ภาพที่ 1บทที่ 15
ตอนที่ 2
บรรยากาศที่เงียบสงบ ถึงแม้จะเย็นยะเยือกเพราะความหนาวทวีความรุนแรงขึ้นทุกขณะ แต่ภายในโพรงถ้ำเล็กๆแห่งนั้น กลับอบอุ่นไปด้วยกลิ่นอายของความสุข ที่ทั้งสองก็ล้วนแล้วแต่สัมผัสได้ถึงกันและกัน โดยไม่ต้องบอกหรือแสดงออกมาให้เห็น มันเป็นความรู้สึกที่สัมผัสได้จากภายในของคนทั้งคู่ แววตาของหญิงสาว ดูมีสเน่ห์ทุกครั้ง เมื่อเขาแอบลอบมองอยู่บ่อยๆ ยิ่งมีรอยยิ้มที่เปรอะอยู่บนใบหน้าแล้ว ยิ่งทำให้หัวใจเต้นแรงไม่เป็นจังหวะ จนประหม่าในบางครั้ง ผิวกายของหล่อนในตอนนี้ ถูกฉาบไปด้วยแสงไฟจากกองไฟกองเล็กๆ ดูเนียนตา ละเอียดละออไร้ตำหนิใดๆทั้งสิ้น ราวกับปุยนุ่นหรือสำลีดูอ่อนเยาว์ ผิดกับเขาที่ดูหยาบกระด้างกร้านเกรียม
“ผมยังไม่ได้ขอบคุณ คุณพลับพลึลเลยนะครับ เรื่องเสบียงที่คุณจัดหามาให้ผม นี่ถ้าไม่ได้หัวมันที่คุณทิ้งไว้ให้ ผมก็คงจะลำบากน่าดู”
“ถ้ามีปืนผาหน้าไม้อะไรติดมาด้วย ก็คงจะไม่ลำบากขนาดนี้ สัตว์ป่าแถวนี้มีอยู่ชุกชุมมาก คงจะล่ามาประทังชีพได้อย่างไม่ลำบากอะไรนัก”ชายหนุ่มกล่าว พลางเหลือบไปมองห่อมัน ที่ตัวเองเอาเหน็บไว้ที่ผนังถ้ำ
“ทุกสรรพสัตว์ ล้วนแล้วแต่รักตัวกลัวตาย ด้วยกันทั้งนั้น แม้แต่มนุษย์ทุกผู้ก็เช่นกัน มิมีผู้ใด มิกลัวตายดอก”
“เราก็อยากจะขอร้องท่านเรื่องนี้เช่นกัน หากมิมีเหตุอันจำเป็น หรือ ภยันตรายใดๆ จากพวกสรรพสัตว์เหล่านี้ เราอยากจะให้ท่านละเว้น เพื่อจะได้มิเป็นบาป ก่อให้เกิดเป็นแรงพยาบาทต่อกัน เหมือนกับในภูมิภพ ที่ท่านได้เผชิญอยู่ในขณะนี้”หญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึงกล่าว พร้อมแววตาส่อความห่วงกังวล
“ถึงแม้สัตว์ป่า มันจะมาทำร้ายผม แบบไอ้เสือตัวนั้น เมื่อตะกี้นี้ใช่ไหมครับ”
“ผมควรจะปล่อยให้มันขบสมองผมเสีย ไม่น่าไปทำ หรือสร้างเรื่องอะไรให้มันตกใจผละหนีไป ซึ่งในตอนนั้นผมก็ควรที่จะเป็นอาหารของมันด้วยซ้ำ การกระทำของผมในตอนนั้นก็เหมือนไปขัดขวางมันหรือเปล่าครับ”ชายหนุ่มกล่าว พลางยิ้มแห้งๆ ด้วยความรู้สึก ไม่สู้จะดีนัก
“เรามิได้หมายความว่าเยี่ยงนั้นดอก ในเมื่อมีกฏ ทุกอย่าง มันก็มีข้อยกเว้นเสมอ การกระทำของท่าน ก็เป็นการกระทำเพื่อปกป้องชีวิตของท่านเอง อย่างที่เราเคยกล่าวไปแล้ว ทุกชีวิต ล้วนรักตัวกลัวตายด้วยกันทั้งนั้น ในเมื่อพยัคฆ์ไพรตัวนั้น จะเข้ามาทำร้ายท่าน ท่านก็มีสิทธิ์ ที่จะปกป้องตัวท่านเองได้ หรือแม้แต่สรรพสัตว์ทั้งหลาย ที่ท่านจะนำมาดำรงชีวิตของท่านก็ด้วย หากมันถึงกาล อันสมควร และมีเหตุอันจำเป็นมาถึงขีดสุด ท่านก็สามารถกระทำได้” หญิงสาวกล่าว เว้นระยะ แล้วกล่าวขึ้นมาอีกว่า
