สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 23 ธ.ค. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 1 ตอนที่ 2 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 22 - [16 ธ.ค. 55, 17:37] ดู: 4,568 - [22 ธ.ค. 67, 20:56] ติดตาม: 1 โหวต: 7
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 1 ตอนที่ 2
หนุ่มธุดงค์ไพร (711 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
11 เม.ย. 54, 10:50
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 1 ตอนที่ 2
ภาพที่ 1
(ต่อจากบทที่ 1)

ตอนที่ 1.2
         
          บนเส้นทางเดินลางๆ ชายหนุ่มกับชายชราเดินคุยกันมาเรื่อยเปื่อย คงปล่อยให้สองกะเหรี่ยงน้อยเดินนำหน้าไปแบบไม่รีบร้อนนัก เส้นทางนี้ลัดเลาะไปตามตีนเขา ซึ่งฝั่งซ้ายมือจะติดกับภูเขาสูงทะมึน ที่เต็มไปด้วยต้นไผ่รวกที่ขี้นอยู่เป็นดง สูงขึ้นไปก็จะเป็นพวกต้นไผ่นวล และไม้ยืนต้นจำพวก ไม้แดง ประดู่ ที่ขึ้นปะปนกันไปในดงไผ่นั้น ส่วนฝั่งขวามือของถนนจะเป็นลำห้วยที่ทอดยาวมาจากป่าลึกเบื้องหน้า  เย็นย่ำลงไปทุกที หมู่นกกาพากันบินกลับรังกันหมดแล้ว หลังจากตลอดทั้งวันพวกมันพากันออกหากิน คงมีแต่เสียงร้องกู่ขับขานกันเป็นระยะๆ ตามดงไผ่และยอดไม้สูง ครั้งหนึ่งสิงห์ต้องสะดุ้งเมื่อมีนกชนิดหนึ่งบินออกมาจากพุ่มสาบเสือเบื้องหน้า พอหันไปดูก็รู้ว่าเป็นนกกระปูด มันคงกำลังจะขึ้นรังนอน นอกจากนกกระปูดตัวนั้นแล้ว บนถนนยังมีนกตบยุงนอนหมอบนิ่งอยู่ มันคงเตรียมออกหากินแมลงตอนกลางคืน พอเคิ้งซึ่งเดินอยู่หน้าสุด เดินเข้าไปใกล้ มันก็ร้องจู๊งๆ แล้วบินหนีไปหมอบอยู่ข้างหน้า  พอพวกของสิงห์เดินไปใกล้มันก็บินหนีอยู่บนถนนลูกรังอย่างนั้นเรื่อยไป บ่อยครั้งเข้ามันคงนึกรำคาญ จึงบินหลบเข้าป่าทึบเบื้องหน้าไปเสีย

          สิงห์และกลุ่มกะเหรี่ยงดงยังคงเดินไปตามเส้นทางนั้น พอตัดขึ้นเนินที่อยู่เบื้องหน้า สภาพพื้นที่เริ่มจะเดินสะดวกขึ้นกว่าเก่า คงเป็นเพราะ พรานเบที่แก ลงแรงถากถางไว้เสียอย่างดี นอกจากจะถากถางไว้แล้ว บนเนินเขาเตี้ยๆนั้นยังมีต้นข้าวโพดขึ้นอยู่เป็นระเบียบเรียบร้อย ลำต้นของมันดูอวบใหญ่เพราะสภาพความสมบรูณ์ของดิน ที่พวกมันอาศัยหล่อเลี้ยงชีวิตเพื่อรอวันผลิดอกออกฝักอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า เลยจากดงข้าวโพดที่ขึ้นอยู่บนเนินนั้นแล้ว พวกของสิงห์ก็เดินตัดออกทางขวามือ ซึ่งมีถนนสายเล็กๆตัดลงไปตามเนินลาดชัน ที่ทอดลงไปถึงลานดินกว้างขวางเบื้องล่าง ที่ลานดินนั้นเองกระท่อมยกพื้นสูงแบบกะเหรี่ยงแท้ ดูโดดเด่นใหญ่โตกว้างขวางอยู่บนที่แห่งนั้น เพราะมีเสาบ้านถึงสิบหกต้น พรานเบพรานกะเหรี่ยงวัยสี่สิบกว่า กำลังสุมไฟกองใหญ่ไว้หน้าบ้าน เมื่อพวกของสิงห์เดินเข้าไปใกล้ หมาของแกที่ดูปราดเปรียวก็วิ่งกรูออกมาเห่ากันลั่น จึงทำให้พรานเบหันมามอง

“น้าเบ สวัสดีครับ” สิงห์ยกมือไหว้พร้อมส่งยิ้มให้

“หวัดดีๆ มาตั้งแต่เมื่อไหร่” แกส่งภาษาทักทายแบบไม่ค่อยชัดนัก แต่ก็แฝงไปด้วยความยินดี ที่ได้พบกับสิงห์

“คิดว่าจะไม่ได้เจอน้าเบแล้ว ยังเดินลุ้นมาตลอดทางเลยใจมาชื้นตอนที่เห็นควันไฟลอยมาแต่ไกลนั้นหละ” พูดจบ สิงห์ก็โยนเป้ขึ้นไปไว้บนระเบียงของกระท่อมหลังใหญ่

