ภาพที่ 1บทที่ 3
ตอนที่ 3.1
เสียงฝีเท้าทั้งแปดคู่ เดินย่ำมาตามด่านทางเกวียนเก่าๆ โดยมีคนทั้งแปดคนเดินเรียงแถวอยู่ห่างกันไม่มากนัก ซึ่งมีพรานเบเป็นคนนำทาง ต่อจากพรานเบคือพรานพร พรานแปะ เหน๋อ และสองหนุ่มกะเหรี่ยงดง พุ่มกับเคิ้ง เดินคุยกันอยู่สองคน ส่วนสิงห์และพรานโส่ย เดินอยู่หลังขบวน ครั้งหนึ่งสิงห์หันกลับไปดูกระท่อมหลังใหญ่ ที่ตอนนี้มองเห็นเพียงยอดหลังคาอยู่ไกลๆ โดยปราศจากความหมาย หลังจากทั้งหมดเดินลัดเลาะไปตามตีนเขา ซึ่งทั้งสองฝั่งด่านทางนั้นเต็มไปด้วยต้นสาบเสือและต้นไผ่ เสียงแกรกกราก ของใบไม้แห้งดังแว่วมาจากตีนเนิน ด้านข้างจนทำให้เคิ้งและพุ่ม หยุดยืนฟังเสียงนั้น แต่พอยืนจดๆจ้องๆอยู่อึดใจก็เดินต่อ เพราะต้นเสียงไม่ใช่ตัวอะไรที่ไหน มันคือเจ้าพะเปรียวกับพะบอง หมาคู่ชีพของพรานเบนั้นเอง พวกมันคงอยากจะติดตามไปกับขบวนด้วย
มีหมาไปด้วยก็ดีเหมือนกันนะลุงโส่ย สิงห์หันมาบอกพรานเฒ่าที่ตอนนี้ก้มหน้าก้มตาเดินโดยมีถุงปุ๋ยใส่ของและเสบียงต่างๆผูกโงลั่งไว้ที่หัวของแก
ดีตรงที่ช่วยหากับข้าวกับเป็นยามให้เรา ไม่ดีก็ตรงที่มันจะทำให้สัตว์มันตื่นเพราะมันเห่ามั่วไปหมด พูดจบแกก็บ้วนน้ำหมากลงพื้น
ผมว่ามันคงอยากจะไปกับเราลุงโส่ย ไม่เห็นน้าเบแกเรียกให้มันตามมาเลย สิงห์ถาม
ไอ้หมาพวกนี้มันรู้ ไม่ต้องเรียกมันก็ตาม ขืนอยู่ที่บ้านมันก็ไม่มีอะไรกิน เพราะไม่มีใครอยู่ให้ข้าวพวกมัน พวกมันรู้ ถ้ามันตามมากับพวกเรามันไม่อดข้าวแน่ๆ พรานชราตอบ
การเดินทางเป็นไปอย่างสะดวกพอสมควร เพราะด่านทางเก่านั่นไม่รกมากนัก นานๆทีก็เห็นรอยกิ่งไม้ที่โดนฟันทิ้งขาดไว้เรื่อยทาง อาจเป็นพรานเบหรือใครคนใดคนหนึ่งที่เดินอยู่ในขบวนฟันทิ้งไว้ เพราะกิ่งไม้และต้นไม้เหล่านั่นยื่นขวางทาง หลังจากเดินเลาะตีนเขามาสักพัก พรานเบก็พาเดินลัดต่ำลงเรื่อยๆ สภาพรอบๆตัวบัดนี้เริ่มเปลี่ยนไป จากดงสาบเสือและต้นไม้จำพวกไผ่และกอรวก เริ่มมีพืชคลุมดินชนิดพวกชะพลู บอนป่า และกล้วยป่าที่ขึ้นเบียดเสียดกันอยู่เป็นดง ไม่ต้องสงสัยเพราะอะไรเลย เมื่อเดินไปอีกไม่กี่อึดใจ เบื้องหน้าก็เป็นลำห้วยสายใหญ่ไหลตัดผ่านเส้นทางนั้นอยู่ ซึ่งตอนนี้กลุ่มพรานกะเหรี่ยงที่เดินนำอยู่ พากันนั่งพักอยู่ที่โคนต้นยางใหญ่ริมลำห้วยสายนั้น