“หากถึงเพลา หรือถึงเคราะห์คราว ของสรรพสัตว์เหล่านั้น ทุกชีวิต มีเกิด และมีวันดับสูญ เมื่อถึงเพลาของมัน”
“อารมณ์ประมาณ สัตว์ตัวไหนถึงคราวเคราะห์ ดวงซวย เจ็บป่วย ใกล้ตาย หรือแม้แต่คิดเข้ามาทำร้ายผม ผมก็สามารถจัดการกับพวกนี้ได้ใช่ไหมครับ”
“แต่ผมคิดว่าน่าจะยาก แค่คลำทางกลับยังลำบากเลย ทั้งตัวมีอาวุธแค่ มีดพับเล็กๆอันเดียว ซึ่งผมเองก็ไม่แน่ใจ ว่าจะรอดไปได้นานแค่ไหน วินาทีสุดท้ายของชีวิต ถ้าทางมันตันจนมืดมนเข้าจริงๆ ผมอาจจะใช้มันปาดคอตัวผมเองก็ได้”สิงห์พูดออกมาแค่นๆอย่างไม่ยี่หระกับชีวิต
“ท่านจักกริ่งเกรงไปใย ขณะนี้ หรือ เพลานี้ ตัวท่านเอง ยังสามารถเผชิญกับสิ่งต่างๆ และสามารถ ก้าวผ่านมาได้ ถึงแม้นจักมีอุปสรรค เข้ามากั้นขวาง ท่านก็ยังผ่านมาได้ด้วยดี”
“ดังเช่น พยัคฆ์ไพร ตัวนั้น ท่านแน่ใจหรือ ว่ามันประสงค์ต่อชีวิตท่าน แล้วท่านแน่ใจได้เยี่ยงไร ว่าแค่ขวากหนาม และกองเพลิงกองเล็กๆแค่นั้น จักปกป้องรักษาให้รอดพ้น ต่อคมเขี้ยวของพยัคฆ์ไพรตัวนั้นได้ ท่านจงตรองดูเถิด ท่าน และ คณะของท่าน เปลียบเสมือนสิ่งแปลกปลอม ที่ล่วงเข้ามาในดินแดนสนธยาแห่งนี้ มิแปลกดอกที่สรรพสัตว์ทั้งหลาย จักกระสากลิ่นอายของสิ่งแปลกปลอมที่ ก้าวล่วงมา”หญิงสาวกล่าว ด้วยถ้อยคำอ่อนโยน พลางเอื้อมมือมาสัมผัสบนหลังมือของชายหนุ่ม เหมือนแสดงการปลุกปลอบใจ เพราะหล่อนอาจจะสัมผัสได้กับอาการวิตกกังวลของเขา
“เมื่อตอนบ่ายก็ทีหนึ่งแล้ว ที่ผมเกือบจะโดนไอ้เข้ คาบไปกิน ดีที่รอดมาได้ ตกค่ำ เสือ ก็ย่องเข้ามาเยี่ยมอีก ต่อจากนี้จะเจออะไรอีกหรือครับ อสูรกาย สัตว์ประหลาด หรือ ไดโนเสาร์ แต่ก็เอาเถอะครับ จะมาในรูปแบบไหน ผมก็พร้อมแล้วครับ ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว เอาจริงๆ ชีวิตผมในตอนนี้ ก็เหมือนตายไปแล้วด้วยซ้ำ”
“แต่...เอ..ตะกี้คุณว่าอะไรนะครับ ที่ว่า ผม และ คณะของผม เปรียบเสมือนสิ่งแปลกปลอมที่ก้าวล่วงมา”ชายหนุ่มพึมพำ อึดใจต่อมาก็ทำตาโตแล้วร้องออกไปว่า
“ฮ้า...คุณหมายความว่า คณะของผม ในตอนนี้ก็อยู่ในดงทึบแห่งนี้ใช่หรือเปล่าครับ นี่ผมเข้าใจถูกใช่มั๊ยครับคุณพลับพลึง”พูดจบก็ผวา จับต้นแขนของหล่อน ทั้งสองข้าง พลางเขย่าไม่หยุดด้วยความตื่นเต้น แทนคำตอบหญิงสาวก้มศรีษะให้ชายหนุ่ม
“แบบนี้ผมก็คงจะมีความหวังขึ้นมาแล้วสิ แล้วคุณพลับพลึงพอจะบอกผมได้หรือเปล่าครับ ว่าตอนนี้ พวกของผม เอ่อ..ผมหมายถึง คณะของผมในตอนนี้อยู่ที่ไหนกันครับ ห่างจากที่นี่สักเท่าไหร่ แล้วก็สบายกันดีหรือเปล่าครับ”
