ลัวรี่ ราพาล่า ตำนานแห่งสายน้ำที่ไม่มีวันสูญสลาย
ถ้าคุณเป็นนักกีฬาตกปลา คุณน่าจะรู้จัก ราพาล่า เหยื่อปลอมขนาดต่างๆ ซึ่งแต่ละตัวมีอำนาจที่สามารถสะกตจิตปลาให้เข้ามาคว้ากินได้ แต่คุณอาจจะไม่เคยได้ยินถึงเรื่องราวของคนผู้ซึ่งผลิตเหยื่อปลอมเหล่านี้ ขึ้นมา
นักตกปลาธรรมดาๆซึ่งใช้ชีวิตของตัวอย่างเงียบๆ ซ่อนเร้น มีชื่อว่า ลัวรี่ ราพาล่า ซึ่งประสบโชคจากงานประดิษฐกรรมของเขา
เพื่อที่จะจบชีวิตลงในความเศร้าที่เป็นโศกนาฏกรรม
ลัวรี่ ราพาล่า
เขาเกิดที่เมืองเล็กๆ ในปี 1907 ไม่เคยเห็นหรือรู้เรื่องราวของพ่อผู้ให้กำเนิด ไม่มีแม้แต่นามสกุล จนกระทั่งอายุได้ 5 ขวบ เจ้าหน้าที่ทางสำมะโนประชากรจึงตั้งนามสกุลให้เขาว่า ราพาล่า ตามชื่อของเมืองที่เขาได้เกิดมา
คำนี้ในภาษาที่ใช้กันอยู่พื้นบ้าน หมายความถึงความมัวมน ปลักตม ซึ่งรู้สึกว่าตรงกับบุคลิกภาพหม่นหมองของเด็กกำพร้าคนนั้น ชีวิตส่วนใหญ่ของเขาพบรู้จักแต่ความยากจน ต้องทำงานหนัก ออกรบในสงครามทั้งกับพวกรัสเซียนและเยอรมันเพื่อจะได้มีประสบการณ์ที่ทั้งรุ่งโรจน์และถูกกระแทกซ้ำเติมในบั้นปลายเหมือนความสำเร็จรุ่งโรจน์นั้นหัวเราะเยาะเขาพร้อมๆ กัน
ในปี 1936 ราพาล่าได้ทำเหยื่อปลอมชนิดลอยน้ำได้ขึ้นมาตัวหนึ่ง เหยื่อตัวนี้มีอาการส่ายตัวบิดไปบิดมาที่ไม่เหมือนตัวอื่นๆ เป็นเวลาเป็นปีๆ มาแล้วที่เขาตกปลาอยู่ตามทะเลสาบชายป่าซึ่งอยู่ไกลออกไปทางด้านเหนือของเฮลซิงกิประมาณ 2 ชั่วโมง จากเรือกรรเชียงที่เขาใช้ เขาเพียรศึกษาการต่อสู้เพื่อยังชีพในกระแสน้ำ เฝ้ามองปลาเหยื่อตัวเล็กๆ ที่ถูกงาบเข้าไปในอุ้งปากมหึมาของเกมส์ฟิช ซึ่งส่วนใหญ่เป็นปลาเทร้าท์หรือไม่ก็ปลาไพค์
ผมได้เห็นว่าปลาใหญ่ๆ นั้นมักจะรอคอยจนกระทั่งสามารถเลือกเหยื่อที่มีลักษณะอาการแตกต่างไปจากตัวอื่น
เขาเคยพูดอธิบายให้ฟัง การที่ปลาเหยื่อถูกปลาเกมขนาดใหญ่ๆ กินก็เป็นเพราะกริยาอาการว่ายน้ำที่ไม่เหมือนตัวอื่นๆเป็นจังหวะที่ต่างกัน ด้วยการฝึกหัดอันนี้ เขาถึงขนาดทายไว้ล่วงหน้าได้ว่าเมื่อลงเหยื่อเสร็จ ปลาจะกินเหยื่อตัวใหนก่อน