เดี๋ยวเราจะเดินตัดออกซ้ายมือนะสิงห์ พรานเบร้องบอก เมื่อเห็นสิงห์เดินเข้ามาหยุดอยู่ตรงหน้า
อืม...ถ้าผมจำไม่ผิดถ้าเราตัดออกขวาจะไปทางห้วยแห้งใช้หรือเปล่าน้าเบ สิงห์ยืนนึกอะไรออกได้สักพัก แล้วตอบพรานเบ
ใช่..สิงห์ ความจำเอ็งดีเหมือนกัน พรานเบพูดจับก็ควักห่อยาสูบจากกระเป๋าเสื้อ ออกมาม้วน
กี่โมงแล้วสิงห์ พรานพรหันมาถาม หลังจากลงไปวักน้ำในห้วยมาดื่ม
สิบโมงสิบห้านาทีพอดีเลยพี่พร สิงห์ร้องตอบหลังจากยกนาฬิกาขึ้นดู
ประมาณสามถึงสี่โมงเย็นข้าว่าน่าจะถึงช่องผาแคบ พรานเบตอบ หลังจากสูบบุหรี่ยาเส้นไปครึ่งมวน
จะถึงกี่โมงก็แล้วแต่น้าเบ เราไม่ได้รีบร้อนอะไร เห็นตรงไหนน่าพักก็ค่อยว่ากัน สิงห์หันไปพูดกับพรานเบก่อนยกขวดน้ำพลาสติก ที่ใส่ตรงกระเป๋าข้างขากางเกงขึ้นดื่ม
ใช่..เราไม่ได้รีบร้อนอะไร ระหว่างทางไปช่องผาแคบ เราก็หากับข้าวไว้กินเย็นนี้ไปในตัวด้วยก็ดี เหน๋อร้องบอก ขณะที่พูด ยังยืนเคี้ยวหมากอยู่ หยับๆ
จริงด้วยพี่สิงห์ กระรอก ไก่ป่า กระทาดง ก็พอมีตัว มีหมามาด้วยแบบนี้กระรอกไม่น่าพลาด เคิ้งพูดพรางชี้มือไปทาง เจ้าพะเปรียวและเจ้าพะบอง ที่ตอนนี้ยืนเลียน้ำอยู่ริมห้วย
กระรอกพอได้อยู่ แต่ไอ้ไก่ป่า กับนกกระทาดง คงจะยาก ไอ้สองตัวนี้มันเห่าไล่หมด พรานแปะพูดพรางหัวเราะ
ก็แล้วแต่ว่าจะเจออะไร ถ้าไม่ได้อะไรก็หา งมปลา งมปูในห้วยก็ได้ จะไปยากอะไร พรานโส่ยร้องตอบมาอีกคน
ผมว่าเราอย่าไปคิดอะไรเรื่องของกินเลย อยู่ในป่าขนาดนี้ ไม่มีอะไรให้กินก็ให้มันรู้ไป สิงห์พูดพรางยกเป้ ขึ้นสะพายหลัง เป็นสัญญาณให้รู้ว่าการเดินทางเริ่มขึ้นอีกครั้ง
พรานเบพาเดินข้ามลำห้วยนั้นไป โดยเดินข้ามบริเวณที่มีน้ำตื้นที่สุดประมาณครึ่งหน้าแข้ง หลังจากข้ามห้วยมาแล้วก็พาเดิน ลัดเลาะไปตามด่านเก่าๆ ที่น่าจะเป็นทางเดินของชาวบ้านที่ออกมาหาของป่าอยู่บ่อยๆ จนเกิดเป็นทางด่านเล็กๆ ซึ่งบางครั้งก็ถูกปกคลุมไปด้วยพันธ์ไม้เล็ก และพืชคลุมดินชนิดต่างๆ พรานเบพาเดินไปตามทางสายนั้น บางครั้งก็เดินลัดเลาะไปตามชายลำห้วย บางครั้งก็ต้องเดินข้ามลำห้วยตื้นๆ อยู่บ่อยครั้ง โดยมีเจ้าพะเปรียวกับเจ้าพะบอง