ภาพที่ 1บทที่ 17
ตอนที่ 5
“ใจเย็นๆโว้ย”
“เพิ่งจะบอกไปหยกๆว่าไม่ต้องกลัวอะไร เดี๋ยวก็ตกร่องห้วยตายห่ ากันพอดี ระดับขนาดนี้มีหวังคอหักตาย”พรานเบตวาด พลางเดินหิ้วคอเจ้าเหน๋อไปยังกลุ่มคณะที่กำลังยื่นตกใจกับเหตุการณ์
“มันน่าปล่อยให้ตายห่ าไปเลย”
“จะได้เป็นผีเฝ้าห้วยไปอีกตัว ไอ้นี่บอกไม่รู้กี่ครั้ง ทำเป็นใจเสาะไปได้”พรานชราร้องเอ็ดมาอีกคน พูดจบแกก็สับมะเหงกลงบนกลางกบาลของเจ้าเหน๋อเสียงดัง โป๊ก
“โถ่...ลุงโส่ยก็”
“คนมันกลัวผีนี่ จะให้ฉันทำยังไงเล่า แผลเก่ายังไม่ทันหาย แผลใหม่มาอีกแล้ว ยังทำใจไม่ได้เลย ดันมาโดนเข้าอีก ใครมันจะไปทนอยู่ไหว”เหน๋อร้องบอก ทำหน้าทำตา น่าสงสาร พลางใช้มือลูบคลำที่กบาลของตัวเองอยู่ไปมา
“ข้าล่ะ ละอากับเอ็งจริงๆเลยวะ ไม่รู้จะทำยังไงกับเอ็งดี”
“เอางี้ เอ็งเอาไอ้นี่ไปคล้องคอไว้ จะได้อุ่นใจ หายกลัวไปได้บ้าง”พรานโส่ยพูดจบ ก็ล้วงมือเข้าไปในย่ามกะเหรี่ยงที่แกสะพายอยู่ตลอดเวลา ไม่ห่างตัว ควานหาอะไรอยู่ครู่ ก็หยิบถุงอะไรบ้างอย่างออกมา ลักษณะเป็นไถ้ทำจากผ้าดิบ ขนาดย่อมไม่เกินฝ่ามือ จากนั้นก็รูดเชือกออกเพื่อขยายส่วนที่เป็นปากถุง ให้เปิดกว้างออกมา แล้วสอดนิ้วเข้าไปคีบ เส้นเชือกสีดำๆ เหมือนเชือกร่ม เส้นเล็กๆ ที่มีลักษณะเป็นสายคล้องคอ
“หวายผูกลูกนิมิต ของดีเลยนะนี่”
“กันผีได้ชะงักนัก เอาไปคล้องคอไว้ แล้วทำจิตใจให้เข้มแข็ง ที่จริงข้าทำเผื่อเอาไว้ให้ไอ้สิงห์มันก่อนเข้าป่านานแล้ว แต่ดันลืมเสียนี่ เอ็งเอาไปใช้ก่อนก็แล้วกัน”พรานโส่ยกล่าว พลางยืนสร้อยสายเชือก ซึ่งผูกควั้นอยู่กับแท่งหวาย ที่ใช้ผูกลูกนิมิต ขนาดยาวไม่เกินข้อนิ้ว ส่งไปให้เจ้าเหน๋อ ที่ตอนนี้ได้แต่ยืนดูตาปริบๆ
“โถ่...มีของดีแบบนี้ก็ไม่บอก น่าจะให้ฉันติดตัวไว้ตั้งนานแล้ว”
“ขอบใจนะลุง ฉันจะรักษามันไว้ให้ดีที่สุด”เหน๋อร้องบอก พลางรับสายสร้อยของพรานชราด้วยอาการดีใจ แล้วพนมมือท่วมหัวเหมือนจะเป็นการบูชาสักการะ ก่อนที่จะคล้องสร้อยเชือกเส้นนั้นลงคอ ซึ่งในขณะนั้นเอง พรานแปะที่กำลังก้มส่องไฟสำรวจหัวกระโหลกที่ตัวเองทำพลัดตกกลิ้งลงมาจากบ่า ก็ร้องเสียงต่ำๆว่า
“มาดูอะไรนี่เร็ว!”
