โดยเปิดช่องให้น้ำไหลผ่านส่วนที่เป็นปากของลอบไว้

“คืนนี้ก็รู้ ว่าจะมีตัวอะไรมาติดหรือเปล่า”สิงห์บอก พลางส่งพวงปลาให้สองหนุ่มถือ

“ปลาเวียน กับปลากั้ง ไม่น่าจะพลาด ดีเสียอีกมีปลาเข้าไปติด จะได้เป็นเหยื่อล่อตะพาบไปในตัว”พรานชราตอบ ขณะยืนดูผลงานอย่างภูมิใจ

“คืนนี้พี่สิงห์ได้สนุกแน่ ผมกับไอ้เคิ้งจะพาพี่ไปหากบธูป”พุ่มพูดขณะที่เดินนำมุดซุ้มไม้ ที่ทอดขวางลำห้วย ชายทั้งสี่เดินพูดคุยกันไปอย่างสนุกสนาน

          โดยเฉพาะสิงห์ที่นานๆครั้งจะได้ตื่นเต้นแบบนี้ ถึงแม้ว่ากิจกรรมที่ทำอยู่จะไปแค่การหาปูหาปลาก็ตามที แต่สำหรับพรานกะเหรี่ยงที่ติดตามมาด้วยแล้ว สิ่งที่ทำอยู่แบบนี้ก็ไม่ได้มีความวิเศษหรือน่าตื่นเต้นอะไรเลย เพราะมันก็เป็นวิถีชีวิตประจำวันอยู่แล้ว ตื่นเช้ามาถ้าไม่ได้ทำไร่ทำนา ก็หาเก็บผักเก็บหญ้ามากิน เบื่อจากผักหญ้าก็เดินลงห้วงหางมปูงมปลาไปตามเรื่อง คนไหนมีปืนก็ออกเที่ยวท่องหาสัตว์ป่ามากิน แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะหากันง่ายๆเหมือนเดินไปซื้อตามตลาดเสียเมื่อไหร่ แถมรสชาติก็ไม่ได้วิเศษอะไรมากนัก ถ้าให้เลือกได้พวกเขาก็คงเลือกที่จะกิน หมู เห็ด เป็ด ไก่ ที่หาซื้อได้ตามตลาดแบบคนเมืองดีกว่า แต่ครั้นจะซื้อกินลำพังเงินทองก็ไม่ค่อยจะมี อาศัยแค่รายได้จากการทำไร่ทำนาปีละครั้ง แต่ทำกี่ปีๆก็ไม่รวย เก็บเกี่ยวกันทีก็ต้องคอยลุ้นอยู่ตลอดเวลา ว่าราคาจะขึ้นหรือจะลง แต่ก็ยังไม่หนักเท่ากับพ่อค้าที่มารับซื้อ ซึ่งคอยจะกดราคา เท่ากับเป็นการซ้ำเติมคนอยากคนจนให้จนกันยิ่งไปอีก บางคนขายได้ก็ไม่พอกิน เพราะต้องหักค่ายาค่าปุ๋ยให้นายทุน บางคนขายแล้วก็ยังไม่พอใช้หนี้เท่ากับเหนื่อยเปล่า เงินทองสำหรับชาวป่าชาวดงแถบนี้เลยเป็นสิ่งที่หาได้ยากและลำบากยิ่ง สิ่งไหนที่พวกเขาพอจะประหยัดได้ก็จะประหยัด กับข้าวกับปลาก็ไม่ต้องซื้อให้เปลืองเงิน อยากกินอะไรก็เดินเข้าป่าหาอะไรได้ก็กินกันง่ายๆ แต่ก็ไม่วายถูกคนที่เจริญแล้ว ว่าเป็นพวกตัดไม้ทำรายป่าบ้าง ทั้งๆที่ดินที่พวกเขาเหล่านั้นช่วยกันถากถางมาตั้งกี่ชั่วอายุคน ก็เป็นพื้นดินผืนเดิมทำไร่ทำนามันทั้งปีทั้งชาติก็ไม่เห็นมันจะรวยขึ้น ผิดกับพวกนักการเมืองบางคน ที่เที่ยวกว้านซื้อที่ดินมาขายเก็งกำไรจนเดี๋ยวนี้มีเงินมีทองมากมายไม่รู้ว่าชาตินี้ทั้งชาติจะใช้หมดหรือเปล่า ครั้นจะไปหาเนื้อกินในป่าก็ถูกพวกไล่จับ กลายเป็นพวกลักลอบล่าสัตว์ป่า ชาวป่าชาวดงทุกวันนี้ถูกมองเป็นจำเลยสังคมเสมอจะทำอะไรก็ดูผิดไปหมด สิงห์เองก็อยากจะรู้ว่าจะมีคนเมืองหน้าไหนหรือมหาเศรษฐีคนใดยอมที่จะควักเงินเลี้ยงดู หรือไม่ต้องขนาดต้องเลี้ยงดูก็ได้ แค่ซื้อไก่ซื้อหมูให้พวกเขาเลี้ยงกินกันเองก็ยังไม่มีหน้าไหนยื่นมือเข้ามาช่วย ทีชาวบ้านตัดไม้มาทำบ้านก็ถูกไล่จับ แต่ทีนายทุนมีเส้นมีสายตัดกันจนไม้จะหมดป่าไม่มีปัญญาไล่จับ คิดๆไปแล้วก็น่าเจ็บใจแทนชาวป่าชาวดง.....

นิยายยังไม่จบเพียงแค่นี้ คณะเดินทางจะพบกับอะไรข้างหน้า ไม่อาจทราบได้ โปรดหาความบันเทิงได้ใน บทที่ 4.3 เร็วๆนี้

ผิดพลาดประการใด ผม หนุ่ม ธูดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024
siamfishing.com/content/view.php?cat=article&nid=45234