สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 24 เม.ย. 67
Xx ภาพ ที่ได้เห็น กับ ความเป็นจริง ในชีวิตคนเรา xX : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 25 - [4 ก.พ. 54, 09:41] ดู: 4,973 - [25 มี.ค. 67, 06:34] โหวต: 8
Xx ภาพ ที่ได้เห็น กับ ความเป็นจริง ในชีวิตคนเรา xX
XsteaM (408 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
31 ม.ค. 54, 00:03
1
  ผม ได้มีโอกาสเห็นธาตุแท้ คนเรา ที่ ใช้คำว่า " ญาติพี่น้อง "  ก็เมื่อเร็วๆนี้เอง 

เช้าวันนึง ผมได้รับโทรศัพท์จากทางญาติแฟนว่า "ลุง ป่วย "

" ลุง ในที่นี้  เป็น พี่ชายคนโต ของแม่แฟนผม  และ มีน้องๆ ท้องเดียวกัน อีกหลายคน "

ลุง  เป็นชายโสด  ค่อนข้างมี นิสัย มั่นใจในตัวเอง  ดื้อรั้น  เอาแต่ใจตัวเอง  แต่  รักเด็ก  นี่คือ นิสัยแรก ที่ผมได้รับรู้จากปากแฟนผม

กลับมาเข้าเรื่องต่อครับ  เราเดินทางไปตามที่ปลายสายแจ้งว่า  อยู่ที่ ร.พ. แห่งหนึ่ง  และ ภาพที่ได้เห็นคือ ลุง นอนอยู่บนเตียง มีสายน้ำเกลือห้อยแขวนอยู่ด้านข้าง

ตรงจมูกลุง มีท่อยาง ต่อออกจากจมูก และ ปลายถุง มีน้ำสีตำๆ ออกมาเป็นระยะๆ  สวมท่อช่วยหายใจตลอด  เอ..............  ลุงเป็นอะไรนะ

ถามได้ความจากน้องคนนึงของลุงว่า  ลุงเป็นโรค "ลำไส้อุดตัน" ต้องทำการผ่าตัดด่วน  แต่ หากต้องรอหมอมาดูอาการอีกสักครั้ง

หากแต่รอ แล้ว รอเล่า  สำหรับ บัตรทอง เป็นเรื่องที่ยากมาก  ที่จะมีคนมาดูแล เอาใจใส่อย่างจริงใจ  ลุงเริ่ม ไม่ไหวแล้ว  อาเจียนพุ่งออกมาอย่างแรง

กลิ่นเหม็นคลุ้งทั่วห้อง  น้ำสีดำ เปรอะ เต็มที่นอน  หายใจไม่ออก  "หมอ"  คำนี้เอง  ที่ทำให้ผมคิดได้ว่า  "อยู่ไหน "  ลุงเข้าโรงพยาบาลตอน 11 โมงเช้า  นี่ 5 โมงเย็นแล้วนี่

อยู่ไหนกันครับ 

พยาบาล และ บุรุษพยาบาล วิ่งกันให้วุ่น คนไข้เริ่มมีอาการ ช็อค  ปั๊มหัวใจ  การทำงานของหัวใจ เริ่มผิดปกติ 

เราเริ่มใจเสียกันแล้ว  โทรหาญาติ พี่น้อง  ทุกคนต่างไม่ว่าง อยู่ไกล ไม่สะดวกมา  ครับ  เข้าใจครับ  มันปุบปับเกินไป

ลุง เริ่มมีสติอีกครั้ง  เหล่าพยาบาลทั้งหลาย  กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองกันหมด 

ปล่อยลุง  นอน หายใจรวยริน  เหนื่อยหอบ  บน กอง อาเจียน สีดำ เหม็นเน่า  จนเราทนไม่ไหว  เดินไปบอกบุรุษพยาบาลให้มาเปลี่ยนให้หน่อย  เพื่อรอหมอมาเตรวจ

ครับ  หมอ มาแล้วครับ  ตอนนี้ เวลา 18.25  น.  สรุป  ลุงอาการหนักเกินกว่าจะผ่าตัดได้  คำที่หมอบอก  ทำให้เราได้รู้ว่า  ลุง  เป็นมากกว่าที่เราคิดกันไว้

ลุง ลำไส้อุดตัน และ ต้องทนทรมาน มานานเกินกว่า ที่เรารู้  ลุง  ทนทรมาน มานานกว่าที่เราได้ทราบ  เค้าทน  เพียงเพื่อคำว่า " ไม่อยากเป็นภาระ ให้พี่น้อง "

หมอยังบอกอาการต่อไป  แต่ จับใจความได้ว่า  อาการลำไส้อุดตันของลุง  มันปล่อยมานาน จน น้ำย้อนเข้าไปในอวัยวะส่วนอื่น ไม่แน่ใจว่าเป็น ตับ หรือ ไต

แถม ยังมีอาการ ไตหยุดทำงาน  หัวใจเต้นไม่ปกติ  ไม่อาจทำการผ่าตัดให้ลุงได้แล้ว    เราจึงได้โทรแจ้งให้ญาติๆ  คนอื่นๆ  ได้ทราบทั่วกัน

  แล้วเวลา 2 ทุ่มคืนเดียวนั้นเอง  ญาติแฟน ได้ติดต่อ  จะทำการย้าย ร.พ.  แล้วก็ได้ข้อสรุป ว่า เราต้องย้ายไป ร.พ. ที่ดีกว่านี้  ผมจึงกลับบ้าน
แต่แล้ว  เมื่อตอนเช้าอีกวัน  ผมได้รับโทรศัพท์อีกครั้ง ว่า  ลุง เสียแล้ว 

เราก็รีบบึ่งไป ร.พ.กัน  แต่แล้วก็ ต้องหยุดระหว่างทาง  ได้รับโทรศัพท์ว่า  ลุง  ได้มอบร่างกาย ให้เป็นอาจารย์ใหญ่ ไปแล้ว

เราจึงเปลี่ยนแผน  ไปจัดการเรื่องการงานศพ

ติดต่อวัด  นิมนต์พระ  เนื่องจากเราก็ไม่เคยตาย  ไม่เคยจัดงานศพเอง  และ  ญาติๆลุง ก็ไม่มีใครจัดงานศพเป็นกันด้วย 

เอาแล้วสิ  ทำไงดีล่ะเนี่ย  ก็ ถาม แล้วกัน  ถามทุกอย่างที่สงสัย  จนเริ่มคิดว่า  หลวงพี่คงเริ่มรำคาญ (อันนี้คิดไปเองนะ)

แล้วก็เริ่มจัดการ หาซื้อ โลง กัน  เริ่มจากการ โทรปรึกษา และแจ้งราคา ให้กํบญาติ ของลุงก่อน จนได้ข้อสรุปแล้ว

แล้วเราก็เริ่มติดต่อ จองศาลา  เมื่อได้ศาลาแล้ว  เราก็ ไปยังศาลาที่เราจองไว้  เพื่อพบกับ ผู้จัดการศาลา แห่งนี้ (ศาลาเยอะมาก )

เราได้ติดต่อ แจ้งความประสงค์ไปว่า  ขอยืม ดอกไม้หน้างาน ของวัด  เนื่องจาก การตัดสินใจ จ่ายเงิน ต้องเป็นการยินยอมจากญาติ  ผมเป็นแค่ผู้ประสาน ดำเนินงาน

ผู้จัดการศาลา มองเรา เป็นไม่ค่อยเป็นมิตร  เราอาจ ทำอะไร ไม่เข้าหูเข้าตาเค้า หรือ พวกผมอาจไปปาหลังคาบ้างเค้ามาจากชาติที่แล้วก็ได้  ผมขอโทษครับ

เราได้เพียง ผม และ เล็บ ของลุง มาจัดพิธีเท่านั้น  และ ได้ลงมติกันว่า จะทำการสวด และ ทำทุกอย่าง  อย่างที่เค้ามีศพกันทำกัน