“ข้าก็เพิ่งกลับมาได้สักพักนี้เอง ไปหายิงกระรอกมาลาบกิน กำลังจะเผาเอาขนออกพอดี ไอ้สองตัวนี้มันเห่าถึงรู้ว่า เอ็งมา” พูดจบแกก็โยนพวงกระรอกที่ยิงมาได้สี่ตัวลงไปในไฟที่แกพรากออกมาจากกอง

“วันนี้โชคดีจริง นอกจากจะได้กินไก่ป่าแล้ว ยังได้กินลาบกระรอกอีกไม่เสียเที่ยว” สิงห์ร้องบอก หลังจากช่วยกันลำเลียงของต่างๆขึ้นไว้บนกระท่อม

“แล้วไก่ป่าตัวนี้จะทำอะไรกินดีพี่สิงห์” เคิ้งร้องถาม พร้อมโยนไก่ป่าไว้บนชานกระท่อม

“ต้มข่าเอาไว้ซดน้ำก็น่าจะดี” สิงห์ออกความเห็น

“ไอ้พุ่ม เอ็งไปขุดข่ากับตะไคร้มาสักหน่อย เดี๋ยวกูทำไก่ให้พี่สิงห์เอง ส่วนพ่อหุงข้าวแล้วกัน” เคิ้งสั่งงาน พูดจบก็นั่งถอนขนไก่ป่า จากนั้นก็เอาไปลนกับไฟเพื่อให้ขนอ่อนของไก่ป่าออกจนมันเหลืองน่ากิน

“ไอ้พุ่มเก็บผักแพวมาด้วยข้าจะเอามาใส่ลาบ” พรานเบป้องปากตะโกนบอกพุ่มที่เดินหายเข้าไปในดงข้างกระท่อม สิงห์เองก็ไม่ได้อยู่เฉยหลังจากจัดเรียงของต่างๆบนกระท่อมเรียบร้อยดีแล้ว ก็ลงมาช่วยพรานเบขูดขนกระรอก ในระหว่างที่นั่งทำกระรอกด้วยกัน สิงห์ก็ถือโอกาสคุยกับพรานเบถึงการมาหาในครั้งนี้ ซึ่งพรานเบเองก็คงจะรู้ดีว่า ถ้าสิงห์มาก็หนีไม่พ้นเที่ยวป่าเข้าดงอีก

“แล้วเอ็งมาเที่ยวกี่วันล่ะ” พรานเบถาม

“ก็น่าจะหลายวันอยู่น้าเบ ผมกะว่าจะอยู่เที่ยวสักเจ็ดแปดวัน ว่าแต่น้าได้ไปเที่ยวบ้างหรือเปล่า” สิงห์ถามด้วยความอยากรู้ ในขณะที่มือทั้งสองข้างยังทำกระรอกอยู่

“เออ...ก็ไปมาเมื่ออาทิตย์ก่อน ไปกับไอ้พรมันนั้นหละ ได้ตัวนิ่มมาตัวหนึ่ง สิบกว่าโลได้มั๊ง ได้ตรงโน่นล่ะแถวๆช่องผาแคบ กำลังจะเดินตัดขึ้นเขาสกแล้วเชียว ไอ้พะเปรียวมันเห่า เลยได้ตัวมันมา” พูดจบแกก็หันไปมองเจ้าพะเปรียวที่นอนหมอบกระดิกหางอยู่ข้างๆ

          นอกจากพรานเบจะเป็นพรานฝีมือดีแล้ว แกยังมีหมาที่ทั้งเก่งและรู้งาน เจ้าพะเปรียวเป็นหมาไทยแท้เพศผู้ท่าทางปราดเปรียว ส่วนอีกตัวชื่อพะบอง หมาไทยแท้เพศเมียแต่ดูแก่กว่าเจ้าพะเปรียวอยู่หลายปี ถ้าเป็นคนก็อาจจะนับได้ว่า ป้ากับหลาน แต่มันก็ยังทำหน้าที่ของมันได้เป็นอย่างดี ทุกครั้งที่พรานเบออกท่องป่า พวกมันสองตัวก็จะคอยออกตามนายของมันไปด้วย สัตว์ตัวไหนที่ควรแก่การล่ามันก็จะช่วยกันเห่าไล่ ส่วนตัวไหนที่ไม่ควรล่ามันก็จะไม่ส่งเสียงเลย แต่ถ้าครั้งใดพรานเบยิงกระรอกมันก็จะรู้ว่า กระรอกคือเป้าหมายของมัน พวกมันจะคอยวิ่งไล่บ้าง หรือไม่ก็เดินดมดูตามโคนไม้ ถ้ามีกลิ่นของกระรอกมันก็จะเห่าไล่ทันที แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นพรานเบก็ยังพลาดเดินเหนื่อยฟรี เพราะพวกมันพากันเห่างู

