ภาพที่ 1 หลังวันลอยกระทงสีของน้ำในแม่น้ำบางปะกงก็เริ่มดีขึ้นเป็นลำดับ ฝูงปลามากมายทยอยเข้ามาหากินบริเวณปากอ่าว แถวเกาะนกดูว่าจะร้อนแรงที่สุดกับปลากะพงขนาดปลาจานตกกันวันละหลายสิบตัว เป็นที่สนุกสนานของเหล่าพรานเบ็ดทั้งหลาย มากันไม่ขาดสายจนเรือเช่าตกปลามีไม่พอรับแขก
ที่สุดของปลาบริเวณนี้คือปลากะพงในดงไม้ไผ่ แต่ส่วนมากเป็นปลาหลุดจากกระชังเลี้ยงด้วยสาเหตุต่าง ๆ ที่เรียกกันว่า กระชังแตก เกิดจากการแตกโดยธรรมชาติ อวนขาด เชือกหลุด กระแสน้ำพัด และที่พบกันชัด ๆ เกิดจากการลักลอบตัดอวน ของผู้หวังประโยชน์จากปลาที่หลุดออกมา ส่วนมากเป็นพวกเรือลอยปลากะพง ได้กันเป็นจำนวนมาก บนคราบน้ำตาของเจ้าของกระชังปลา
ขณะที่หลายคนมีความสุขจากปลาที่ได้ ขอให้รู้ไว้เถิดว่า อีกหลายคนกำลังร้องให้ เสียใจ เคียดแค้น ปลาที่หลุดไปหมายถึงจำนวนเงินมหาศาล สำหรับชีวิตชาวประมงชายฝั่งที่ต้องหยิบยืม กู้หนี้ยืมสินเขามา ค่าลูกปลา ค่าเหยื่อ ค่าเรือ ผู้ดูแล หวังว่าปลาจะโตขายได้ในอีก 5-6 เดือนข้างหน้า แต่ก็ต้องมาพลาดท่าเสียกลางคันใน 3 เดือนแรก ใครจะไม่เสียใจ
โลกนี้ไม่มีของฟรี เราได้ปลากะพงมามาก ๆ ก็ไม่ใช่ความผิดของนักตกปลา แต่ผมอยากให้แผ่เมตตาให้กับเจ้าของกระชังปลาด้วย โชคร้ายของเขา ทำให้ปลาหลุดออกมาโชคร้ายของปลาทำให้เราตกได้ โชคดีหรือร้ายของเราทำให้มีมลทินบนร้อยยิ้มในวันนี้...วันหน้าเราถูกลอยอังคารก็จะได้เป็นอาหารของปลา ฮา ฮา...ไม่มีอะไรฟรี...
ภาพที่ 2ผมเมินหมายใกล้บ้าน เหมือนใกล้เกลือกินด่าง ชอบหาความแตกต่างเดินทางออกไปไกล ๆ แม้ไม่ได้ปลา ไม่รู้ว่าเป็นความเขลา เบาปัญญาหรือความบ้าอะไร ถึงชอบออกไปลุยแบบหวังน้ำบ่อหน้า ค้นหาหมายใหม่ ที่ยังไม่เคยไป หรือได้ข่าวว่าใครได้ปลามาบ้าง แม้เส้นทางจะเลือนราง แต่ใจมันกระจ่างว่าอยากจะไป แค่ได้พบยอดกอง ก็เป็นที่พอใจ ว่าเหล่าปลาพอได้มีที่อาศัย ไม่โดนเรืออวนลากไปกินเสียหมด
รอบแรกไปด้วยเรือเร็ว 15 ฟุต เครื่อง 70 แรง หลังออกพรรษา น้ำท่ายังไม่ดี ออกสีน้ำตาลไปทั้งทะเล ทำไงได้ใจมันอยาก เรือจอดอยู่ 3 เดือนแล้ว เดี๋ยวสนิมจะขึ้นเสียก่อน ต้องเอาไปวิ่งเล่นหน่อย ไปลำเดียวก็ชักจะเสียว เลยชวนช่างใหญ่ เฮียพรเทพ ซึ่งเพิ่งทำเรือลำใหม่ขนาด 20 ฟุต วางเครื่องสี่จังหวะ 90 แรงเสร็จ ออกทดสอบด้วย พร้อมกับเพื่อนของเฮียแกอีกลำหนึ่ง ขนาดเท่ากัน แต่เครื่อง 140 แรง ดูแล้วแพงแน่ ๆ