วิ่งนำหน้าอยู่ห่างๆ บางครั้งพวกมันก็พากันวิ่งวกกลับลงมาหาขบวน บางครั้งก็วิ่งขึ้นหน้าขบวน เป็นแบบนี้สลับกันไปตามสัญชาติญาณของหมาพราน พอเจอโพรงไม้หรือซุ้มไม้ก็พากันก้มลงดมตามโคนไม้และพื้นดินบริเวณนั้น หลังจากที่พวกมันวิ่งวนไปวนมา จากที่ที่มันสงสัย เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรแล้วก็วิ่งจากไป
เสียงแสกสาก จากเป้หลังและย่ามหลัง ที่ถูระไปกับต้นไม้เล็กๆและต้นกระวานที่ขึ้นหนาแน่นทั้งสองข้างทางด่าน ซึ่งตอนนี้เริ่มเรือนรางลงทุกที ต้นไม้ใหญ่เริ่มขึ้นหนาทึบปะปนไปกับต้นไม้เล็กๆที่ขึ้นเบียดเสียดกันจนดูรกไปหมด บางต้นก็ยืนต้นแห้งตาย คงเป็นเพราะไม่สามารถยื้อแย่งแสงแดงแข่งกับต้นไม้อื่นๆที่สูงใหญ่กว่าได้ มันเป็นกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ ที่ต้องคัดสรรสิ่งที่แข็งแรงที่สุด เพื่อจะดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป ส่วนที่อ่อนแอก็ต้องหมดสภาพผุพังไปตามกาลเวลา นอกจากไม้เล็กที่ยืนต้นแห้งตาย ไม้ใหญ่หลายชนิดก็เช่นกัน บางต้นก็หักรากถอนโคนล้มขวางทางของคณะ จนบางครั้งต้องเดินมุดลอดผ่านไป บางต้นก็ล้มพาดเป็นสะพานข้ามห้วยเสียอย่างดี ครั้งหนึ่งพรานเบที่เดินข้ามสะพานไม้นั้นเป็นคนแรกเหยียบพลาดเอาตำแหน่งที่ผุที่สุดของต้นไม้ล้มนั้นอย่างไม่ได้ตั้งใจ จนขาข้างหนึ่งผลุบวูบ เกือบจะตกลงไป เล่นเอาพวกที่ตามมาข้างหลังร้องเสียงหลงด้วยความหวาดเสียว แต่พอพรานเบตั้งหลักได้ก็ พยุงตัวเองขึ้นมาได้ตามเดิม และเดินนำไปตามปกติ ส่วนที่เดินตามมาก็คอยระมัดระวังและหลบลีก บริเวณไม้ที่ดูพุนั้น
มาเที่ยวช่วงหมดฝนใหม่ๆมันก็ดีไปอย่างนะลุงโส่ย สิงห์หันไปพูดกับพรานชราที่เดินคู่กันมา
เออ ข้าก็ว่าแบบเอ็งนั้นแหละ ไอ้สิงห์ ป่าดูมีชีวิตชีวาขึ้นมาหน่อย ไม่เหมือนมาตอนหน้าแล้ง มองไปทางไหนดูเหี่ยวๆเฉาๆไปหมด พรานเฒ่าเสวนาตอบ
เหี่ยวๆแบบพ่อหรือเปล่า เคิ้งร้องบอกพรางหัวเราะ พรานเฒ่าได้ยินเข้าก็ร้องด่าฟังไม่เป็นศัพท์
ถึงข้าจะแก่และก็เหี่ยว แต่ข้าไม่มีวันเฉาโว้ย พูดจบแกก็ก้มลงหยิบ ลูกมะเดื่อป่า หมายจะปาใส่กบาลลูกชายตัวแสบของแก แต่เจ้าเคิ้งก็รู้ทันมันหลบวูบ ลูกมะเดื่อป่าเฉียดหัวมันไปนิดเดียว คนอื่นๆที่อยู่ใกล้ๆพากันหัวเราะชอบใจ