          ที่ริมห้วยหลังกระท่อม เคิ้งกำลังนั่งทำไก่อยู่ ส่วนเหนือขึ้นไปบนลำห้วย พุ่มก็เดินออกมาพร้อมกับของที่สั่งตรงจากธรรมชาติ ทั้งหัวข่าป่ากำลังอ่อนน่ากิน ผักแพวอีกกำใหญ่ แถมยังมีผักหนาม ยอดมะกอกป่าและผักกูดมาอีกอย่างละกำ ส่วนตะไคร้มีปลูกไว้อยู่แล้วหลังกระท่อม สิงห์รับอาสาทำต้มข่าไก่ พอตั้งน้ำเดือดได้ที่ก็ใส่ เกลือลงไปนิดหน่อย ตามด้วยมะขามเปียกที่ไม่ต้องไปซื้อหาให้เปลืองเงิน แค่สิงห์เดินออกไปเก็บฝักที่หล่นอยู่มากมายตามโคนต้นของมันข้างกระท่อม พอเนื้อมะขามเปียกหลุดออกดีแล้ว ก็ใส่ข่าอ่อนซอยที่มีมากเป็นพิเศษ ตะใคร้สับเป็นท่อนๆแล้วทุบๆสองต้น หัวหอมแดงทุบสองสามหัว พอน้ำเดือดส่งกลิ่นหอมได้ที่ ก็เทไก่ป่า ที่เคิ้งสับไว้ให้แล้วลงไปในน้ำที่กำลังเดือดพล่าน พอเนื้อไก่สุกได้ที่ก็ปรุงรสด้วยน้ำปลา ชิมดูเปรี้ยวไม่พอก็คั้นน้ำมะขามเปียกเติมลงไปอีก ปิดท้ายด้วยใบมะกรูดที่ปลูกไว้และพริกนกตบๆด้วยมีดพอแตก ที่พรานเบเก็บมาให้อีกกำมือใหญ่ๆ  ใส่ลงไปลอยฟอง  ต้มข่าไก่ป่าฝีมือสิงห์ก็ส่งกลิ่นหอมไปทั่วทั้งกระท่อม เล่นเอาลุงโส่ยชักทนไม่ไหว ขอซดน้ำชิมดังสวบ!

          “บ๊ะ! ต้มข่าของเอ็งนี่มันเด็ดจริงๆเลยโว้ย ทั้งร้อน ทั้งเผ็ด ไอ้เบมึงทำลาบเสร็จหรือยังวะ” พูดจบก็คว้าช้อนไปชิมต้มข่าไก่ของสิงห์อีกสวบ แล้วก็ทำหน้าเหยเก เพราะโดนลูกโดด คือพริกนกสดไปเต็มๆถึงสองเม็ด
ส่วนพรานเบหลังจากทำกระรอกแล้วก็เอามาสับทั้งตัว ส่วนหัวและเครื่องในไม่เอา พอสับละเอียดแล้วก็เอาไปคั่วต่อในกระทะ พอสุกได้ที่ก็เติมน้ำปลา มะนาวไม่มีก็ใช้ น้ำมะขามเปียกแทน คลุกเคล้าดีแล้ว ก็ใส่ข้าวคั่วและ พริกคั่วที่เคิ้งคั่วและตำให้ใหม่ๆ ได้รสที่ต้องการแล้วก็ใส่หอมหัวแดงซอยอีกสี่ห้าหัวลงคลุกเคล้าอีกที สุดท้ายใส่ใบผักแพวซอยอีกกำมือใหญ่ๆที่พุ่มไปเก็บมา  ลาบกระรอกของพรานเบก็ใช่ย่อย เล่นเอาสิงห์อดที่จะขอชิมไม่ได้

“สุดยอดเลยน้าเบ แบบนี้ค่อยคุยกันได้หน่อย อยู่แต่ในเมืองกินแต่กะเพราหมูจนเอียนเต็มทีแล้ว” สิงห์ไม่พูดเปล่าเดินไปคว้าขวดเหล้าในเป้ออกมาหนึ่งขวด เล่นเอาลุงโส่ยมองตาเป็นมัน

“เอาลุง เอาไปไหว้เจ้าที่เจ้าทางก่อน อยู่แต่ในป่าในดงท่านคงเอียนเหล้าป่าเต็มทน” สิงห์ยื่นขวดเหล้าแดงให้ลุงโส่ย พอแกรับก็เดินลงไปรินใส่จอกไม้ไผ่ ที่ตรงส่วนก้นแก้วนั้นแกทำไว้สำหรับปักดินไม่ให้ล้ม พอจุดธูปเทียนเตรียมจะไหว้ สิงห์ก็ร้องบอกอีกว่า

“เดี๋ยวๆลุง...ไหว้แต่เหล้าได้ยังไงเล่า! ไอ้เคิ้งเอ็งตักต้มไก่ กับลาบกระรอกใส่ถ้วยไปด้วยอย่างละถ้วย ไอ้พุ่มข้าวสุกแล้วก็ตักใส่ไปอีกถ้วย” สิงห์ร้องบอกพุ่มกับเคิ้ง ที่กำลังจัดเตรียมข้าวอยู่ในครัว

          แสงเทียนสองเล่ม ส่องแสงวอบแวมส่ายไปมาตามสายลมเย็น บนศาลเพียงตาเล็กๆ ซึ่งตั้งโดดเด่นอยู่บนลานกว้าง ข้างๆต้นมะพร้าวหน้ากระท่อม กลิ่นธูปหอมลอยมาตามลมจางๆ ปะปนกับกลิ่นควันไฟและควันของตะเกียงน้ำมัน ที่ตั้งอยู่กลางระเบียง ซึ่งถูกล้อมรอบด้วยกับข้าว ไม่ว่าจะเป็นต้มข่าไก่ป่า ลาบกระรอกอย่างละชาม แถมด้วยจานผักป่านานาชนิดทั้ง ผักหนาม ผักกูด และยอดมะกอกป่าสดๆ น่ากิน ข้างจานผักก็มีเขียดทอดอยู่อีกครึ่งถุง สิงห์ให้สองหนุ่มน้อยกินข้าวกินปลาก่อน ส่วนตัวเองกับลุงโส่ยและพรานเบนั่งล้อมวงอยู่ข้างๆก่องไฟหน้ากระท่อมโดยมี ต้มข่าไก่ และลาบกระรอกเป็นกับแกล้มชั้นดีอีกอย่างละถ้วย แถมยังมีเขียดทอดอีกครึ่งจานที่ตักแบ่งมา 