คืนแรก  บรรยากาศภายในวัด  เงียบเหงา ถ้าไม่นับจากศาลาอื่น ที่แขกเค้ามากันคึกคัก  ศาลาเราแทบไม่มีคนอื่นเลย

นอกจากญาติ เพียงไม่กี่คน เนื่องจาก ไม่มีการโทรแจ้งใคร ไม่มีการบอกใคร หลายความเห็น หลายสาเหตุ

แต่ หนึ่งในสาเหตุ ทำให้ผมอึ้ง  กับ สิ่งที่เรียกว่า มิตรภาพ ที่ลุงได้สร้างไว้ก่อนตาย  เนื่องจากลุงเป็นคนมีเพื่อนฝูงค่อนข้างเยอะ

แต่ ไม่มีใคร ยอมที่จะให้ลุง ได้พบเค้าครั้งสุดท้าย ไม่มีใคร ยอมแจ้งเพื่อนฝูง ให้มาคารวะศพเป็นครั้งสุด ท้าย เพื่อ " อโหสิกรรม "

ลุง ได้จากไป พร้อมความเงียบเหงา  เพียง แค่คำว่า  " เป็นหนี้ "

ผมไม่เข้าใจ และ ไม่แน่ใจ ว่า  เค้าเหล่านั้น  กลัวการที่เจ้าหนี้ แสดงตัว จนต้องทำให้การจากไปของลุง เป็นไปอย่างเงียบเหงา  ไม่มีใครได้รับรู้

หรือ  เพียงเพราะว่า กลัวเจ้าหนี้ มาให้ัรับช่วงหนี้ต่อ  เพียงแค่ ความคิดเหล่านี้  ก็ทำให้ มีการปรึกษากันลับๆ กันเองในระหว่างพี่น้องไม่กี่คน

พี่น้องที่ลงมติว่า เห็นดี หรือ  อย่างไร  แต่ก็ นะ  ผมมันคนนอก  ไม่สามารถแสดงความคิดเห็นได้  ก็ ก้มหน้าทำหน้าที่ให้ดีที่สุดครับ   
มาต่อครับ
สรุป  การจัดตั้งสวด เราจัดกัน 3 คืน และ จะทำการเผาหลอก (อันนี้ ไม่ทราบว่าเรียกถูกหรือปล่าว การเผาเฉพาะ ผม และ เล็บ)

จากที่ผมดูสถานะการณ์ ตลอด 3 คืนที่ผ่านไปนั้น  ส่วนใหญ่ ทางญาติพี่น้อง จะเคลียร์กัน เรื่อง ทรัพย์สินที่ลุงทิ้งไว้ก่อนเสีย 

ลุงเป็นคนที่สะสมพระมาตลอดชีวิตของท่าน  แต่ แค่คืนที่ 2 ผมก็เข้าไปดูบ้านท่าน  พระกว่า 5000 องค์  ไม่มีเหลือเลยครับ

ทรัพย์สินของลุง นอกจากพระ ก็ไม่ค่อยจะมีอะไรมาก  ก็เหลือเฉพาะสิ่งของที่ไม่ได้ก่อให้เกิดทรัพย์แล้ว (เพราะพระไม่เหลือแล้ว)

แต่งานยังคงจัดกันต่อไป โดยผมและ แฟน เป็นแม่งานใหญ่  เลยมานั่งคิดว่า  สงสารลุง เพียงเพื่อ การไม่เจอตัวเจ้าหนี้  ทำให้แก จากไป โดยไม่มีใครรับรู้

การที่แก ได้อุทิศร่างเป็นอาจารย์ใหญ่นั้น  แกได้ทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ หรือ เพียงเพราะรู้ว่า  จะได้ไม่เป็นภาระให้แก่พี่น้องที่ยังเหลืออยู่นั้น  ผมยังแยกแยะไม่ออกครับ

และ เมื่อการทำพิธีเสร็จสิ้นผ่านไป  ผมได้มีโอกาสได้รับรู้ ถึงความในใจบางอย่างจากลุง  เนื่องจากผมได้มีโอกาสได้คุยกับเพื่อนบ้านที่สนิทกับลุงมาก  ได้ความว่า