ตอนเที่ยงวันดูการแข่งเรือพาย เรือหางยาว เจ็ทสกี หน้าวัดบางแสม ที่อยู่ใกล้ ๆ บ้าน พอได้เห็นความสามัคคีของคนในพื้นที่ ชีวิตกับสายน้ำแยกกันไม่ออก ประเพณีเช่นนี้มีดีในตัวของมันเอง ต้องช่วยกันรักษา น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า อย่าลืมคำโบราณว่าไว้...แหล่งน้ำไทยจะได้อยู่นาน ๆ
ช่วงเย็นลมหนาวระลอกแรกกำลังมา ผมก็ออกเรือล่วงหน้าไปกับลูกน้องชื่อเสน่ห์...เอาไปเป็นผู้ช่วย และหัดตกปลาทะเลเป็นครั้งแรก หลังจากฝึกในแม่น้ำมาหลายครั้งแล้ว หัวเรือออกพ้นปากอ่าวคลื่นลมยังพอทำเนา เลยเขาสามมุขมาเล่นเอาเหนื่อยตามคลื่นก็จริง แต่ต้องวิ่งขึ้นลงทีละยอด กว่าจะดันมาถึงเกาะสีชังก็ใกล้ค่ำ
ภาพที่ 3 ไปไหนไม่รอดได้แต่จอดบังเกาะแหลมถ้ำพัง หาปลาเล็กเป็นกับข้าวก็ได้แต่ปลาข้างตะเภา รอจนมืดเรืออีกสองลำก็ตามมาถึงที่ สัมปะยื้อ หมายดังของสีชังตลอดกาล คลื่นลมเบาขึ้นพอจอดหมายนี้ได้ ผมต้องพาเรือทั้งสองลำเข้าหมายด้วยเครื่องหาตำแหน่งของเฮียไม่ทำงาน ของผมซาวเดอร์ก็มีปัญหา ต้องว่ากันตามตำแหน่งดาวเทียม ช่วงหัวน้ำลงเฮียแก่ก็ฟัดเอาอั้งเกย กับสร้อยนกเขามาอย่างละตัว ขนาด 3 โล. เสียงเฮียก็แซวมายังเรือเรา
เป็นไงไต๋ใหญ่...ได้อะไรบ้าง?
ข้างตะะเภา กับมาม่าหมูสับ จะรับมั้ย
กินแล้ว...ไปไหนดี...ปลาไม่ฉวยต่อ เราเฝ้าหมายนี้จนตีสอง น้ำเริ่มทรง แต่ยังไหลลงอยู่
ซากเรือเอสอาร์ อีกสามไมล์อาจมีตัว ผมนำเรือสองลำไปตามที่หมาย ผ่านเรือลากคู่กระพริบไฟเตือนเรา ว่าจะวิ่งผ่านอวน ระยะไม่กี่ร้อยเมตรจากเกาะมาลากได้อย่างไร ผมถามตัวเอง...ทะเลไทยมันไร้กติกาอย่างนี้...ปลาถึงได้หมดไป
ที่หมายนี้ผมได้ปลาสร้อยนกเขาขนาด 3 โลหนึ่งตัว จากเหยื่อปลาตับเต่าที่ช้อนได้เพียงตัวเดียว หมึกตาย กุ้งตายมันก็ไม่สน ใกล้สว่างเราก็กลับมาสัมปะยื้อเพื่อรอหัวน้ำขึ้น พอรุ่งสางลมเหนือก็พัดมา บ่งบอกว่าสาย ๆ จะแรงขึ้น เฮียพรเทพกับเพื่อนขอตัวกลับบางปะกงก่อนที่คลื่นลมจะจัด แต่ได้ข่าวว่าฟัดกันพอสมควร เรือสองลำผ่านได้ของเขาใหญ่กว่า... ผมเคยเฉียดตายมาหลายครั้ง ด้วยความเกรงใจเพื่อนที่จะกลับ...