        ค่ำคืนนี้จึงเป็นช่วงเวลาของความสุขที่นานๆครั้ง สิงห์จะได้สัมผัสกับธรรมชาติแบบนี้ คิดไปแล้วก็อยากจะมาอยู่เสียที่นี่ให้รู้แล้วรู้รอด เพราะไม่อยากจะให้ถึงวันกลับเลย คิดแล้วก็ชักจะปวดหัวขึ้นมาทันที อันด้วยงานที่ต้องใช้ความคิด และความรับผิดชอบสูง บางครั้งก็ถูกเจ้านายดุด่า เมื่อทำงานให้ไม่ทัน คิดไปแล้วเขาเองก็นึกน้อยใจอยู่ไม่น้อย ที่ตัวเองทุ่มเทให้กับงานอย่างเต็มที่ แต่มันก็เหมือนไม่มีคุณค่าอะไรเลย นึกๆไปก็เหมือนหมาล่าเนื้อตัวหนึ่ง ที่ตราบใดที่มันยังล่าได้อยู่ นายของมันคงจะยังเลี้ยงมันไว้ แต่ถ้าเมื่อใด มันหมดเรียวแรงที่จะล่า ตัวมันเองก็หมดประโยชน์ ใครเขาจะเลี้ยงไว้ให้เปลืองข้าวสุก ทั้งๆที่เราเองก็ช่วยให้เขารวยขึ้น ส่วนเราก็แค่รับเงินเดือน คิดแล้วมันก็น่าอิจฉาพวกพรานกะเหรี่ยงพวกนี้จริงๆ ไม่ต้องไปเดือดร้อนอะไร ทำไร่ทำนาไปตามเรื่อง มีเงินเท่าไรก็ใช้แค่นั้น เรื่องเก็บสะสมไม่ต้องพูดถึง ครั้นจะไปทำไร่กูนึกไม่อยากไปกูก็ไม่ต้องไป นึกจะทำอะไรก็ทำ ไม่ต้องคอยรายงานใครต่อใคร หันกับมาดูตัวเราเอง กว่าจะไปไหนมาไหนได้ต้องทำเรื่องรายงานคนโน้นคนนี้ ไม่มีอิสรเสรี แต่เขาก็จะไม่ท้อถอยกับชีวิตแบบนี้ สิงห์คิดอยู่เสมอว่าถ้าเขาทำงานเก็บเงินทุนได้สักก้อน เขาเองก็จะรีบออกมาจากวงจรชีวิตแบบนี้แน่นอน เพราะคงไม่ไปเป็นขี้ข้าเขาไปตลอดชีวิต ขืนทำแบบนั้นก็คงไม่ต่างอะไรกับหมาล่าเนื้อ

          เปลวไฟลามเลียในกองฟืน ที่ถูกลุงโส่ยดุนเข้าไปในกอง พอมีลมพัดมาวูบหนึ่ง ก็ทำให้เกิดเป็นลูกไฟสะเก็ดเล็กๆ พัดสูงขึ้นไปบนท้องฟ้า ซึ่งบนนั้นเต็มไปด้วยหมู่ดาวระยิบระยับนับหมื่นๆดวง หรืออาจจะเป็นล้าน เพราะไม่มีเมฆหมอกมาบดบังเลย ท้องฟ้าคืนนี้เลยดูสวยงามเป็นพิเศษ ถ้าจะถามว่าสิงห์จะหาดูได้ในสถานที่ ที่เขาทำงานหรือไม่ สิงห์เองคงตอบแบบไม่ต้องคิดเลยว่า ไม่มี ถ้ามีก็คงจะเป็นแสงจากหลอดไฟตามนิคมอุตสาหกรรม ส่วนหมอกและเมฆ ก็อาจจะมาจากควันพิษ ที่ถูกปล่อยออกมา สิงห์คิดอยู่เสมอว่า ประเทศไทยของเรามันไม่เหมาะกับอุตสาหกรรม แต่บ้านเรามันเหมาะกับเกษตรกรรมเสียมากกว่า  แต่มันก็เป็นแค่ความคิดที่อยู่ในใจของสิงห์ตลอด จะไปต่อต้านหรือเรียกร้องอะไรกับใคร ก็คงจะทำไม่ได้ เพราะรู้ว่ามันไม่มีประโยชน์อะไรเลย

“เอา...ไอ้สิงห์ตาเอ็งแล้ว” ลุงโส่ย ส่งจอกเหล้าให้สิงห์ซึ่งภายในจอก มีเหล้าอยู่เกือบครึ่งจอก สิงห์รับไว้แล้วยกขึ้นดื่มรวดเดียวหมด แล้วรินเหล้าใส่จอกเดิมที่เขาดื่ม ส่งต่อให้พรานเบ