“คณะของท่าน ทุกคนล้วนมีความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยว เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ซึ่งทั้งหมด มิมีความกริ่งเกรงภยันตรายใดๆ แม้แต่น้อย โดยการนำพาของพรานท่านนั้น”
“น้าเบ แน่ๆเลย”ชายหนุ่มกล่าวแทรกออกมา
“ใช่แล้ว พรานท่านนั้น ที่มีความสามารถในการออกติดตามท่าน ซึ่งเส้นทางในการนำทางในครั้งนี้ ก็เป็นเส้นทางที่ถูกต้อง ถึงแม้จักมีอุปสรรคนานับประการเข้ามาขวางกั้น ทั้งหมดของคณะของท่าน ก็สามารถฝ่าฟันและ ผ่านพ้นมันมาได้ด้วยดี และทั้งหมดของคณะท่าน ล้วนแล้วแต่มีกำลังใจที่ดีเยี่ยม มิมีผู้ใดคิดทอดทิ้งท่านเลยแม้นแต่ผู้เดียว ท่านจงภูมิใจเถิด ที่ท่านได้สหายร่วมทางของท่านเยี่ยงนี้ ”
“ส่วนคณะของท่าน ณ เพลานี้ อยู่ยังตำแหน่งชายดงทึบแห่งหนึ่ง เหนือขึ้นไปตามสายน้ำแห่งนั้น สายน้ำที่ท่านได้เผชิญผ่านพ้นมา แต่เรามิสามารถ บอกกับท่านได้ว่า อีกเพลาใด ทั้งหมดของคณะ จัดได้พบท่าน ทั้งหมดขึ้นอยู่กับพรหมลิขิต และกรรมเก่าของท่าน ที่เคยกระทำเมื่อครั้งภพภูมิก่อน ด้วยว่า มันเป็นการละเมิด และผิดศิลของเรา หวังว่าท่านจัดเข้าใจ”
“เอาเถอะครับ เพียงเท่านี้ผมก็ดีใจมากแล้วครับ ที่ทั้งหมดยังอยู่ดี และไม่คิดจะทิ้งผม ถึงแม้จะใช้เวลาในการออกติดตามนานสักเท่าไหร่ก็ตาม หรือแม้ว่าจะไม่เจอตัวผมตลอดไป ผมก็ไม่เสียใจแล้ว ที่มีเพื่อนตายแบบนี้”ชายหนุ่มกล่าว ดวงตามีประกายแห่งความหวัง ถึงแม้ความหวังนั้นจะดูริบหรี่มากก็ตาม ซึ่งในก้นบึ้งส่วนลึกลงไปในหัวใจของเขา ก็คิดอยู่เสมอว่า ทุกคนในคณะ จะต้องออกติดตามเขา และจะไม่มีวันทอดทิ้งเขาแน่นอน ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ต่างๆ จะไม่ได้เกิดกับตัวเขาก็ตาม หรือแม้ว่าจะเกิดเหตุกับบุคคลอื่นๆในคณะ ตัวเขาเองก็ไม่มีวันที่จะทอดทิ้งบุคคลเหล่านั้นเช่นกัน แต่นี่มันเกิดกับตัวเขาเองแล้ว จะมานั่งงอมืองอเท้าก็คงไม่ถูก ในเมื่อยังมีลมหายใจอยู่และเรี่ยวแรง ก็ยังไม่หมดสิ้น ตัวเขาเองนั้นแหละที่จะต้อง ดิ้นรนขวนขวาย พยายามเอาชีวิตรอด และหาเส้นทางย้อนกลับไปให้ได้ จะมานั่งทอดหมดอาลัยในชีวิต เห็นทีจะไม่ถูกเสียแล้ว
“คุณพลับพลึงครับ” ชายหนุ่มกล่าวเรียกนามของหล่อนออกมาแผ่วเบา หลังจากนิ่งเงียบใช้ความคิดอยู่ครู่หนึ่ง
“มีบางเรื่องที่ผมอยากจะถามคุณมานานแล้ว แต่ผมไม่มีโอกาสได้ถามคุณสักครั้ง ผมไม่แน่ใจว่าคุณจะตอบผมได้หรือเปล่าครับ”