นี่ไม่ใช่การฝึกอดทนที่ไร้ค่า เพราะครอบครัวราพาล่ามีชีวิตอยู่ได้ด้วยปลาตลอดระยะเวลาทุกข์ยากอันยาวนาน หลังจากไม่ได้มรรคผลอะไรจากอาชีพเพาะปลูกและตัดซุง เขาตกลงใจเป็นชาวประมงและแต่งงานกับภรรยาของเขา เอลมา มีลูกด้วยกัน 7 คนตลอดระเวลาระหกระเหินจากพรากกันบ้างยาวนานถึง 21 ปี ในภาวะสงครามนั้น ครอบครัวนี้อยู่รวมกันในกระท่อมซุงสี่เหลี่ยมขนาดกว้างยาว 13 ฟุต เฟอร์นิเจอร์ในบ้านมีเตียงอยู่ตัวหนึ่งและเมื่อไฟฟ้าไปถึงที่นั่นในปี 1939 ทั้งบ้านมีตะเกียงน้ำมันอยู่เพียงดวงเดียว
ลัวรี่ ราพาล่า ตกปลาอย่างหนักแทบทุกลมหายใจที่ตื่น ในทะเลสาบใกล้ๆกับ วาแอคซี่ ฟินด์แลนด์ เขาจะวนเวียนพายเรืออยู่ในนั้นเป็นวันๆ วันข้ามวัน มีตาข่ายใส่เหยื่อปลาและเบ็ดนับร้อยๆสาย และเขาไม่เคยมีคันเบ็ดใช้เลย บางทีเขาจะหายไป 2 วันแล้วกลับมาพร้อมด้วยปลาเทร้าท์หนักรวมกันถึง 600 ปอนด์ และบางทีก็หายไปนานกว่านั้นแล้วกลับมาแบบไม่ได้อะไรเลย
ริสโต้ ลูกชายคนหนึ่งของเขาพูดถึงพ่อแบบทบทวนความหลังว่า พ่อออกจากบ้านในฤดูหนาว วิ่งสกีไปหลายๆ ไมล์ข้ามหิมะและน้ำแข็งไปยังแหล่งตกปลา เพื่อเจาะหิมะและน้ำแข็งซึ่งหนาถึง 23 นิ้ว ให้เป็นรูแล้ววางเบ็ดพร้อมปลาเหยื่อลงไปนำอาหารกลับมาให้ครอบครัวยังชีวิต
อย่างไรก็ตาม ในช่วงฤดูร้อนซึ่งเขาต้องทำงานสายตัวแทบขาดนั่นเองที่ราพาล่าได้ความคิดที่เป็นรูปร่างเหยื่อปลอมขึ้นในขณะที่เขาคอยให้ปลามากินเบ็ดเพื่อที่มันจะได้เต็มตาข่ายเอากลับไปบ้าน เขาเอาสายเบ็ดพันมือและพายเรือช้าๆ ลากปลาเหยื่อไปอย่างคนที่ไม่ยอมให้ทุกวินาทีของตนผ่านไปเฉยๆ อย่างไร้ค่า เขาก็ได้ความคิดถึงเรื่องเหยื่อปลอมซึ่งถูกลาก และมีแอคชั่นบอกอาการคล้ายๆปลาเหยื่อที่กำลังบาดเจ็บซึ่งจะเรียกร้องความสนใจจากเกมส์ฟิช
หลังจากทดลองหลายครั้งหลายหนเขาก็ได้ข้อสรุปออกมาว่า เหยื่อนั้นต้องใช้วัสดุเบาๆ ทำ มันจะได้มีแอ็คชั่นเหมือนเหยื่อปลาที่บาดเจ็บมากที่สุด ตอนแรกเขาใช้ไม้สนในการทำเหยื่อปลอมรูปตัวปลา ต่อมาได้ทดลองใช้เปลี่ยนเป็นไม้บัลซ่าจากอีควาดอร์ เขาตกแต่งเหยื่อนั้นให้มีลักษณะคลายตัวปลา ใช้กระดาษตะกั่วทากาวทับติดตัวปลา ติดปากเพื่อให้เหยื่อมีแอคชั่นและเพื่อให้มองดูเหมือนปลาเหยื่อมากขึ้น เขาระบายสีเหยื่อปลอมตัวนี้ด้วยหมึกสีแบบเก่า
เหยื่อปลอมนั่นประสบความสำเร็จอย่างน่าตื่นตกใจ มากยิ่งกว่าความคาดหมายของคนทำเป็นล้นพ้นทวี ทั่วท้องถิ่นเล่าลือกันถึงเหยื่อนี้ และอย่างชาวนาผู้ซื่อตรง เขาไม่ได้หวงแหนหรือเก็บงำไว้เป็นความลับส่วนตน เขาทำเหยื่อปลอมแบบตัวเก่งออกแจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้านและเพื่อนคนหาปลาด้วยกัน สุดแล้วแต่ใครจะขอหรืออยากได้