ถอนสมอมาท้ายตาหมื่น หมายหลบลมเหนือ พอได้ปลาเล็กเป็นกับข้าว ไม่มีปลาใหญ่มาฉวย อาจด้วยเป็นช่วงหัวลม น้ำก็ยังไม่ใสดี ออกสองสีแปลก ๆ ลองย้ายมาเกาะร้านดอกไม้ น้ำยิ่งไปกันใหญ่ ออกแดง มีฟอง เสียทั้งทะเล ดูแล้วคงหมดสิทธิ์ในทริปนี้
ภาพที่ 4 ช่วงบ่ายลมเบาแวะขึ้นเกาะซื้อน้ำมันอีก 20 ลิตร หลังหมดไปแล้ว 40 ลิตร ยังเหลืออยู่ในถังอีกนิดหน่อยไม่พอกลับแน่ แวะดูน้ำที่ทุ่นเหลืองหน้าอ่าวอุดม สีน้ำยังไม่สวย จอดตกก็ไม่มีฉวย เดินทางต่อกะว่าจะมาหาหมายหน้าชลบุรีดู ลมเกิดเปลี่ยนทิศเป็นตะวันตกเฉียงใต้ค่อนข้างแรงดันท้ายเรือตลอด เลยวิ่งมาหลบมุมหน้าเขื่อนอ่างศิลา น้ำลมแบบนี้ไม่มีโอกาสเสียวแน่ ปล่อยให้เสน่ห์ตกไปตามเรื่อง
คืนนี้ผมนอนฟังเสียงคลื่นซัดโขดหินอย่างมีความสุขกับเรือลำโปรดที่รับใช้กันมานานหลายปี กลับไปเที่ยวนี้ก็จะถูกแลกซื้อกับเรือประมงญี่ปุ่นของเฮียพรเทพ จดทะเบียนใหม่ในชื่อ ป.ประจิณ ที่ใหญ่กว่า ใช้เครื่องยันมาร์ 23 แรงดีเซล ซึ่งจะทำให้การสำรวจหมาย ท่องเที่ยวทางทะเลสะดวกสะบาย ไปได้ไกล ประหยัดกว่า แต่ความเร็วก็จะช้าลง ได้อย่างเสียอย่าง โลกนี้ไม่มีอะไรสมบูรณ์พร้อม ขอบคุณเรือเร็ว แสมวิวเพื่อนร่วมทางที่แสนดี...จนถึงวันนี้...วันที่เจ้าต้องจากไป สู่อ้อมแขนใคร ?...ขอให้เจ้าของใหม่รับรู้ว่า...เรือลำนี้มีตำนาน
ภาพที่ 5 ขอต้อนรับเรือลำใหม่ ป.ประจิณ มาถึงถิ่นในวันนี้...วันที่พี่สมชาย กับพี่มะเหมี่ยวมาช่วยกันเจิมเรือ...ด้วยการติดตั้งราวไฟไดน์หมึก เดินสาย อุปกรณ์ต่าง ๆ กว่าจะเสร็จก็ใช้เวลา 2 วัน แกล้มกับเบียร์ไป 1 ลัง ก่อนที่จะปล่อยเรือลงน้ำ...ในช่วงใกล้ค่ำจะออกทดสอบเรือครั้งแรก น้ำมันเต็ม เสบียงพร้อม เหยื่อกุ้งเป็น หมึก ปลาตับเต่า จนเมียแซวว่าอยู่ได้เป็นอาทิตย์... ไม่ได้ปลาอย่ากลับมาให้เห็นหน้านะ..จิบอกฮาย...แหมถูกใจจริง ๆ
ก่อนออกเรือต้องทำพิธีกรรมไหว้แม่ย่านางเรือกันหน่อยด้วยผ้าสี ผลไม้ ดอกไม้ธูปเทียน เป็นสิ่งมงคลที่ตกทอดกันมานานสำหรับชาวเรือ เหมือนขึ้นบ้านใหม่ เพื่อความปลอดภัย และมีความสุข ตามหลักฮวงจุ้ย บ้านหรือเรืออยู่ตรงกลาง เกาะหรือภูเขาใหญ่อยู่ด้านหลัง แม่น้ำอยู่ด้านหน้า เขาว่าอยู่สบายมีความเจริญ ออกเรือต้องได้ปลา ออกป่าต้องได้ของใหญ่ เดี๋ยวนี้อาจจะเหลือเพียงตำนาน เมื่อปลาและป่าหมดไป แต่เราก็ไม่ทิ้งสิ่งที่โบราณทำกันมา ด้วยมีคุณค่าแห่งจิตใจ
ชวนพี่มะเหมี่ยวไปด้วย แต่แกไม่ยอมไป กลัวว่าไต๋จะใช้ให้ไปถอนสมอ เพราะพี่แกเป็นนักตกปลารุ่นอาวุโส เป็นครูสอนดำน้ำ ภาพออกไปจะถูกแซวว่า... มาถอนสายสมอให้ป.ประจิณ ได้อย่างไร ฮา ฮา... ก็ได้แต่ล้อกันเล่นแกไม่ว่าง แต่ผมมีพี่สมชาย ตัวจริงเสียงจริง นักเขียนรุ่นใหญ่ในอดีต ผู้รับเหมาก่อสร้าง เจ้าของสวนองุ่น ร่วมเดินทางไปด้วย พร้อมกับเสน่ห์ อีกคนรวมเป็นสามเกลอหัวแข็ง ดูแล้วแรงสุด ๆ กับการทดสอบเรือเที่ยวนี้