นอกจากจะยิงปืนไม่แม่น ยังปาไม่แม่นอีก สงสัยต้องไปฝึกฝีมือมาใหม่นะลุงโส่ย คราวนี้พุ่มแซวพรานชราบ้าง
เอ็งอีกตัวไอ้พุ่ม หน๋อย...มาว่าข้าเดี๋ยวเถอะมึง พูดจบแกก็ก้มลงหยิบลูกมะเดื่ออีก แต่คราวนี้แกไม่หยิบแค่ลูกเดียว แต่หยิมขึ้นมากำในมือถึงสามลูก พอถนัดดีแล้วแกก็ทำท่าเร่งเป๋าหมายไปที่กบาลเจ้าพุ่ม ส่วนเจ้าพุ่มทำท่าลิงแยกเขี้ยวยิงฟันใส่พรานเฒ่า แต่มันไม่รู้เลยว่าพรานเฒ่าเปลี่ยนแผนใหม่ พอพรานเฒ่าปามันก็ทำหลบวูบ แต่ครั้งนี้ไม่พลาด เพราะหนึ่งในสามของลูกมะเดื่อโดนกบาลเจ้าพุ่มเต็มรัก ส่วนอีกลูกโดนตัวถนัดๆ
ฮาๆ เป็นไงไอ้พุ่ม ลูกโดดกูอาจจะพลาด แต่ลูกปรายกูไม่พลาด พรานเฒ่าหัวเราะชอบใจ
โถ่...ลุงขี้โกงผมนิ เล่นปาทีเดียวสองสามลูกใครจะไปหลบทัน พุ่มพูดพรางยืนเกาหัว
การเดินทางเป็นไปด้วยความสนุกสนาน ไม่มีใครคิดจริงจังกับอาการของพรานชรา เพราะมันเป็นการล้อเล่นกันธรรมดา โดยพรานชราเองก็ไม่ได้คิดโกรธเคืองอะไรใคร บรรยากาศรอบตัวดูสดชื่นแต่ก็ดูทึบๆเพราะป่าช่วงนี้อุดมไปด้วยไม้ใหญ่หลากหลายชนิด จนยอดใบด้านบนบดบังแสงแดด นอกจากไม้ใหญ่แล้ว ด้านล่างก็เต็มไปด้วยกล้วยป่า และต้นหวายที่ทอดยอดยาวเกาะเกี่ยวกันจนดูรกรุงรังไปหมด บางครั้งพรานเบก็ต้องใช้มีดฟันเบิกเป็นช่องทางให้ทุกคนมุดรอดไปได้ แต่ก็มีหลายคนโดนหนามอันแหลมคมของมันเกี่ยวเนื้อตัวจนได้เลือดไปเหมือนกัน หลังจากทุกคนเดินลอดซุ้มหวายออกมาแล้ว พรานเบก็พามาถึงหุบตอนหนึ่ง ซึ่งอยู่ระหว่างภูเขาสองลูกที่ขึ้นเบียดกัน และหุบนั้นเองครั้งหนึ่งมันเคยเป็นลำห้วยหรืออาจจะเป็นน้ำตกขนาดใหญ่ แต่ด้วยลักษณะที่เทลาดของมัน จึงทำให้ไม่มีน้ำขังอยู่เลย หินก้อนเล็กๆตามพื้น ไปจนถึงขนาดใหญ่ท่วมหัวแต่ละก้อนดูเกลี้ยงเกลา บางก้อนก็ดูมันวาว บางก้อนก็มีพืชจำพวกเฟิร์นและตะไคร่เกาะติดเขียวไปหมด บ่งบอกถึงว่า ครั้งหนึ่งหุบแห่งนี้เมื่อถึงฤดูฝน มันคงเป็นน้ำตกขนาดใหญ่หรือไม่ก็เป็นธารน้ำที่ไหลเชี่ยวในยามฝนหลาก แต่มาบัดนี้ไม่มีแม้แต่แอ่งน้ำที่ขังให้เห็นอยู่เลย มีเพียงเศษกิ่งไม้ใบไม้ที่กองทับถมอยู่เกลื่อนกลาด รวมไปจนถึงท่อนซุงขนาดใหญ่หลายคนโอบ ที่ครั้งหนึ่งสายน้ำที่ไหลเชี่ยวได้พัดพาพวกมันมาจากที่ได้ที่หนึ่ง บางท่อนก็เกยข้างโขดหิน บางต้นก็นอนพาดขวางทางที่มองดูเป็นลักษณะของแก่งหินขนาดใหญ่ แลดูน่าหวาดเสียวเพราะกลัวมันจะหลุดร่วงลงมาทับคณะเดินทาง เพราะมีบ่อยครั้งที่ทั้งหมด ต้องเดินลอดซุงไม้เหล่านั้นไป แต่ด้วยการนำทางของพรานมือดี อย่างพรานเบแล้ว ไม่ว่าหนทางนั้นจะดูแล้วลำบากสาหัสขนาดไหนก็ตามที่สิงห์คิดว่ายากที่จะฝ่าไปได้ พรานเบก็สามารถพาตัดผ่านไปได้ทุกครั้ง แต่แล้วการเดินทางก็ต้องหยุดชะงักไป เมื่อพรานเบส่งสัญญาณให้ทุกคนหยุดอยู่กับที่
ตัวอะไรหรือ สิงห์กระซิบถามพรานพร ที่ต้อนนี้อยู่ไม่ห่างจากพรานเบมากนัก
พี่ก็ไม่รู้เหมือนกัน สงสัยจะเป็นค่าง พรานพรกระซิบตอบ ขณะที่เงยหน้าไปดูยอดไม้ที่ดูหนาทึบตาไม่กระพริบ สิงห์เองก็พยายามสอดส่องสายตาไปตามยอดไม้เหล่านั้นเช่นกัน แต่พยายามอยู่นานก็ไม่เห็นสิ่งแปลกปลอมใดๆเลย นอกจากยอดไม้ไหวอยู่เป็นระยะๆ แต่ก็ไม่อาจจะเห็นสาเหตุหรือที่มาของสิ่งที่ทำให้ยอดไม้เหล่านั้นไหวได้ แต่ชั่วอึดใจไม่นานพรานเบก็ส่งสัญญาณให้ทั้งหมดเดินทางต่อ ก่อนจะให้ทุกคนเดินทางต่อพรานเบได้ส่งภาษากะเหรี่ยงกับพรานพร ที่สิงห์เองก็ไม่เข้าใจความหมายของคำพูดเหล่านั้น
น้าเบว่าไงพี่พร สิงห์กระซิบถามพรานพร ที่กำลังจะลุกขึ้นเดิน
นกเงือก พรานพรตอบออกมา ด้วยอาการปรกติ
น้าเบ ก็ตาดี ผมยังมองไม่เห็นตัวมันเลย เสียงร้องสักนิดก็ไม่มี ได้ยินแต่เสียงยอดไม้ไหวๆ น้าเบแกรู้ได้ไงว่าเป็น นกเงือก
สอยลงมาย่างกินสักตัวดีมั๊ยพี่สิงห์ เสียงเคิ้งกระซิบขนาดที่เดินย่องมาหาจากทางด้านหลัง
อย่าไปยิงมันเลยนกเงือก มันยิ่งจะหาดูยากอยู่ สิงห์หันมาปรามกะเหรี่ยงหนุ่ม ในขณะที่เจ้าตัวทำถ้าคันไม้คันมือ
เรายังไม่ถึงจุดบอด หรือจุดที่เราอดยากปากแห้ง ขนาดจะต้องไปยิงนกเงือกเอามากิน เคิ้งเพราะฉะนั้นพี่ของบอกเราเลยนะ ว่าถ้าไม่มีความจำเป็นจริงๆ อย่ายิงมันมากินเด็ดขาด ปล่อยให้มันเป็นดอกไม้ประดับป่าที่นี้ต่อไป ป่าไหนไม่มีนกเงือกป่านั้นก็ไม่ใช่ป่า