ลุงลำบากมาก  กับการที่เค้าได้เล่าให้เพื่อนบ้านที่สนิทฟัง ว่า  ลุง ได้สมบัติ บางส่วนจากพ่อ ผู้ล่วงลับไปแล้ว  แต่หาก ทรัพย์สิน ทุกอย่าง  ลุง ได้เพียงแค่  เพียงน้อยนิด

และ พี่น้องคนอื่นๆ  ได้กันเป็นก้อน  แต่ พี่น้องลุง  ได้ลงมติกันว่า ให้แบ่งจ่ายลุง เพียง เดือนละ 3000  บาท  เพราะหากลุงใช้หมด จะเป็นภาระพี่น้อง เนื่องด้วย

นิสัยลุง เป็นคนใจดี กับเด็ก  ท่าน สามารถให้เด็กข้างบ้าน(ไม่ใช่บ้านที่สนิท)  ไป 5000 บาทเนื่องด้วย เด็กคนนี้ อยากไปเที่ยวภาคเหนือ แต่ด้วยฐานะของพ่อแม่

ไม่สามารถพาลูกไปได้  เด็กคนนี้ ไม่ใช่เด็กโตอะไรครับ  เป็นเพียงเด็กไม่กี่ขวบ  สาเหตุที่ลุงรักเด็กคนนี้น่ะหรือครับ  เพราะว่า  ท่านคิดถึง ลูกหลาน แต่หากโทรหา

ใคร  ก็คงจะไม่มีใครมาหา เพียงแค่กลัวว่า  จะต้องมาดูแลรับผิดชอบชีวิตลุง  แค่นี้ ก็ทำให้เค้ารู้สึกตลอดเวลาว่า ตัวเค้า  ต้องไม่สร้างภาระให้ลูกหลาน

และผมได้เจอ สิ่งมีค่าอีกชิ้นหนึ่ง  ที่เค้าได้ทิ้งไว้  มันคงมีค่าทางจิตใจของเค้าอีกชิ้น นอกจากพระที่เค้าสะสมมาทั้งชีวิต  (ผมก็ไม่เข้าใจนะครับ  คนเรา ลองได้รักอะไร

จริงจังในชีวิตแล้ว  หากลำบากขนาดไหน ก็ไม่มีทางปล่อยมันไป  พระที่เค้าสะสม  มีไม่น้อย ที่เป็นพระดี ราคาแพง  เค้าลำบากขนาดนั้น  ทำไมไม่ขาย)

ก็คือ  เรื่องสั้น  นิยาย หรือ ความในใจบางอย่างจากเค้า  เค้าแต่งมัน โดยที่อ่าน เหมือนเป็นการระบายความในใจมากกว่า  เพราะ หลายเรื่องที่ผมอ่าน  แฟนบอก

มันคือสิ่งที่เป็นเรื่องจริง  แต่บางอย่าง  มันเหมือนสิ่งที่อยู่ในใจมากกว่า  อย่างเช่น  เรื่องนึง  ที่เกี่ยวกับพ่อ  ได้ทราบว่า  ลุง  ไม่่ค่อยจะลงรอบกับผู้เป็นพ่อ  แต่หาก

ข้อความเหล่านั้น  บรรยายถึงการ ทึ่งในตัวพ่อ  แต่ไม่กล้าพูด  อะไรประมาณนี้  ซึ่งในวันหน้า  ผมจะเอามาทยอยลงให้ได้อ่าน ครับ  ไม่อยากให้หายไปกับความทรงจำ

เหล่านั้น  ทุกวันนี้  แค่ผ่านมาไม่กี่วัน  ผมไม่เคยได้ยินใครพูดถึงลุง  ท่านเพิ่งเสียไปได้แค่ไม่กี่วัน  แต่  ญาติๆก็เรื่มผลักความรับผิดชอบ  ในหลายๆเรื่องเกี่ยวกับลุง

เศร้าครับ  หากเป็นผม  คงไม่สบายใจแน่ๆ  ทิ้งภาระไว้ให้คนข้างหลัง  แม้จะเก็บความทุกข์ทรมานไว้คนเดียวมานาน  การจากไป โดยไม่ตั้งใจนี้  มันทำให้คนข้างหลัง