ภาพที่ 6 ออกจากปากร่องเมื่อตะวันรอน ๆ ขับรัดแนวเดินเรือมุ่งหน้าด้ายนอกเขาสามมุข พอเห็นเกาะสีชังลาง ๆ ท่ามกลางลมตะวันตกที่พัดมากลาง ๆ เดิ่งคลื่นเริ่มจัดเมื่อพ้นแนวโป๊ะน้ำ 5 ว่าออกมา แต่เรือก็ยังฝ่าไปได้ แม้หัวจะปริ่ม ๆ คลื่น ความเร็วเรือลดลงมาเหลือแค่ 3.3 ไมล์ ถ้าน้ำเรียบในแม่น้ำทำความเร็วได้ 5.2 ไมล์ ขณะที่เร่งสุด ๆ กำลังเครื่องก็ยังเหลือ ปัญหาน่าจะอยู่ที่ใบจักรเล็กไปหน่อย ผมบอกพี่สมชาย เที่ยวนี้ให้ทำใจ ช้า ๆ อาจได้พร้าเล่มงาม
กว่า 5 ชั่วโมงประมาณว่า 3 ทุ่มก็มาถึงหมายแรกเป็นซากเรือหัวเกาะขาม สวนน้ำสวนลมตลอด หิวกันแล้วยามนี้ต้มมาม่าใส่ไข่ดีที่สุด ท้องอิ่มก็มีแรงเฝ้าเบ็ดต่อ ล่อไฟไดน์หมึกไปด้วย จนถึงตีสองก็ไม่มีปลามาฉวย พี่สมชายได้หมึก 1 ตัว ก็ทนกันไม่ได้ย้ายหมายไปสัมปะยื้อ พี่แกบอกว่าไม่ได้ไปมานานแล้ว ขอไปคารวะสักจอกหนึ่ง... ผมก็จัดให้ตามใจพี่
ตีสามจวนถึงสว่างก็ไม่มีอะไรมาแผ้วพานสายเบ็ด พอสายน้ำก็หยุดไหล บ่งบอกว่าไม่มีหวังกับหมายนี้แน่นอน ปลาเล็กยังไม่ฉวยเลย ผมโดดน้ำเล่นทำธุระส่วนตัว พอหัวมุดน้ำสดชื่น ความคิดเริ่มแจ่มใส หาที่เที่ยวต่อ ขอลองเรือให้ถึงที่สุด
ไปเกาะไผ่กันดีกว่าพี่ หลายปีมาแล้วไม่ได้ไป อาจมีความหวังอยู่บ้าง
ว่าจะมาคืนเดี่ยวนะนี่...อีกกี่ไมล์ล่ะ ?
15ไมล์เองพี่...ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว อีกสักคืนพรุ่งนี้ค่อยกลับ ผมรู้ว่าพี่ท่านกำลังติดลม หลายปีที่ไปทำไร่องุ่นที่ปากช่อง ห่างเหินทะเลไปนาน วันนี้ต้องพาไปย้อนเวลาสักหน่อย จะสำเร็จหรือไม่กับอดีตแชมป์หลายสมัย นักตกปลารุ่นพี่ ต้องมีดีบ้างล่ะน่า... ผมคิดในใจ
ภาพที่ 7 เกือบ 4 ชั่งโมงเรือก็แล่นมาถึงเกาะไผ่ โดยให้พี่สมชาย อดีตศิษย์เอกลุงอิ่ม แห่งสัตหีบเป็นไต๋บ้างในบางช่วง หมายแรกทิศเหนือเกาะเหลือมเรียกว่า หลักผีบอก น้ำลึก 35 เมตร ไหลเล็กน้อย จอดได้ไม่นาน เสน่ห์ก็สาวปลาตะคองเหลืองขึ้นมา แกบอกว่าแค่เกี่ยวกุ้งตายปล่อยไว้เล่น ๆ ก็ได้ปลา ไม่ได้คิดว่าจะได้อะไร ดีใจมาก ๆ เปลี่ยนเป็นปลาทอดราดน้ำปลาแสนอร่อย ส่วนพี่สมชายตั้งใจเอาจริงเอาจัง ผมยกเบ็ดให้พี่ท่าน 3 คันรวด จัดการไปเองตามถนัด ใช้เหยื่อทุกอย่างที่มี ทั้งสายลอย กลางน้ำ หน้าดิน นานหลายชั่วโมงก็มีปลาเก๋าเดนตาย มาให้ชื่นใจ 1 ตัว ดูแกหัวเราะร่า... คงเป็นปลาทะเลในรอบหลายปีที่ตกได้... นี่แหละ ! อยากหายไปนาน
ภาพที่ 8 ช่วงเย็นน้ำลมเริ่มแรง สวนกันตลอดเรือปัดออกนอกกอง ผมเลยชวนหลบเกาะหาปลาเล็กทำกับข้าว ที่หมาย ตาไหว ตะวันออกเกาะไผ่ เป็นหินกองใหญ่มากน้ำ 17 เมตร ปลาเล็กฉวยจนเอียน ส่วนมากเป็นปลานกกระลิงทั้งนั้น นาน ๆ จะมีปลาทรายแดงแจม ปลาเก๋าไม่เห็นตัว หรือหมดไปแล้วก็ไม่รู้ได้ พอใกล้มืดก็ย้ายมาตกหมึกหัวเกาะ ที่เคยมีปลาสร้อยนกเขาชุกชุมมาก วันนี้ไม่เห็นเงา ตกหมึกอยู่เที่ยงคืนได้มา 2 ตัว หมึกก็ขึ้นเล่นไฟดี แต่ไม่ยอมฉวยเบ็ด มองไปโดยรอบเห็นแต่เรือไดน์ สว่างไสวไปทั้งทะเล...เรามีแค่นีออนเขียว 2 ดวง...เลยไม่คู่ควรกับหมึกเจ้า