“หมอนี่น่าจะไม่ได้ตาย แบบธรรมดาเสียแล้ว”กล่าวจบ ก็ชี้นิ้วไปที่ตำแหน่งกลางหน้าผาก ของหัวกระโหลก ซึ่งตอนนี้มองเห็นเป็นรูโบ๋ พอที่จะใช้นิ้วชี้แหย่เข้าไปได้ เพราะครั้งแรกมีตะไคร่และมอสเกาะเกรอะ จนไม่ได้ทันสังเกตุให้ถี่ท้วน แต่พอหัวกระโหลกหลุดตกลงมา อาจทำให้ตะไคร่ที่เกาะเกรอะกรัง ถูกแรงกระแทกหลุดเปิดออกมา จึงทำให้มองเห็นสิ่งผิดปกตินั้น
“ถูกเสือขบกบานเสียแล้วกระมัง รึโดนตัวอะไรกัดตาย”
“แต่ก็น่าแปลกอยู่หน่า ถ้าโดนสัตว์กัดหรือตัวอะไรทำร้าย ซากศพคงไม่หลงเหลือให้เห็นขนาดนี้”พรานพรว่า พลางฉายไฟกราดไปจับที่รูบริเวณเหนือหัวคิ้วด้านขวา เกือบจะอยู่ในตำแหน่งกึ่งกลางของหน้าผากพอดี จากนั้นก็ใช้ปลายมีดเขี่ยพลิกหัวกระโหลก ชิ้นนั้นกลับไปกลับมา เหมือนจะตรวจหาอะไรบ้างอย่าง แล้วกล่าวต่อขึ้นมาอีกว่า
“ไม่มีรอย ทะลุออก”
“เอ็งคิดเหมือนที่ข้ากำลังคิดอยู่หรือเปล่า ไอ้เบ ไอ้หมอนี่ น่าจะไม่ได้โดนตัวอะไรกัดตาย” พรานเบชำเลืองสายตาสบ กับสายตาพรานพรแวบหนึ่ง ก็ล้วงมือเข้าไป หยิบอะไรชริดหนึ่งในกระเป๋ากางเกง
“น่าจะโดนยิงตาย”
“ดูนี่ ขนาดรูพอดีกับลูกตะกั่ว ที่ข้าเก็บได้จากศพทางโน่นเลย”พรานเบกล่าว ขณะเอาลูกตะกั่วที่เก็บติดกระเป๋ามาด้วย วางเทียบกับขนาดรู ที่มีลักษณะกลมบนหัวกระโหลก
“ข้ากล้าพนัน ในหัวนี่ ต้องมีลูกตะกั่วติดคาอยู่”
“มันไม่มีรอยทะลุออกไปไหน ระยะยิงหวังผลแบบนี้ ไม่น่าพลาด”พรานพรโพล่งออกมา พลางฉายไฟฉายกราดไปที่ตำแหน่งของฝั่งตรงข้าม ที่พบโครงกระดูกหัวขาด ซึ่งแสงของไฟฉายที่ส่องฝ่าสายหมอกออกไป พอที่จะสังเกตุรอยบากบนต้นไม้ ที่พรานพรทำสัญลักษณ์เอาไว้ เห็นเป็นรอยตำหนิสีขาวเอาไว้
“เห็นอะไรมั๊ย แนวมันตรงเผงขนาดนี้ ถ้าไม่ติดว่าหมอกเยอะ หรือรอดูตอนฟ้าสว่าง เราคงเห็นอะไรกว่านี้”
“ให้ข้าเดา อาจเป็นไปได้ ที่ทั้งสองคนนี้ อาจจะยิงกัน จะคนละพวก หรือเป็นพวกเดียวกัน อันนี้ข้าก็เดาไม่ถูก แต่เอ็งพอจะเห็นเป็นเลาๆแล้วใช่มั๊ยไอ้เบ มันมีเหตุที่ทำให้ทั้งสองต้องมาฆ่ากัน”พรานพรสรุป ท่ามกลางสมาชิกที่ยืนฟังอยู่ด้วยอาการมึนงง เพราะไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอะไรกันมาก่อน