“ผมไม่ได้กินเหล้าอร่อยแบบนี้มานานแล้ว ไม่ต้องถึงกับเหล้าแดง แค่เหล้าป่าของลุงโส่ย ผมก็ว่าหรูแล้ว” สิงห์พูดหลังจากเหล้าไปอุ่นอยู่ในท้อง

“แต่ข้าว่า เหล้าแดงของเอ็ง มันดีกว่าเหล้าป่าของข้าเป็นไหนๆวะ ไอ้สิงห์” ลุงโส่ยพูดสวนออกมา จบแล้วก็หยิบเขียดทอดในจานเอามาเคี้ยวเล่น ดังกรุบๆ

“เออ...น้าเบพรุ่งนี้เราจะไปเส้นไหนดี” สิงห์สอบถามเส้นทางที่จะไปเที่ยวป่าวันพรุ่งนี้

“ข้าว่าจะพาตัดไปที่ ห้วยแห้งก่อน แล้วค่อยเดินตัดออกช่องผาแคบ นอนแถวๆนั้นสักคืนแล้ววกขึ้นไปทาง ห้วยปลากั้ง” พรานเบเสนอเส้นทาง

“เอาตรงไหนก็ได้ครับน้าเบ ขอให้มีน้ำกินน้ำใช้ก็พอ ส่วนเรื่องสัตว์ป่าตรงไหนชุมหรือไม่ชุมก็ช่างมันเถอะ” สิงห์ตอบไปเพราะว่า ไม่ว่าพรานเบจะพาไปจุดไหน เขาก็ไม่เคยผิดหวัง เรื่องน้ำกินน้ำใช้ไม่เคยมีปัญหา รวมถึงการกินการอยู่

“มีเส้นทางใหม่ๆบ้างเปล่าครับ ที่ผมยังไม่เคยไป” สิงห์ถามพรานเบ ที่กำลังมวนยาสูบใบจากอยู่ พรานเบได้ยินดังนั้นก็หยุดมวนยาเส้นของแก แล้วพูดขึ้นมา

“หรือเอ็งอยากไปลองดูแถวๆ ป่าดำ” พรานเบเสนอสถานที่ ที่สิงห์เองก็เพิ่งจะเคยได้ยิน

“ป่าดำ มันมีด้วยหรือ ผมไม่เคยได้ยินเลยน้าเบ มันไปอีกไกลหรือเปล่า” สิงห์ถามด้วยความสนใจ ส่วนพรานเบนั่งสูบยาใบจากจนไฟแดงวาบ

“เดี๋ยวก็ได้หลงกันตายห่า ใครเข้าไปเที่ยวกัน ป่ามันทั้งทึบและลึกขนาดนั้นไอ้เบ” ลุงโส่ยบอกเหมือนไม่เห็นด้วยกับพรานเบ ที่จะพาสิงห์ไปเที่ยว

“ก็ข้านี่ล่ะ ไปมาแล้ว แต่แค่เฉียดๆ ไม่ได้เข้าไปลึกมาก ข้าหมายถึง ข้าจะพาไอ้สิงห์มันไปแถวๆนั้น หรือแกกลัววะ ตาโส่ย” พรานเบเลิกคิ้วมองลุงโส่ยดูท่าที ลุงโส่ยหลังจากโดนเหล้าเข้าไปหลายจอก ก็ทำหน้าแดงออกอาการโมโห ที่ถูกท้าทายจากพรานรุ่นลูก

“บ๊ะ! ไอ้เบ มึงอย่ามาดูถูกกูนะ กูมาอยู่ป่านี้มาสมัยกูหัวเท่าลูกมะขวิด” ไม่พูดเปล่าแกเอาสันมีดเหน็บเคาะไปบนลูกมะขวิดที่วางอยู่บนพื้นใกล้ๆกับที่แกนั่ง เล่นเอาสิงห์หัวเราะชอบใจ

“ฮาๆลุง ทำเป็นโมโหเดี๋ยวผมขอโทษแทนน้าเบเอง ไอ้เคิ้งเอ็งเอาเหล้ามาให้ลุงโส่ย อีกขวดซิ อยู่ในเป้พี่นะ” สิงห์ร้องเรียกเหล้าแดงมาอีกกลมเพราะรู้ว่า กลมที่กำลังกินกันอยู่เหลืออีกไม่ถึงสองจอกก็หมด

“ผมถามลุงโส่ยเป็นครั้งสุดท้ายนะ ลุงจะไปกับผมหรือเปล่า ถ้าลุงไม่ไปผมก็ไม่ว่าอะไรลุงหรอก” สิงห์ถามเพื่อความแน่ใจอีกครั้ง เพราะชักไม่แน่ใจในตัวลุงโส่ยเสียแล้ว ว่าแกจะร่วมด้วยหรือไม่

“ไหนๆเอ็งก็มาทั้งที ไปก็ไปซิวะ จะได้ไปเที่ยวที่ใหม่ๆแปลกหูแปลกตาบ้าง มาทีไรก็ ห้วยปลากั้ง หรือไม่ก็ช่องผาแคบ ก็ดีเหมือนกันจะได้ไม่เบื่อ” ลุงโส่ยรับคำเชิญ แต่ก็ไม่วายพูดเสริมว่า