ช่วงหัวน้ำขึ้นก็ชวนกันย้ายหมายมากองปะการังเทียมด้านทิศตะวันตก ห่างเกาะไมล์กว่า ๆ ก็ไม่มีปลามาฉวย แต่เกือบซวยเมื่อเรืออวนลาก ๆ เฉียดเรือเรา ทั้ง ๆ ที่ไฟก็สว่าง เขาก็รู้ว่าเราจอดตรงหมายมีหิน ถ้าลากผ่านจะติดอวน แต่ถ้าเฉียดอาจรวย เรือเราเหมือนทุ่นลอยให้สังเกต ไม่โดนหินแน่ จึงกล้าลากผ่าน มีเรือลากอีกหลายลำมาทำอะไรกันบริเวณนี้ ห่างเกาะไม่พ้น 3 กิโลเมตร มันเขตห้ามทำประมง แล้วนี่มันอะไร ?
พี่สมชายที่เฝ้าปลามานาน ชักรำคาญชวนย้ายหมายหนี เดี๋ยวมันนึกว่าเราขวางทาง เห็นฉายไฟหลายครั้ง คงอยากให้ไปเสียที จะได้ลากขี่กองหินมันเลย ฮา ฮา ย้ายมากองหินกลางร่องไผ่ จอดเรือเสร็จผมก็ปีนขึ้นหลังคาไปนอนชมดาวจนหลับยาวไปถึงเช้า ตื่นขึ้นมาพี่ท่านยังสู้ต่อ แต่ก็ไม่ได้อะไรจากหมายแห่งนี้ทั้ง ๆ ที่เป็นหมายดังในอดีต เมื่อก่อนปลาทุกชนิดหาได้จากร่องนี้ ไม่ว่าจะเป็นปลาใบ อินทรี ตะคอง ช่อนทะเล ปลากับข้าวไม่ต้องพูดถึง วันนี้มีแต่นกกะลิงแก้เหงา
ภาพที่ 9 ช่วงเช้ามีเรือไดน์เข้ามาจอดนอนบริเวณนี้หลายลำ คงมาหากับข้าวด้วย ผมเทียบเรือขอปลาหมึกมาหน่อย เผื่อแล่ทำเหยื่อ และย้ายหมายมาที่หลักผีบอกอีกครั้งช่วงปลายน้ำขึ้น เบ็ดทุกคันลงน้ำหมด เสน่ห์ลงคันเล็กเหมือนเดิม เกี่ยวเหยื่อกุ้งเป็นไปตามประสานักตกปลามือใหม่ ผมลงเล่นน้ำท้ายเรือ เห็นคันเบ็ดโค้งลง ร้องบอกเสน่ห์ว่าเอาแล้ว สู้อยู่ไม่นานก็เห็นว่าเป็นปลากุเลาตัวกำลังงาม...ที่ผมกำลังตามหาถิ่นของมันในย่านนี้...เพราะมันมีมากกว่าปลาอินทรี และมีตลอดปี
รออีก 2 ชั่วโมงก็ไม่มีปลามาฉวย...จึงชวนกันกลับบ้านคำนวณว่าต้องใช้เวลากว่า 10 ชั่งโมง เส้นทางผ่านซากเรือเอสอาร์ ลองจอดดูหน่อย กลางคืนนะดีแน่ แต่กลางวันเผื่อจะมีอะไรบ้าง เป็นนักตกปลาก็หวังไปเรื่อย ๆ แม้จะไม่สมหวัง ดูอย่างเที่ยวนี้ พี่สมชายฝีมือระดับอาจารย์ ยังพ่ายเสน่ห์ นักตกปลาเมื่อวันวาน ที่ผมซื้อเบ็ดคันแรกให้หัดเล่น และออกทะเลเป็นครั้งที่สอง ผมเองก็ตกปลามานานรู้หมาย อ่านน้ำอ่านลมได้ ก็อย่านึกว่าผมจะเก๋า ตกปลาเก่ง กินแห้วมานับไม่ถ้วน ออกสิบครั้งจะได้ปลาไม่เกินสองสามครั้ง ๆ ละไม่มาก แต่ผมก็มีความสุขที่ได้เล่นเรือมากกว่าได้ปลา ทำให้ผมเป็นไต๋ในดวงใจของใครไม่ได้... เพราะทุกคนที่ลงเรือจะเอาแต่ปลาแยะ ๆ ใหญ่ ๆ ไม่มีกฎ กติกาอะไรทั้งนั้นในน่านน้ำนี้... ผมพยายามหาเองยังไม่ได้ ด้วยทะเลไทยกำลังจะร้างในหลายพื้นที่...แล้วจะให้เขียนบอกหลอกคนว่าผมเก่ง หรือทะเลมากมีด้วยฝูงปลาได้อย่างไร ?