ข่าวดีนั้นเดินทางเร็วในโลกของคนตกปลา มันแพร่ไปเร็วและกว้างยิ่งกว่าไฟใหม้ป่า ความต้องการหลั่งใหลเข้ามา และราพาล่าเริ่มต้นขายเหยื่อปลอมของเขา
อะไรกำลังจะดี แต่มีอุปสรรคเข้ามาขวางให้โชคของคนยากจนสิ้นลงง่ายๆ รัสเซียบุกเข้ายึดครองฟินด์แลนด์ในปี 1939 และเขาต้องไปรับใช้กองทัพเป็นเวลาถึง 5 ปี กว่าเขาจะได้กลับคืนไปที่กระท่อมน้อยริมทะเลสาบของเขาอีก ในช่วงนั้น เอลมา เลี้ยงลูกชาย 5 คนและลูกสาว 2 คนให้มีชีวิตอยู่ได้โดยอาศัยการทำงานเล็กๆน้อยๆ และกู้ยืม
เมื่อภาวะสงบกลับคืนมาและคนเราเริ่มมีเวลาว่าง กีฬาตกปลากได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในทวีปอเมริกาเนือ ราพาล่าก็สามารถผลิตและขายเหยื่อปลอมของเขาได้มากขึ้น
กลางๆ ปี 1950 เหยื่อราพาล่าจึงได้ไปถึงอเมริกา เขาส่งมันไปเป็นของขวัญแก่ชาวฟินด์แลนด์โพ้นทะเลซึ่งอยู่ในฟลอริดาและแถบเหนือติดกับพรมแดนแคนาดาซึ่งกำลังบ้าตกปลาขนานใหญ่ ในมิเนโซต้าซึ่งลูกหลานว่านเครือผู้สืบเชื้อสายจากชาวฟินด์แลนด์ตั้งรกรากกันอย่างถาวร นามราพาล่าจึงอุโฆษขึ้น ทั้งในฐานะความภาคภูมิใจอันเก่าแก่ที่คนเหล่านั้นมีต่อบรรพชน
ในฐานะเหยื่อตกปลาที่มหัศจรรย์ที่สุด บางคนไปจากอเมริกายังบ้านเกิดเมืองนอนเพื่อเอารางวัลที่ได้จากปลาเหยื่อไปให้ผู้ผลิตได้ร่วมชื่นชม ดูเหมือนว่าเหยื่อราพาล่าจะได้ปลาทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นปลาเทร้าท์ ปลาไพค์ หรือปลาแบสส์ เป็นจำนวนมากมายอย่างที่ไม่เคยตกได้มาก่อนและในขนาดที่มโหฬารน่าตื่นระทึก
เพราะว่ามันเป็นงานฝีมือ ทำด้วยมือล้วนๆ และหายาก โรคบ้าเหยื่อราพาล่าเกิดขึ้นอย่างกว้างขวาง มันเป็นเหยื่อน้ำหนักขนาดเบาอยู่ระหว่างปานกลาง ดังนั้นจึงใช้ได้กับคันขนาดเบาทุกประเภท แต่แปลกที่มันมีน้ำหนักเพียงพอให้ขว้างหรือยิงสายออกไปได้ ลากได้และไม่จม