จริงอย่างที่สิงห์พูดมา นกเงือกเป็นสิ่งบอกวัดความสมบรูณ์ของป่าที่มันอยู่ได้ เพราะนกเงือกเป็นนกที่ชอบอยู่ตามป่าลึก ที่อุดมไปด้วยอาหาร และต้นไม้ใหญ่ เพราะมันเป็นนกที่ต้องอาศัยต้นไม้ใหญ่เหล่านั้นเจาะโพรงทำรัง เพื่อขยายพันธุ์ และมันยังเป็นนกที่ขึ้นชื่อได้ว่า ผัวเดียวเมียเดียว คือตลอดชีวิตของมัน จะมีคู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น แต่บางครั้งก็ออกหากินรวมฝูง ไม่เหมือนนกหรือสัตว์ชนิดอื่นๆ ที่มักผลัดเปลี่ยนคู่ผสมพันธุ์ และด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้นกเงือกในประเทศไทยลดจำนวนลงอย่างน่าใจหาย อาจจะเป็นความที่ไม่เข้าใจ หรืออาจจะเป็นเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ของพรานพื้นเมืองและกลุ่มนักล่าชาวกรุงบางพวก ที่ไปยิงพวกมัน ถ้ายิงมากินด้วยฝีมือพรานป่าก็พอให้อภัยได้เพราะด้วยความจำเป็นที่จะต้องเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง แต่พวกที่ยิงมันด้วยความคะนองมือแล้วไม่ได้สนใจผลงานที่ตัวเองสร้างไว้มันไม่น่าให้อภัยเลย พอถึงฤดูผสมพันธุ์ พวกมันก็จะช่วยกันเจาะโพรงไม้สูงใหญ่ที่ดูว่าปลอดภัย หลังจากคาบเศษไม้มารองพื้นโพรงแล้ว ตัวเมียจะเข้าไปวางไข่ ส่วนตัวผู้จะคาบเศษดินและโคลนมาปิดปากโพรงนั้นไว้ เพื่อป้องกันสัตว์ร้ายอื่นที่จะเข้าไปรบกวนหรือทำร้าย เหลือช่องเล็กๆไว้สำหรับให้ตัวผู้นำอาหารมาป้อนให้กิน ตัวเมียเองที่อยู่ในโพรงก็จะใช้เศษมูลและขนของมันที่พลัดออกมายาปิดโพรงด้านใน เหลือเพียงช่องเล็กๆไว้สำหรับยื่นปากออกมาตัวผู้ก็จะคอยส่งน้ำส่งอาหารให้นกตัวเมียขณะที่นอนฝักไข่อยู่ จนลูกนกโตพอที่จะสามารถบินได้ แม่นกที่ถึงตอนนี้แล้วก็จะมีขนใหม่พร้อมกับลูกของมัน ก็จะจิกปากโพรงออกไป เพราะเหตุนี้เองที่ทำให้มันถึงจุดจบโดยที่พวกมันไม่ได้ก่อ เมื่อพรานป่าและพรานกรุงไปยิงตัวผู้ที่คอยส่งเสบียงตาย และเมื่อไม่มีตัวผู้ค่อยป้อนอาหารและน้ำให้ในขณะที่นกตัวเมียกกไข่อยู่ในโพรง ที่พวกมันเองปิดขังตัวเองไว้ ครั้นจะจิกปากโพรงออกไปหากินเองก็ทำไม่ได้ เพราะตัวเองก็ผลัดขนออกหมดแล้วจะบินก็บินไม่ได้ มันเองก็จะอดอาหารหิวตาย ผลสุดท้ายก็แห้งตายคาโพรงกับลูกของมัน