ภาพที่ 10 ลมปากร่องไล่หลังนับว่าแรง คลื่นแต่ละลูกดูว่าจะวิ่งแซงเรือ ถือท้ายปัดไปมา ด้วยความยากลำบาก อันตรายมาก ๆ กับผู้ไม่ชำนาญ พี่สมชายยังสั่นหัว แต่ผมเจอะมาหลายครั้ง แค่พอรู้เอาตัวรอด กว่าจะถึงบ้านก็ 3 ทุ่ม ทุกคนหิวกันซัง กลางคลื่นลมไม่มีช่องให้หุงข้าวได้ ต้องอาศัยน้ำผลไม้กับไวน์กั้วท้อง... ต้องโทรบอกเมียรักให้หาข้าวไว้รอ พ่อจะถึงบ้านแล้ว....
ลองเรือเที่ยวแรกระยะทาง 110 ไมล์ใช้น้ำมันไป 50 ลิตร เฉลี่ย 1 ลิตรวิ่งได้ 2 ไมล์...ยังใช้ไม่ได้ เอาเรือขึ้นคาน ถอดใบจักรขนาด 18 นิ้วที่ติดมากับเรือออก ใบสึกไปมากแล้วจากประเทศญี่ปุ่น คงใช้มานาน ไปซื้อใบจักรสำเร็จรูปขนาด 19 นิ้วจากตลาดหนองมนมากลึงรูเพลาใหม่ ทดลองวิ่งในแม่น้ำดูทำความเร็วได้แค่ 5.2 ไมล์ เพราะใบยังไม่กินน้ำ ถอดใบจักรออกไปให้ช่างที่คลองด่านตีให้กินน้ำแบบสุด ๆ โดยการแนะนำของคุณหวอ นักตกปลาแห่งคลองด่าน ช่างบอกว่าถ้าใบยังเบาอยู่ก็ให้เปลี่ยนเป็นขนาด 22 นิ้วได้เลย...น่าจะวิ่งได้เกิน 10 ไมล์กับเรือขนาดนี้ ผมขอแค่ 7-8 ไมล์ในภาวะปกติก็พอใจแล้ว โดยไม่ต้องเร่งเครื่องสุดนาน ๆ โดยไม่จำเป็น
หนึ่งอาทิตย์เต็ม ๆ ที่วิ่งทำใบจักรเรือ ประกอบกับเมียไปปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐาน ที่วัดผาณิตาราม เลยไม่อยากออกตกปลา ลมหนาวก็มาแรง พยากรณ์อากาศบอกว่าคลื่น 2-3 เมตรเรือเล็กควรงดออกจากฝั่ง แต่ผมมันคันดันไม่เชื่อ หลังจากครบ 7 วันก็ไปรับเมียกลับบ้านพร้อม ๆ กับเตรียมเสบียงต่าง ๆ ลงเรือ...ขอลองใบจักรอีกรอบ
ภาพที่ 11ไม่อยากจะชวนใครขอไปคนเดียว ต้องการทดสอบหลายเรื่อง กับคลื่นลมที่คาดว่าพอรับไหว ดูสิว่าจะสามารถควบคุมเรือได้มั้ย มีปัญหาอะไรจะต้องแก้ไข ใบจักรใหม่จะเป็นอย่างไร หมายต่าง ๆ ที่พวกตังเกให้มาบริเวณหน้าบางพระ ศรีราชา กว่า 20 หมาย น่าจะพบสัก 4-5 หมาย... ก็คาดเดาไปตามจิตวุ่น...แต่เป็นสิ่งที่ผมชอบมากที่สุด... การค้นหาหมาย...บนลายแทง