“ป่าดำ ที่เอ็งอยากรู้อยากเห็นนะ มันเป็นป่าที่อันตราย ชาวบ้านแถวนี้ไม่มีใครเขากล้าไปหรอก เพราะป่ามันลึกลับน่ากลัว แค่ชื่อว่า ป่าดำ คนก็ไม่กล้าเข้าใกล้แล้ว” ลุงโส่ย อธิบาย พูดจบแกก็กระดกเหล้าลงคอไปอีกจอก

“ยังไงต่อลุงมีแค่นี้หรือ แล้วเคยมีคนเข้าไปหรือเปล่า” สิงห์ถาม แล้วนั่งจิบเหล้าต่อ

“มีเคยมีคนเข้าไปแล้วหลายคน มันคงจะอยากรู้อยากเห็นแบบเอ็งแหละไอ้สิงห์ แต่ที่เข้าไปแล้วก็หายสาบสูญไปเลย ที่กลับออกมาได้ก็เป็นบ้า หรือไม่ก็กลับมาเป็นไข้ป่าตายอยู่ที่นี่” พูดจบแกก็อัดยาสูบเข้าปอดไปชุดใหญ่

“ชักจะอยากเห็นเสียแล้วลุง ขอให้ได้แค่เห็นว่ามันเป็นยังไงก็พอ ไอ้ป่าดำที่ลุงว่า คงไม่ถึงขนาดเข้าไปหรอกลุงโส่ย” สิงห์ไม่วายอยากรู้อยากเห็น แต่ไม่ทันที่ลุงโส่ยพูด พรานเบก็พูดสวนออกมา

“แต่ข้าเคยเข้าไปเฉียดๆ ป่านั้นมาแล้ว ป่าตรงนั้นมันดูมืดทึบทะมึนไปหมด ข้าไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปด้วย พอดียิงหมูโทนใหญ่ แล้วมันไม่ตาย เลยต้องออกตาม เดินตามรอยมันไปเรื่อย มารู้ตัวอีกทีก็ตรงเห็นต้นไม้ใหญ่โต และไม้แปลกๆที่ไม่เคยเห็นนั้นหละข้าถึงรู้ เลยรีบถอยออกมา ถ้ามัวแต่ไม่ดูอะไรเลย ป่านนี้เอ็งคงไม่ได้รู้จักข้าแล้วไอ้สิงห์ รวมถึงแกด้วย ตาโส่ย แกคงไม่มีเพื่อนกินเหล้า” พูดจบ พรานเบก็ยกเหล้าขึ้นดื่ม

“อ้าว...น้าเบก็เคยไปกับเขาด้วย แล้วหมูลำบากตัวนั้นหล่ะ น้าเบปล่อยมันไปหรือ” สิงห์ถามถึงหมูโทนที่พรานเบยิงบาดเจ็บไป

“ก็ต้องปล่อยมันไป ขืนตามมันไปข้าอาจจะไม่รอดกลับมา ถึงได้ตัวมันก็ตาม ผู้แพ้ไม่จำเป็นต้องตายเสมอ ใครๆก็รักชีวิต”  พรานเบตอบมาเป็นสำนวนน่าฟัง พูดจบพรานเบก็ดูดยาเส้นจนปลายมวนแดงวาบ

“อืม....ลุงโส่ย แล้วลุงพอจะรู้เรื่องป่าดำ อีกหรือเปล่าว่ามันเป็นยังไงกันแน่ หรือลุงรู้มาแค่นี้” สิงห์หันกลับไปถามลุงโส่ยที่นั่งอยู่ข้างๆ

“มันเป็นยังไงลุง เล่าให้ผมฟังบ้างซิ” ไม่ใช่สิงห์คนเดียวที่อยากรู้ เคิ้งและพุ่ม เมื่อรู้ว่าจะไปเที่ยวแถวๆป่าดำ ก็พากันลงมาจากกระท่อม มานั่งฟังอยากใจจดใจจ่อ สิงห์รีบรินเหล้าให้แกอีกจอกเต็มๆ แล้วส่งให้แกกระดกอีกจอก หลังจากเหล้าที่สิงห์ส่งให้ลงคอไปแล้ว เรื่องราวต่างๆของ ป่าดำ ก็ถูกเปิดเผยขึ้น

“สมัยที่ข้ายังเด็กๆข้าเคยได้ยินปู่ข้าเล่าให้ฟังว่า มีป่าลึกลับอยู่ที่หนึ่ง ซึ่งมันอุดมสมบรูณ์มาก ไม่ใช่แต่ต้นไม้ที่ทั้งใหญ่โตหลายคนโอบ ขนาดช้างทั้งตัวโคนต้นของมันยังบังช้างได้ ส่วนสัตว์ป่าไม่ต้องพูดถึง มีทุกชนิด ไอ้ที่เราว่ามันสูญพันธุ์ไปแล้ว แต่ป่าแห่งนั้นยังชุกชุม แถมไม่กลัวคนด้วยซ้ำไป นอกจากความลึกลับ น่ากลัวของป่าดำแล้ว ยังมีอันตรายจากภัยต่างๆ ไม่ว่าจากสัตว์ป่า ไข้ป่า และภัยที่เรามองไม่เห็นในรูปแบบต่างๆ ปู่ข้าเล่าว่า  เมื่อใกล้เขตใจกลางป่าดำ  เกือบจะทุกสิ่งจะมีสีดำ ไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ ก้อนหิน ก็ล้วนแล้วมีสีดำ ยกเว้นแต่สายน้ำที่ยังคงใสสะอาดเหมือนเดิม และที่ใจกลางป่าดำนั้น มีภูเขาที่ชื่อว่า เขาหินดำ เป็นภูเขาหินที่ไม่มีแม้แต่ต้นหญ้าขึ้นสักต้นเดียว เป็นภูเขาหินสีดำทั้งลูก และบนเขาหินดำนั้นจะมีถ้ำอยู่....” ลุงโส่ยหยุดพูดแล้วไล่มองหน้าทุกคน แล้วพูดต่อ