เป็นเรื่องตลกที่เกิดมีการเล่าถึงเรื่องนักกีฬาตกปลาขโมยเหยื่อปลาปลอมจากเพื่อนนักตกปลาด้วยกัน มีอาชีพใหม่เกิดขึ้น นั่นคือ การให้เช่าเหยื่อปลอมราพาล่า ซึ่งบัดนี้ขนานนามกันว่าเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติอันหนึ่งอันใดขึ้นแล้ว ผู้เช่าคือคนที่ได้ยินกิตติศัพท์แต่ไม่สามารถหาซื้อมาไว้เป็นเจ้าของได้ ต้องไปเช่าคนอื่นมาทดลองตก ของที่ถูกส่งข้ามประเทศมาในฐานะของขวัญ บัดนี้ ได้เกิดการแอบขายให้กันตามเคาท์เตอร์สำหรับคนกันเอง เพราะมันมีเพียงจำนวนน้อย ในราคาตัวละ 25 เหรียญ ซึ่งในยุคนั้นเป็นราคาที่แพงเหมือนกับทอง
และแล้วก็มีคนหัวใสเกิดขึ้นมาจนได้ หมอนั่นเป็นพนักงานขายจอมจ้อในมินเนโซต้า ซึ่งได้ยินปรากฎการณ์อันพิลึกกึกกือนี้ รอน เวบเบอร์ จึงร่วมทุนร่วมความคิดกับเพื่อนที่ชื่อ เรย์ ออสตรอม เขียนจดหมายไปถึง ลัวรี่ ลาพาร่า ขออนุญาตเป็นตัวแทนขายเหยื่อปลอมราพาล่าแต่เพียงผู้เดียวในทวีปอเมริกาเหนือ
พอถึงตอนนั้น เนื้อที่ขนาดแมวดิ้นตายในกระท่อมของลัวรี่ กลายเป็นโรงงานผลิตเหยื่อปลอม โดยเขา เมีย ลูกๆ และเพื่อนบ้านสาละวนกับการทำเหยื่อตามใบสั่งที่ทยอยตามกันเข้ามาเหมือนสายน้ำ เหยื่อถูกส่งไปอเมริกาขายหมดในพริบตา ใบสั่งระลอกใหม่ตามเข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง
จนถึงปี 1962 นักตกปลาซึ่งโดนความยากจนกระหน่ำมาทั้งชีวิตและเริ่มดูว่าแก่หง่อม ทั้งที่เขามีอายุเพียง 55 ปี ก็ตกลงเซ็นสัญญากับพนักงานขายชาวอเมริกัน 2 นายนั้น ทั้งสองหมอนั่นเป็นผู้ขายราพาล่าแต่เพียงผู้เดียว ไม่จำกัดจำนวน เอาหมดของให้ผลิตออกมาได้เท่าไหร่เป็นเอาทุกตัว ตอนนั้นลัวรี่ ยังคงผลิตเหยื่อทุกตัวด้วยมือ
อะไรที่มันจะเกิด มันต้องเกิดนิตยสารไลฟ์ได้เรียนรู้เหยื่อตัวนี้ และพาดหัวบนปก ซึ่งหน้าปกนั้นมีมาริลีน มอนโร ผงาดเนื้อหนังโนมเนื้อทุกส่วนของเธอ มันเป็นฉบับประจำวันที่ 17 สิงหาคม 1962 ด้วยถ้อยคำสั้นๆ ว่า เหยื่อปลอมที่ปลาไม่มีสิทธิปฏิเสธ เป็นฉบับที่ไลฟ์เองก็ทำลายสถิติการจำหน่ายของตัวเองเหมือนกัน
เราแทบไม่เชื่อ ไม่เชื่อเอาจริงๆ เสียงโทรศัพท์ดังเข้ามาสั่งเหยื่อปลอมทุกนาที
ออสตรอมเล่าให้ฟัง เพียงปีเดียวขายไปได้100,000 ตัว พอถึงปี 1964 ยอดขายเพิ่มขึ้นเป็น 800,000 และไม่นานก็เพิ่มเป็นล้านและเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