วันอาทิตย์ขึ้น 5 ค่ำเดือน 1 ก็เริ่มออกเรือในช่วงบ่าย ความเร็วในแม่น้ำทำได้ 7-8 ไมล์ขณะตามน้ำตามลม ดีขึ้นกว่าเก่าแยะ แต่กำลังเครื่องก็ยังเหลือ กลับมาเที่ยวนี้คงหนีไม่พ้นสั่งหล่อใบจักรใหม่ให้ใหญ่ขึ้นเป็น 22 นิ่วน่าจะลงตัว วิ่งตามคลื่นลูกแล้วลูกเล่าผ่านบางพระ ศรีราชา มุ่งหน้าแหลมฉบัง เลียบชายฝั่งคลื่นยังขนาดนี้ กลางทะเลจะขนาดไหน ช่วงหันหัวเรือกลับวนหาหมาย น้ำแทบจะเข้าหัวเรือ ค้นได้ 2-3 หมายตัดสินใจเลิกหาวิ่งมาถึงหน้าแหลมฉบังก็สองทุ่มกว่า จอดหมายไดน์หมึกก็ไม่ได้ ต้องหลบไปหัวเขื่อนด้านทิศใต้ ตกหมึกอยู่ตีสองได้ 4-5 ตัว หมึกหายากจริง ๆ แต่แค่นี้ก็พอ กุ้งเป็นมีอยู่แล้ว
ถอนสมอย้ายจะเข้าหมายซากเครื่องบินห่างแค่ 3.6 ไมล์ วิ่งมาได้ครึ่งทาง น้ำตีเข้าหัวเรือเป๋ไปเป๋มา คลื่นจัดมาก ถึงไปได้ก็จอดไม่ได้ หันหัวเรือกลับมาหน้าเขื่อนตรงข้ามหัวเขาสุดทางรัก พักอยู่จนเช้าก็ไม่ได้อะไร อาบน้ำกินกาแฟ ขนมปังทาแยม พอมีเรี่ยวแรง ใจมันก็อยากไปต่อ เป็นไงเป็นกันไปเกาะสีชังดีกว่า ระยะทางแค่ 5.5 ไมล์ ควรใช้เวลาชั่วโมงกว่า ๆ แต่วันนี้ ขณะนี้ กลางคลื่นลมที่โหมเข้ามาหนัก ๆ จนน้ำเข้าท้ายเรือ วิดน้ำไป ขับไป ใจผมที่คิดว่าแน่ ๆ ยังเสียว จะรอดไหมเนี่ย แต่ถ้าอยากเป็นกัปตันเรือต้องรู้จริง เรือกับตัวเองต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน เข้าใจทุกอย่างของกันและกัน การตัดสินใจแต่ละครั้งมีผลเสมอ... ถึงจะเอาตัวรอดได้ในยามหน้าสิ่วหน้าขวาน...อันตรายรอบตัว
ภาพที่ 12 กว่า 3 ชั่วโมงที่อยู่กลางทะเลเดือด เห็นแต่คลื่นหัวขาวโพลนแตกฟอง จนหายใจไม่ทั่วท้อง พบเพียงเรือลากเดี่ยวลำเดียวลากอวนตามคลื่นมา ไต๋ต้องออกมาดูแล้วยิ้มให้ตอนผ่านหัวเรือ ผมยังไหวครับ...มานั่งทำใจที่ท้ายตาหมื่น ไปไหนไม่รอด ต้องจอดใกล้ ๆ เกาะ ที่ลมหวนไปมา แต่คลื่นเบาลง ถ้ามีเพื่อนมาด้วยคงลำบากกว่านี้ในการถ่วงให้เรืออยู่ในภาวะสมดุล เป็นอีกบททดสอบหนึ่งที่ผ่านมาได้ด้วยตัวเอง...คราวหน้าไม่ต้องเกรงกลัวกัน...มันจริง ๆ ! !