“ข้าไม่รู้ว่ามันจริงหรือแค่นิทานหลอกเด็ก ปู่ข้าบอกว่า ภายในถ้ำนั้นเต็มไปด้วยทองคำ พื้น เพดาน ผนัง ก็ล้วนแล้วเป็นทองคำทั้งสิ้น!” ลุงโส่ยพูดจบก็ยกจอกเหล้าขึ้นดื่มจนหมด

“ฮ้า...ทองคำ ลุงโส่ยว่าในถ้ำนั้นเป็นทองคำทั้งหมด ผมอยากจะเป็นลม” สิงห์ทำท่าจะเป็นลม

“ข้าไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า เพราะปู่ข้าก็เล่าให้ข้าฟัง หรือแม้แต่ปู่ข้า ก็ไม่เคยไป มันเป็นเรื่องเล่าต่อๆกันมาหลายชั่วคนแล้วไอ้สิงห์” ลุงโส่ยหันมาตอบสิงห์ ที่ยังทำหน้าเสียอยู่

“จะมีจริงหรือไม่ ผมก็ไม่อยากรู้หรอกครับ เพราะเราตั้งใจแค่ไปเที่ยวป่ากันเฉยๆ เอาแค่ชายดงป่าดำ ก็พอแล้ว ส่วนเรื่องที่ลุงเล่ามา ผมถือว่าเอามาประดับความรู้ก็พอ จริงไหมทุกคน” สิงห์ หันไปมองหน้าทุกคน ที่นั่งล้อมวงกันอยู่หน้ากองไป

“จริงพี่สิงห์ ผมก็แค่อยากเห็นป่าดำว่ามันเป็นยังไงเท่านั้น” เคิ้งตอบ

“ถูกอย่างที่ไอ้เคิ้งบอก พวกเราแค่ไปเที่ยวป่า แค่ชายดงป่าดำก็เกินพอแล้ว อย่าไปคิดถึงใจกลางป่าดำหรือเขาหินดำที่ตาโส่ยว่าเลย แค่มาคิดกันดีกว่า ว่าเราจะไปถึงชายดงป่าดำกันเมื่อไหร่จะดีกว่า” พรานเบตอบมาอีกคน

“นั่นสิ เราจะเดินไปกันเส้นไหนดีน้าเบ ลุงโส่ย” สิงห์ หันไปถามสองพรานกะเหรี่ยงดง

“ข้าว่าไปทางห้วยแห้งก็ดีนะ เพราะทางมันเดินสะดวกดี แล้วค่อยเดินตัดไปที่ช่องผาแคบ หรือเอ็งจะว่ายังไงไอ้เบ” พรานเฒ่าหันไปถามพรานรุ่นน้อง

“ข้าว่าไปเส้นเดิม ที่เคยยิงหมูป่าดีกว่า เราตัดไปห้วยปลากั้ง เพราะหากินง่าย ปลาก็ชุม น้ำท่าดีกว่าฝั่งห้วยแห้งเยอะ นอนสักคืนแล้วค่อยเดินสวนน้ำไปที่แก่งผักกูด” พรานเบพูดจบก็เอื้อมมือไปดุนท่อนฟืนเข้ากองไฟ

“ก็แล้วแต่เอ็งไอ้เบ อย่างน้อยๆเอ็งก็เคยไปถึงชายดงป่าดำมาแล้ว ข้าว่าไปกินข้าวกันดีกว่า นี่ก็ดึกมากแล้วพรุ่งนี้เช้าจะได้เตรียมออกเดินทาง” พรานเฒ่าพูดจบแกก็ลุกเดินไปที่ลานกระท่อม

“ไป จะ 5 ทุ่มแล้ว น้าเบไปกินข้าวกันดีกว่าผมชักหิวแล้ว สงสัยกับข้าวเย็นหมดป่านนี้ เคิ้งรับหม้อต้มไก่ ที่พ่อไปอุ่นที่กองไฟให้พี่หน่อย” สิงห์ร้องบอก กะเหรี่ยงน้อยหลังจากยกนาฬิกาพรายน้ำขึ้นดู

          ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมา กับข้าวที่อุ่นใหม่ก็พร้อม ทั้ง5คน ก็มานั่งล้อมวงกินข้าว เคิ้งและพุ่ม สองกะเหรี่ยงน้อยกินไปก่อนหน้านี้แล้ว เลยไม่ได้กินด้วยเพราะยังอิ่มอยู่ ทั้งสองจึงทำหน้าที่เด็กเสริฟ คอยบริการให้ทั้งสามคนอย่างเป็นกันเอง อาหารมื้อนี้จึงเต็มไปด้วยรสชาติ และความสุข ที่สิงห์เองโหยหามานาน หลังจากกินข้าวเสร็จเรียบร้อย สิงห์ก็ขอตัวไปอาบน้ำที่ห้วยหลังกระท่อม เพราะตั้งแต่เดินทางมาถึงยังไม่ได้อาบน้ำเลย จนรู้สึกเหนียวตัวไปหมด หลังจากคว้าผ้าขาวม้ากับถุงใส่สบู่ที่เก็บไว้ในเป้ ออกมาได้ ก็เดินถือตะเกียงรั้ว ไปที่ริมห้วยทันที