ลัวรี่ ย้ายไปอยู่บ้านหลังใหม่ซึ่งใหญ่โตขึ้นแต่ยังคงอยู่ในชนบท เขาเป็นวีรบุรุษเอกชนของท้องถิ่น ซึ่งดูเหมือนว่าเมื่อความสำเร็จจะมาถึง มันมาในชั่วเวลาไม่ทันข้ามคืนหลังจากที่ความยากจนกระหน่ำย่ำยีเขามาตลอด แต่เขาก็ยังเป็นคนหาปลาชนบทเหมือนดังเดิมความสำเร็จนั้นไม่ได้มีผลแตกต่างอะไรต่อตัวเขา ยังเป็นคนง่ายๆ จะพูดถึงความสำเร็จนั้นอย่างร่าเริงบ้างกับกลุ่มเพื่อนฝูงชาวบ้านนอกที่สนิทกันมาเก่าก่อน แต่จะเก็บตัวและขลาดอายอยู่เสมอเมื่อมีคนไม่รู้จักแวะเวียนไปหาซึ่งในจำนวนนั้นก็มีประธานาธิบดีฟินด์แลนด์ และเจ้าชายฟิลลิปแห่งอังกฤษรวมอยู่ด้วย
พ่อไม่เคยอยากท่องเที่ยวริสโต้ ลูกชายคนโตเล่า พ่อเคยไปอเมริกาเพียงครั้งเดียว ไปอยู่แค่สองอาทิตย์และตลอดเวลาก็ตกปลาในทะเลสาบชายป่ามินเนโซต้า
เอ็นซิโอ ลูกอีกคนบอกว่า พ่อมีเงินติดตัวไม่มาก บางทีก็ไม่มีเลย ถ้าพ่อนั่งแท็กซี่กลับบ้าน พ่อก็จะบอกให้คนขับรถขับไปที่แบงค์ไปเอาเงินที่พ่อฝากอยู่
ในปี 1965 ลูกคนเล็กชื่อ คัวโก้ ได้จมน้ำตายในทะเลสาบซึ่งเขาเคยทดสอบเหยื่อปลอมอยู่เสมอ เรือที่นั่งไปชนสิ่งกีดขวางและเขาตกลงไปในน้ำ กว่าจะพบศพก็อีกอาทิตย์ถัดมา ที่ติดขึ้นมากับขากางเกงของหนุ่ม 26 ปีผู้เคราะห์ร้ายเป็นเหยื่อราพาล่าตัวหนึ่ง
โศกนาฏกรรมนั้นทำร้ายชายชราที่ชราแล้วอย่างสาหัส ริสโต้ บอกว่า พ่อไม่เป็นอย่างเดิมอีกเลยตั้งแต่วันนั้น พ่อรู้สึกว่าสายน้ำซึ่งการุณพ่อมาตลอดชีวิต บัดนี้ได้ทวงหนี้ที่พ่อต้องชำระ นั่นคือชีวิตของ คัวโก้
ชายชราดื่มอย่างหนักหลังการตายของลูกชาย โอนกิจการให้ลูก ไม่เคยมาสนใจใยดีว่ากิจการนั้นก้าวหน้ายิ่งใหญ่เพียงใด ร่างกายซึ่งครั้งหนึ่งเคยแข็งแกร่ง บัดนี้เปราะบางแล้ว สำหรับทุกข์ยากนานาของชีวิต ลัวรี่ ราพาล่า ตายลงในวันที่ 20 ตุลาคม 1974 มีทรัพย์สินส่วนตัวที่เหลือเพียง 27,000 เหรียญ เพราะนอกนั้นเขาอุทิศให้กับลูกๆ และคนอื่น
เขาฝังศพลัวรี่ ไว้ใกล้ๆกับศพของคัวโก้ แต่ชื่อของเขาจะมีชีวิตอยู่ต่อไป เป็นอมตะนามเสมอในหมู่นักกีฬาตกปลา ตราบเท่าที่เหยื่อปลอมราพาล่ายังติดปลาทุกตัวขึ้นมาจากน่านน้ำและกระแสธารทั่วโลก
สุดท้ายนี้ ขอ ขอบคุณ เว็บ profish.shopdd.in.th ที่มีบทความดีๆให้เราอ่าน
ขอบคุณ เว็บ siamfishing ที่มีพื้นที่ให้เราแบ่งปันบทความดีๆ
ขอบคุณ ลัวรี่ ราพาล่า ที่มีประวัติและเหยื่อ ดีๆให้เราใช้
ขอบคุณ น้าๆ ทุกท่านที่เข้ามาอ่าน ครับ
หากผิดพลาดประการใดก็ต้องขอ อภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