“ท่านมีเรื่องอันใดจะไต่ถามเรา หากมันมิเกินขอบเขต และศีลของเรา เราก็สามารถตอบท่านได้ ท่านมีเรื่องอันใด โปรดไต่ถามเรามาเถิด”
“คือว่า ที่ผมอยากจะรู้ก็คือ อย่างที่เรารู้ๆกันอยู่ ป่า หรือ สถานที่อาถรรพ์ แห่งนี้ มันก็เปรียบเสมือนโลกอีกโลกหนึ่ง ในความรู้สึกของผม มันคงมีเรื่องลี้ลับ อะไรอีกมากมาย ที่ผมไม่อาจรู้ได้ รวมถึงเรื่องราวระหว่างเราสองคน เอ่อ..ผมหมายถึง ผม กับคุณพลับพลึง ซึ่งเราสองคนก็เหมือนว่าอยู่กันในคนละภพภูมิ โอกาสที่ผมจะพบคุณก็มีแค่ช่วงค่ำหลังดวงอาทิตย์ตกเท่านั้น หรือไม่ก็ในฝัน ซึ่งในตอนนี้ผมก็ยังสับสนตัวผมเองอยู่เหมือนกัน ว่าสรุปแล้ว เรื่องระหว่างเรานี้ มันเป็นความจริง หรือว่าความฝัน ประเด็นที่ผมอยากจะถามคุณก็คือ นอกจากคุณแล้ว ในป่าแห่งนี้ ยังมีผู้ใด หรือ เทพยดา เจ้าป่า เจ้าเขา หรือ สิ่งศักดิ์สิทธิ์ อะไรอีกหรือไม่ ที่ผมหรือคณะของผมสามารถสื่อสารได้ แบบเดียวที่ ผมกำลังสื่อสารกับคุณพลับพลึงเช่นนี้”
“ทุกสถานที่ ทุกแห่งห่น ย่อมมีผู้พิทักษ์ปกปักษ์รักษา ส่วนจักสามารถสื่อสาร หรือมีจิตรผูกพัน เยี่ยงไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับชาญสมาธิ และบุญวาสนา ชักนำ ของแต่ละบุคคลไป ส่วนในดินแดนอาถรรพ์แห่งนี้ นอกจากเราแล้ว ยังมีผู้ปกปักษ์รักษา ทั้งทางด้านดี และทางชั่วร้าย รวมทั้งบริวาร ซึ่งอาจพบเห็นได้ในรูปแบบต่างๆ ตามกรรมและวาระ ที่พวกท่านและ ตัวท่าน จักพบเจอ”
“ทั้งทางดี และ ทางชั่วร้าย”ชายหนุ่มกล่าวทบทวนคำของหล่อน
“ท่านคิดว่าเรา อยู่ในข้อใด ระหว่าง ดี และ ชั่วร้าย”หญิงสาวกล่าว
“โถ่...ก็ต้องดีสิครับ นี่ถ้าไม่ได้คุณคอยช่วยเหลือ ไม่ว่าทางตรง หรือทางอ้อม ผมคงตายไปนานแล้ว ว่าแต่..”
“ตัวร้ายนี้มันจะร้ายขนาดไหนครับ ผมและเพื่อนๆของผมจะรับมือกับมันได้หรือเปล่า มีวิธี หรือสามารถเลี่ยงได้หรือไม่ครับ ถ้ามาเป็นรูปร่างที่สามารถมองเห็นได้ก็พอไหว แต่ถ้ามาในแบบที่มองไม่เห็น ผมคงรับมือลำบากแน่ๆ”ชายหนุ่มกล่าวด้วยความกังวล ใช่สิ ถ้ามาในรูปแบบที่มองเห็น ไม่ว่าจะเป็นสิงสาราสัตว์ก็พอไหว พอจะหลบหลีกได้ แต่ถ้ามาในรูปแบบของ อาถรรพ์ที่มองไม่เห็นตัว วิชาความรู้ในเรื่องลี้ลับอะไรก็ไม่มี หรือพูดง่ายๆ คือเท่ากับศูนย์ เห็นทีจะลำบาก ลำพังพวกพรานกะเหรี่ยงคงไม่มีปัญหา เพราะแต่ละคนล้วนแล้วแต่มีวิชาด้วยกันทั้งนั้น เพราะหากินอยู่กับป่าดงพงไพร เรื่องความเชื่อพวกนี้ จึงมีมากกว่าตัวเขาที่เป็นคนเมือง แค่ไหว้พระสวดมนต์ได้ก็ถือว่าดีแค่ไหนแล้ว