ย้ายไปมาข้างเกาะหาปลาทำกับข้าว ก็ได้ปลาทรายแดงมา 2 ตัว นกกะลิงและปลาลิ้นหมาอีกหนึ่งตัว ทอดราดน้ำปลากินกับข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยมาก หลังจากฟาดมาม่าใส่ไข่มาหลายมื้อ มีเรืออวนปูและตกปลาขายเข้ามาคุยด้วย วันนี้เขาก็ตกปลาไม่ได้เหมือนกัน ฟันแต่คลื่นลม ถามว่าผมมาได้อย่างไร จากไหน ? บอกว่าบางปะกง... แกทำหน้าเข้าใจ คนชอบตกปลาเหมือนกัน ย่อมสื่อกันได้ ผมแค่มือสมัครเล่น แต่เขาทำเป็นอาชีพ...ตกปลาอีกกี่ครั้งผมก็สู้เขาไม่ได้...ถ้าเขาเขียนบทความเป็น ลงนิตยสารได้... ผมจะหมดความหมายทันที...เพราะทุกวันนี้มีแต่มืออาชีพ !
ช่วงเย็นลมเบาขึ้นมาหน่อย ลองออกไปหลุมน้ำมัน หมายที่คุณหวอให้มา บอกว่ากุเลาตัวงาม ๆ สร้อยนกเขาก็ฉวยดี ห่างแค่ 1.6 ไมล์พอไปได้ ระดับน้ำทั่วไป 18 เมตร แต่หลุมนี้ลึก 19-20 เมตร กว้างประมาณ 50 เมตร ลงหมึกเป็น กุ้งเป็น ก็อยู่ได้แค่ 2 ชั่วโมง คลื่นลมก็เริ่มแรงขึ้น มีปลามากัดหมึกขาดไป แต่ก็อยู่ต่อไม่ไหวต้องถอนสมอหนี เข้ามานอนชมดาวข้างเกาะเหมือนเดิม
นอนหลับสบายดีจนเช้า ก็ยังไปไหนไม่ได้ วนเรือไปมา หาตกปลาเล็ก ๆ ที่กองหินน้ำลึก 10 เมตร ก็พอได้ปลาทรายแดงทำกับข้าว รอจนบ่าย คลื่นก็ยังไม่เบาลง ตัดสินใจวิ่งเข้าฝั่งมาหน้าศรีราชา บางพระ คลื่นเริ่มเซาลงหน่อย วิ่งเช็คหมายได้ 10 กว่าหมาย พบ 2-3 หมายแต่ก็ไม่ได้จอดตกปลา ไว้วันหน้าค่อยมาลองใหม่
วิ่งมาถึงหน้าบางแสนก็จวนค่ำ น้ำเรียบขึ้น ขอนอนเล่นอีกสักคืนใกล้ซากปะการังเทียม ไม่อยากวิ่งเรือกลับตอนมืดในช่วงน้ำลง ที่ต้องผ่านซากโป๊ะ ซากซั้ง มันอันตราย ถ้าจะวิ่งได้ต้องตัดไปปากร่องช่องเดินเรือเพิ่มระยะทางอีกหลายไมล์ ขอพักชมจันทร์ แสงไฟบนชายหาดอีกสักครั้ง ไม่สนใจตกปลาแล้ว ปล่อยเหยื่อเอาไว้...เผื่อมีตัวไหนอยากไปนิพพาน...ก็เชิญได้
ภาพที่ 13 คืนนี้ผมมีความสุขที่สุดอีกคืนหนึ่ง ได้อยู่กับตัวเอง นั่งภาวนาแผ่เมตตาให้กับกุ้ง หอย ปู ปลาทั้งหลาย ดูจากหมู่เรืออวนลาก คืนนี้หลายล้านชีวิตต้องตายลง เพื่อคงเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ ที่คิดว่าตัวเองเป็นสัตว์ประเสริฐ... จริง ๆ แล้วก็เป็นของชั่วคราว หมุนเวียนกันไป... ปลาอาจเกิดเป็นคน อยู่ที่กุศลเท่านั้น... สำนึกดีกันไว้บ้าง... หนทางจะได้ไม่มืดมน
รุ่งเช้าผมก็ขับเรือกลับบ้าน ด้วยความเบิกบานใจ เช็คระยะทางไปกลับได้ 100 ไมล์...ใช้น้ำมันไป 30 ลิตร ประหยัดกว่ารอบก่อน 20 ลิตร คิดว่าผ่านในวันนี้... เดี๋ยวรอใบจักรใหม่ที่สั่งหล่อไว้ขนาด 22 นิ้ว แล้วมาลองอีกครั้ง ต้องให้ได้ประโยชน์สูงประหยัดสุดประมาณว่า...ใช้น้ำมัน 100 ลิตร ออกจากบางปะกงต้องจบลงที่เกาะเต่าให้ได้...ระยะทาง 300 ไมล์เอง ฮา ฮา
แค่ 3 รอบทดสอบเรือ... ผมถือว่ายังไม่ถึงที่สุดครับ
.........................................จบ.................................
ภาพที่ 14ภาพที่ 15ภาพที่ 16ภาพที่ 17ภาพที่ 18