“มีเหตุอะไรกันรึ มันชักจะยังไงชอบกล”
“ทำไม ฝั่งกระโน่นที่พวกเอ็งไปเจอมา มันมีอะไรรึ”พรานโส่ยร้องถามด้วยความสงสัย ไม่พูดเปล่า แกยังคว้าหัวกระโหลกที่ตกกลิ้งอยู่กับพื้น ขึ้นมาถืออยู่ในมือ พลางเขย่าไปมา โดยไม่ได้มีความสะทกสะท้าน หรือหวั่นเกรงอะไรเลย แม้แต่น้อย ไม่กี่อึดใจหลังจากเศษดินและเศษขุยอะไรดำๆตกร่วงพรูลงมา ก็ปราฏกว่ามีวัตถุอะไรชนิดหนึ่ง กลิ้งขลุกขลักอยู่ในหัวกระโหลก แล้ววัตถุชิ้นนั้น ก็ค่อยๆกลิ้งตกตามลงมา ท่ามกลางสายตาของคณะทุกคน
“นี่ยังไงล่ะ เป็นอย่างที่ข้าสงสัยไม่มีผิด”
“ลูกตะกั่วจริงๆด้วย”พรานพรโพล่งออกมา ด้วยอาการตื่นเต้น ก่อนที่จะรีบคว้าชิ้นโลหะสีคล้ำ มีขี้ตะกรั่นเกาะเป็นคราบเขียว ลักษณะเกือบจะเป็นทรงกลม มีส่วนของด้านหนึ่งบู้บี้ เมื่อเอามาเทียบกับลูกตะกั่วที่พรานเบเก็บมาด้วย ทั้งขนาดและน้ำหนัก มันก็แทบจะมีขนาดเท่ากัน
“นี่ถ้าเราเอาเอ็นหรือเชือกขึงเป็นเส้นตรง ระหว่างจุดนี้ กับฝั่งโน่น มันก็แทบจะเป็นแนวเดียวกันเลย”
“แต่จะโดนยิงมาจาก คนที่นอนตายจากฝั่งกระโน่น หรือเปล่าข้าก็ไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ แนวกระสุนมันมาจากฝากโน่น”พรานพรกล่าว
“ที่เอ็งว่า มันก็น่าคิดอยู่หร๊อก”
“แต่ที่ข้าสงสัย มันมาถูกฆ่าตายด้วยสาเหตุอะไร”พรานโส่ยกล่าวออกมาด้วยอาการครุ่นคิด
“ข้าพอจะเดาเหตุการณ์ออก”
“มันน่าจะฆ่ากันเพราะแย่งสมบัติกัน พวกเอ็งตั้งใจฟังข้าดีๆก็แล้วกัน เพราะอะไรที่พวกข้าสองคนถึงข้ามมาช้า เพราะพวกข้าเจอสมบัติที่ว่า เพราะไอ้สมบัติพวกนี้หรือเปล่า ที่ทำให้ไอ้สองคนนี้ถึงกับฆ่ากัน”พรานเบกล่าวออกมาเสียงเข้มขึง พลางม้วนบุหรี่ยาเส้นขึ้นจุดสูบ ก่อนที่จะพ่นควันลงพื้นเป็นทางยาว แล้วกล่าวต่อมาอีกว่า
“พวกเอ็งอยากรู้มั๊ยล่ะ ว่าข้าสองคนไปเจออะไรมา รับรอง ว่าถ้าเราเอาออกไปขายได้ พวกเราทุกคนจะสบายกันไปทั้งชาติ ไม่ต้องทนอดๆอยากๆแบบทุกวันนี้”
“สมบัติ”
“สมบัติ อะไรกัน”ทุกคนเกือบจะร้องออกมาพร้อมๆกัน ยกเว้นพรานพร ที่ยืนสูบบุหรี่ยาเส้นอยู่เงียบๆ
“ทอง”
“ทองแท้เป็นก้อนๆเลย ไม่ใช่ก้อนเล็กๆนะ ที่ข้าสองคนเห็นกันมา รวมๆแล้วหลายสิบกิโล”ประโยคของพรานพร ทำให้คณะที่เพิ่งจะทราบเรื่องราว ถึงกับยืนตกตะลึงตัวแข็งทื่อ แทบไม่เชื่อในสิ่งที่ทั้งสองคนเล่ามา