เป็นกังวลมาก  จริงๆแล้ว  ก็ไม่น่าแปลกครับ  หากกลัวเรื่องหนี้สินที่ลุงทิ้งไว้ให้  ทรัพย์สมบัติลุง  ที่ลุงไม่เคยได้ถือไว้เอง  ให้เค้าไปสิครับ  กลัวกันทำไม  อะไรที่ลุงควร

ที่จะได้  ก็ให้เค้าได้ไปโดยที่เค้าไม่ได้ใช้สิครับ  พูดทำไม  หากรู้ลุงลำบากอย่างนี้  จะไม่ปลอ่ยลุงลำบาก  จริงใจหรือครับ  นี่หรือครับ  ญาติพี่น้อง

          การอยากช่วย  ทั้งที่ไม่เดือดร้อนอะไร  ขณะ ที่ไม่สามารถช่วยอะไรได้อีกต่อไปแล้ว  สำหรับ คนที่เป็นญาติห่างๆกัน  ไม่เเปลกครับ  แต่  สำหรับคนที่ได้ชื่อว่า

" คลานตามกันมา "  ลองคิดดูสิครับว่า  ได้แค่ไหน  การที่ลุงจะใช้ทรัพย์สมบัติของตัวเอง  หมด  มันผิดใช่ไหม  แล้วตอนนี้  ลุง ไม่ได้ใช้ทรัพย์สมบัติของตัวเองเลย

แถมอยู่กับความลำบาก จนเป็นเพื่อนกันมานั้น  แค่ทำให้คนที่เก็บทรัพย์สมบัติลุง  พอใจในเงินในบัญชีที่มีมาก แล้วจ่ายให้ลุงเพียงเดือนละ 3000  บาท  สบายใจแล้ว

จริงหรือครับ  ทำให้ผมได้คิดว่า  การที่เราได้ช่วยเหลือใคร  การที่เราคิดว่า  เราได้ช่วยเหลือเค้า  การที่เราได้ทำอะไรเพื่อใครคนนึง  ควรทำตั้งแต่วันที่ยังไม่เกิดเรื่อง

ร้ายแรง  ไม่ใช่  มาคิดได้ ตอนที่ไม่สามารถแก้ไขอะไรได้อีกแล้ว  มานั่งพูดตอนหลัง  ก็คือแค่การปลอบใจตัวเอง  ว่า ชั้นไม่ได้โกงนะ  ชั้นเสียใจนะ ที่เพิ่งรู้ว่าลุงลำบาก

ทำไมไม่ลองคิดก่อนครับว่า  หากลุงใช้ทรัพย์สินหมด  ก็คงต้องเข้าใจ เพราะลุงไม่ใช่คนที่จะเข้าใจอะไรในชีวิตยาก  แล้วเงินก้อนโต  ผมว่า  ลุงคงไม่สิ้นคิดขนาดไม่รู้

ว่าตัวเองไม่มีครอบครัว  กับเงิน 3000 บาท  ในการใช้ชีวิตในกรุงเทพ  ค่าน้ำ  ค่าไฟ  ค่ากิน  คิดว่า  เพียงพอหรือครับ 

"  ช่วยเหลือ  ในขณะที่เราสามารถ ทำได้ 
    ช่วยเหลือ  ในสิ่งที่เราไม่เดือดร้อน
  ทำซะเถอะครับ  จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจ  กับสิ่งที่ตามมา  "




ขอให้ดวงวิญญาณลุง  ไปสู่สุขคติ  อย่าได้ทุกข์ใจอะไรอีกเลย  ลุงได้ทำบุญครั้งยิ่งใหญ่ในชีวิตแล้ว (การเป็นอาจารย์ใหญ่)

เหลือไว้ใ้ห้ ญาิติพี่น้อง  ได้คิดกันเองครับ 



ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ  เรื่อง ไร้สาระ  แต่  มีสาระ  อาจทำให้หลายๆคน  ได้เดินไปในทางที่ถูกต้องก็ได้ครับ
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024