ไปเคิ้ง พี่ว่าเราอย่าไปสนใจอะไรมันเลย ปล่อยมันไปเถอะ เรายังต้องเดินอีกไกล สิงห์พุดตัดบทหลังจากเดินผละออกจากที่เดิม แต่ไม่ทันที่สิงห์จะเดิน เจ้าพะเปรียวก็ทำเรื่อง เมื่อมันเห่าตัวอะไรบางอย่าง เสียงดันลั่นอยู่เบื้องหน้า และเสียงเห่าของมันนี้เองที่ทำให้ ยอดไม้ที่ไหวๆอยู่เหนือหัว ก็มีอาการแตกฮือ เสียงดังก้องไปทั้งหุบ พร้อมทั้งเสียง แก๊ก ก๊าก ของนกเงือกฝูงใหญ่ที่ดูผ่านๆไม่ต่ำกว่าสิบตัว เสียงปีกขนาดใหญ่กระพือ ตัดกับอากาศดัง หวืดๆ เป็นจังหวะ ผสมกับเสียงร้องของมันด้วยความตกใจ เศษกิ่งไม้แห้งและใบไม้ร่วงหล่นลงมาจากเรือนยอดที่มันเกาะอยู่ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นได้ไม่นานทุกสิ่งทุกอย่างก็อยู่ในภาวะปรกติ มีเพียงเสียงปีกขนาดใหญ่ของนกเงือกที่ตัดกับอากาศดังอยู่ห่างๆ นานๆครั้งก็ได้ยินเสียงมันร้องออกมา แก๊ก แก๊ก ที่แว่วเข้ามาอยู่ไกลๆ
ไอ้ห่ า ข้าตกใจหมดเลย พรานชราบ่นอยู่อุบอิบ
ไอ้พะเปรียวเจอตัวอะไรให้เข้าแล้วพี่สิงห์ พุ่มร้องบอกอยู่ด้านหลังขณะที่กำลังโหนต้นไม้เพื่อฉุดตัวเองขึ้นจากทางชันตอนหนึ่ง
คงไม่เห่า จิ้งจก ตุ๊กแก ที่ไหนอีกนะ สิงห์พูดพลางหัวเราะ ขณะที่หักกิ่งไม้เล็กๆที่ยื่นขวางทางออก
ถ้าเป็นอย่างที่เอ็งพูด ข้าจะกระทื บให้จมแผ่นดินเลย ข้อหาที่ทำให้กูตกใจ เสือกเห่า ป่าแตกหมดทีนี้ พรานชราร้องตอบมาอย่างหัวเสีย
อย่าไปทำมันเลย มันอาจจะไม่เป็นอย่างที่เราว่าก็ได้ สิงห์พูดพรางหัวเราะ
นั่นไง พี่แปะถืออะไรมาดำๆ สิงห์พูดหลังจากเห็นพรานแปะเดินย้อนกลับมา
โถ...คิดว่าตัวอะไร เต่า นี่เอง เคิ้งร้องบอกหลังจากยกเถาวัลย์ที่มัดร้อยเต่าชูขึ้นดู
ตัวนิดเดียวเอง จะไปพอกินอะไร ปล่อยมันไปเถอะเคิ้ง สิงห์พูดหลังจากรับพวงเต่าที่เคิ้งส่งให้
ผมก็คิดแบบพี่สิงห์ ปล่อยมันไปก็ดีเหมือนกัน เอาไปกินก็ได้เนื้อนิดเดียว พูดจบเจ้าเคิ้งก็แก้เถาวัลย์ที่ผูกกระดองเต่าตัวขนาดฝ่ามือกางๆ เสร็จแล้วนำมันไปปล่อยไว้ใต้โคนไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง
**************เรื่องราวจะเป็นยังไง สิงห์และพรานพื้นเมืองของเขา จะพาไปถึงจุดหมายหรือไม่ โปรติดตามตอนต่อไป************
ผิดพลาดประการใด กระผม หนุ่ม ธุดงค์ไพร ต้องขอ อภัย มา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