“พูดเป็นเล่นไปน้าเบ น้าพร ทองเทิงอะไรกัน พวกน้าสองคนตาฝาดกันหรือเปล่า”
“ก้อนหินก้อนแร่กระมัง”พรานแปะว่า
“ทองจริงๆ ข้ากับไอ้เบ เห็นกับตา คลำกับมือ”
“นี่ข้าก็ยังเชื่ออยู่ว่า ถ้าเราช่วยกันขุดคุ้ยแถวๆซากนี่ ก็อาจจะเจอเหมือนกัน แต่จะมากจะน้อยข้าก็ตอบพวกเอ็งไม่ได้”พรานพรตอบ ก่อนที่จะดีดก้นบุหรี่ยาเส้นลงพื้น ในจังหวะนี่เอง เจ้าพุ่มที่กำลังใช้ปลายมีดแซะไปตามผิวดิน บริเวณเอวด้านขวาของโครงกระดูก ก็ร้องเอะอะออกมาแทบไม่เป็นภาษาละล่ำละลัก
“ถุงหนังอะไรนี่”
“มีเขาอะไรไม่รู้อยู่ด้วย”เจ้าพุ่มร้องบอก ปากก็ว่า มือก็รีบขุดคุ้ยไปที่ตำแหน่งที่ตัวเองขุดค้นพบ ซึ่งตอนนี้มองเห็นส่วนปลายของเขาสัตว์ชนิดหนึ่ง สีดำเป็นเลื่อม มีหนังหรือก็อะไรบางชนิดห่อหุ่มเขานั้นอีกชั้น แต่ด้วยสภาพที่เก่าและฝังอยู่ในพื้นดินเป็นเวลานาน ทำให้หนังบางส่วนเปื่อยแหว่งหายไป
“จะอะไรอีกล่ะ ก็เขนงดินปืนนั่นแหละ”
“ทางฝั่งโน้นข้าก็เจอ อย่างที่ข้าเคยบอกไปแล้ว แต่มันไม่มีหนังหุ้มกับเขาสัตว์แบบทางฝั่งนี้”พรานพรกล่าว พลางใช้ปลายนิ้วแหวกแซะ แล้วงัดเขาชนิดนั้นออกมา ท่ามกลางความประหลาดใจของบุคคลที่พากันรายล้อมมุงดู เขาสัตว์ชนิดหนึ่งที่พรานพรงัดขึ้นมาจากดิน ยังอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างเกือบจะสมบูรณ์ และดูเป็นรูปร่างมากกว่า เขาสัตว์ที่ใช้สำหรับทำเป็นเขนงใส่ดินปืน ที่พบจากฝั่งตรงข้าม จากการสันนิษฐานของพรานโส่ยคาดว่า มันน่าจะเป็นเขาของวัวแดง มีหนังสีคล้ำๆสภาพเปื่อยๆห่อหุ้ม ทำไว้เหมือนเป็นปลอกสำหรับใช้สะพายหรือไม่ก็เพื่อความสวยงาม ส่วนปลายของเขา มีจุกหรือไม่ก็ปลอก ที่ทำจากทองเหลือง เสียบติดอยู่แน่น มีคราบตะกรัน และสนิมเขียวเกาะเกรอะ จนเกือบจำเค้าโครงเดิมไม่ได้ ตรงส่วนที่เป็นโคนของเขาหรือขะเน็ง มีร่องรอยของการแกะสลักเป็นลวดลายแต่ก็ดูเลือนลาง ภายในขะเน็งมีดินเข้าไปอัดอยู่แน่น ซึ่งบริเวณนี้ พรานเบให้ความเห็นว่า น่าจะเป็นจุกที่ทำจากไม้ และคงจะผุพังไปหมดแล้ว และหลังจากพิจารณาขะเน็งเขาสัตว์นั้นได้ไม่นาน เจ้าพุ่มที่กำลังใช้มือโกยเศษดินขึ้นมาก็พบเข้ากับลูกตะกั่วเม็ดกลมๆอีกหลายสิบลูก ซึ่งขนาดใหญ่กว่าลูกตะกั่วที่พบมาแล้วเล็กน้อย เมื่อเอามาเปรียบเทียบขนาดกัน