          ที่ลำห้วยตอนหนึ่ง ภายใต้ซุ้มไม้ที่เปรียบเสมือนหลังคาธรรมชาติ ภายใต้ซุ้มไม้นั้นเอง มีแอ่งลึกเป็นพิเศษเพราะพรานเบใช้หินกั้นทำเป็นฝายไว้ สายน้ำใสไหลรินเย็นยะเยือก ไหลกระทบแก่งหินดังจุ๋งจิ๋ง เมื่อได้ที่เหมาะ สิงห์ก็ลงแช่ ทันที่ ที่ลงไปแช่ สิงห์ถึงกับผวา เพราะความเย็นยะเยือก สะท้านไปถึงหัวใจ แต่พอแช่ไปสักพักก็รู้สึกถึงความสบาย หายเหนื่อยเป็นปลิดทิ้ง เขาทอดอารมณ์ไปกับกระแสน้ำที่ไหลรินเอื่อยๆ ท่ามกลางหมู่แมกไม้ที่ห้อมล้อมตัวเขาตลอดลำห้วย และเสียงแมลงต่างๆที่กรีดปีกส่งเสียงไปทั้งป่า ครั้งหนึ่งเขาถึงกับสะดุ้ง เพราะอยู่ๆอึ่งป่าดันร้องอยู่ที่ข้างๆตัว มันคงมาหลบหาอาหารกินก่อนหน้าที่สิงห์จะลงมา  แต่พอรู้ว่าอะไรเป็นอะไร ก็ไม่ได้สนใจกับที่มาของเสียงนั้น แสงตะเกียงรั้วที่ตั้งอยู่บนก้อนหินใหญ่ริมลำห้วย ส่องแสงวอมแวมตามสายลมที่พัดมาเอื่อยๆ ถึงด้านนอกจะแลดูมืดทะมึนน่ากลัว แต่พอได้แสงไฟของตะเกียงรั้ว ป่าที่ดูน่ากลัวก็กลับดูปลอดภัยและอบอุ่นขึ้นมาทันที หลังจากแช่น้ำจนชื่นใจและหายเหนื่อย เขาก็เดินกลับกระท่อม ที่ตอนนี้มีแสงสว่างจากตะเกียงรั้วอีกดวงหนึ่ง ตั้งเด่นอยู่กลางระเบียง และด้านล่างกองไฟที่ถูกก่อกองใหญ่ เมื่อตอนหัวค่ำนี้ เหลือเพียงไฟแดงๆจากฟืนที่กำลังจะดับ เมื่อเขาหันไปดูในกระท่อมก็เห็นพวกกะเหรี่ยงดงนอนกันไปหมดแล้ว มีเพียงเคิ้งที่เอาเปลมาผูกใต้ต้นมะขาม ข้างกองไฟอยู่คนเดียว ถัดออกไปเจ้าพะเปรียวกับเจ้าพะบองนอนขดอยู่ข้างกองไฟ โดยหูของมันตั้งอยู่ตลอดเวลา หลังจากผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จ เขาก็จัดแจงหาเสื้อกันหนาวขึ้นมาใส่ เพราะอากาศตอนนี้เริ่มหนาวเย็นขึ้นทุกที หลังจากได้เสื้อกันหนาวแล้วก็ผูกเปลสนามแบบมีมุ้ง เข้ากับเสากระท่อมทั้งสองด้าน เมื่อตรวจสอบว่าผูกเปลแน่นหนาและแข็งแรงดีแล้วสิงห์ก็ล้มตัวลงนอนในเปล ซึ่งภายในมีถุงนอนอีกผืนหนึ่ง

          ลมหนาวพัดมาอีกวูบจนเขาต้องห่อตัวกับถุงนอน จนรู้สึกอุ่นขึ้น เขามองสิ่งต่างๆรอบตัวผ่านมุ้งของเปลสนามไปเรื่อยเปื่อย กองไฟที่ลานดินหน้ากระท่อมเหลือน้อยลงไปทุกที ตอนนี้มีเพียงขี้เถ้าขาวโพลนไปหมด เหลือเพียงถ่านไฟแดงๆ ไม่กี่กองเท่านั้นและอีกไม่นานมันก็มอดดับหมดไปเอง เมื่อเขาหันกลับไปมองที่ริมห้วย ด้านนั้นตอนนี้มองไม่เห็นอะไรแล้ว นอกจากเสียงของน้ำในลำห้วย และเสียงของแมลงต่างๆรวมทั้งอึ่งป่า ที่ร้องงึมงำอยู่ในลำห้วยสายนั้น หิ่งห้อย หลายสิบตัวบินส่องแสงวูบวาบไปมาที่ชายป่า เขานอนมองและฟังเสียงของป่าอย่างมีความสุข ก่อนทุกอย่างจะมืดดับไป....


*******นิยายยังไม่จบแค่นี้นะครับ โปรดติดตามตอนต่อไป (หลังสงกรานต์เด้อพี่น้อง)********
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024
siamfishing.com/content/view.php?cat=article&nid=42266