“ไม่ใช่ว่าจ่อขมองตัวเองหนา”
“อาจจะไม่ได้โดนใครยิงก็ได้มั๊ง”พรานแปะว่า พลางหยิบลูกตะกั่วเม็ดกลมๆกระดำกระด่าง กลิ้งเดาะไปมาบนฝ่ามือ
“ไม่น่าใช่ ไม่เชื่อเอ็งก็ลองเอาไปเทียบกับรูบนกระโหลกดูก็ได้”
“เม็ดนี่มันใหญ่กว่ากัน”พรานพรตอบ พลางหยิบลูกตะกั่วที่ค้นพบใหม่ ขึ้นไปวางทาบกับรูบนหัวกระโหลก ซึ่งไม่สามารถผ่านรูที่ว่าไปได้ มีเพียงแค่ส่วนผิวด้านหนึ่งของลูกตะกั่ว จมหายเข้าไปได้เพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“คนสมัยก่อนนี้เล่นแต่ปืนโตๆ ผิดกับของเรา”
“นี่มันลูกโดดล้มช้างชัดๆ ลูกตะกั่วแต่ละลูกใหญ่เอาการ”เจ้าเคิ้งว่า
“ไอ้พุ่ม เอ็งขุดต่อลงไปอีกหน่อยสิ ข้าว่าเดี๋ยวพวกเอ็งก็จะเจอของดีอย่างที่ข้าบอก”
“ไอ้เหน๋อ กับ ไอ้เคิ้ง ลองดูทางนี้ด้วยอีกฝั่ง เดี๋ยวข้าจะดูทางปลายตีนนี่อีกที”พรานพรว่า กล่าวจบก็ใช้ปลายมีดเสียบ ไล่ไปตามพื้นดินบริเวณรอบๆปลายเท้าของซากศพที่นับอายุไม่ได้ สิ้นเสียงสั่งงานของพรานพร ทุกคนก็ต่างกระจายกันค้นหา สิ่งต้องสงสัยกันอีกครั้ง ต่างคนต่างใช้ปลายมีดเสียบแซะ ขุดคุ้ยเพิ่มมากขึ้นไปอีก เพียงไม่นาน พรานแปะที่เสียบปลายมีดอยู่บริเวณผิวดินด้านฝั่งตรงข้ามกับพรานพร ซึ่งปลายมีดที่เสียบลึกเข้าไปเกือบคืบ ก็สะดุดเข้ากับอะไรชนิดหนึ่ง เสียงดัง กึก แต่พอขุดคุ้ยสิ่งนั้นขึ้นมา ก็ปรากฏว่าเป็นก้อนหินธรรมดา พรานพรรีบคว้าเอาไปจากมือพรานแปะ แล้วใช้สันมีดเห็นเคาะไปโดยรอบ แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะมันเป็นเพียงก้อนหินธรรมดา ไม่ใช่ก้อนทองอย่างที่คิด อีกชั่วอึดใจ พรานโส่ยที่นั่งแซะดินอยู่ข้างๆ ก็คุ้ยได้ก้อนหินลักษณะมีดินเกาะเกรอะอยู่หนาๆ ครั้งนี้เอง ที่พรานพรถึงกับอุทานขึ้นมาว่า
เหตุการร์ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร พรานพรจะบอกอะไรกับคณะ โปรดติดตามในตอนต่อไป
ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภันมา ณ ที่นี้ด้วยครับ