“ท่านจงใช้ปัญญาไตรตรองดูเถิด ทุกปัญหา ย่อมมีทางออกเสมอ จงใช้สติ แลเชาวน์ปัญญา ของท่านให้มาก อย่าประมาท เพียงเท่านี้ ท่านก็จัดสามารถฟันฝ่าอุปสรรค แลสามารถผ่านพ้นเรื่องร้ายๆ ออกไปได้ เราเชื่อในความสามารถที่ท่านมีอยู่”หญิงสาวกล่าวอ่อนโยน
“แต่ผมไม่เชื่อมั่นในตัวผมเองนี่ซิครับ ว่าจะรอดไปได้นานแค่ไหน บอกตามตรง ถ้าผมไม่มีคุณเป็นเพื่อนแบบนี้ ป่านนี้คงถอดใจไปนานแล้ว”
“ถ้าท่านไม่เชื่อใจในตัวท่านเอง ก็มิมีผู้ใดช่วยท่านได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน”หญิงสาวกล่าวปลุกปรอบ พลางเอื่อมมือไปกุมหลังมือของชายหนุ่ม ให้กำลังใจ
“ครับ ผมจะพยายาม ขออย่างเดียว คุณอย่าทิ้งผมไปไหนก็พอ”ชายหนุ่มกล่าวออกมาหนักแน่น พลางเอื้อมมืออีกข้างมากุมมือของหล่อนไว้กระชับ แล้วกล่าวต่อมาอีกว่า
“สัญญากับผมนะครับ ว่าคุณจะไม่ทิ้งผมไปไหน”แทนคำตอบของหญิงสาว หล่อนพยักหน้าให้ชายหนุ่ม
“นี่ครับ เรามาสัญญากัน ถ้าสัญญากันแล้วห้ามผิดสัญญากันนะครับ”ชายหนุ่มพูด พลางยกนิ้วก้อยขึ้นมาชูตรงหน้าหล่อน หญิงสาวทำหน้างงไปครู่ สิงห์ก็กล่าวออกมาว่า
“ในโลกของผม ตอนเด็กๆเวลาเราสัญญากับเพื่อนเรา หรือเราจะดีกัน หลังจากมีเรื่องทะเลาะผิดใจกัน เราจะใช้วิธีเกี่ยวนิ้วก้อยกันครับ ถ้าคุณสัญญากับผม ส่งนิ้วก้อยของคุณมาครับ แล้วเอามาเกี่ยวกับนิ้วก้อยของผมแบบนี้”ชายหนุ่มกล่าว พร้อมยกมืออีกข้างแล้วใช้นิ้วก้อยเกี่ยวให้หล่อนดูเป็นตัวอย่าง หญิงสาว ยิ้มพลางหัวเราะคิก แต่ก็ยอมปฏิบัติตามที่ชายหนุ่มว่ามาโดยดี
“เราสัญญากันแล้วนะครับ ว่าเรา ผมหมายถึง คุณพลับพลึง จะไม่ทิ้งผม”ชายหนุ่มพูดพลางเขย่ามือที่เกี่ยวก้อยนั้นไปพลาง
“เฉพาะราตรีกาลเท่านั้น ที่เราจัดมิทอดทิ้งท่านไปไหน นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป เราให้สัญญา”หญิงสาวตอบ พร้อมๆกับรอยยิ้มหวานละมัย จนปรากฏรอยบุ๋มที่แก้มทั้งสองข้าง จนชายหนุ่มหน้าแดง บอกกับตัวเองไม่ถูกว่าอาการนี้มันเกิดกับเขาอีกแล้ว เหงื่อเม็ดโตเริ่มผุดขึ้น ที่ขมับและหน้าผาก ทั้งๆที่อากาศตอนนี้เย็นยะเยือกก็ตาม หัวใจที่อยู่ภายใต้หน้าอกข้างซ้าย เริ่มเต้นถี่รัวไม่เป็นจังหวะ เหมือนจะมีอาการหวิวๆผสมโรงอยู่ด้วย จนในบางครั้งเขาเองต้องเป็นฝ่ายหลบตาหล่อน เพราะทนกับความสวย และน่ารักของหล่อนไม่ไหว
“สวยอย่างกับนางฟ้า”ชายหนุ่มได้แต่คิดอยู่ในใจ แต่แล้วก็มีเสียงหวานใสของหล่อนตอบมาแผ่วเบา แต่ทำให้คนที่มีความคิดเช่นนี้ ถึงกับสะดุ้ง
“ท่านเคยพานพบนางฟ้ามาแล้วกระนั้นฤา”
“ปะ...เปล่า ครับ ถ้าจะเคยเจอ ก็คุณนั้นแหละครับ นางฟ้า คนแรก”ชายหนุ่มแข็งใจตอบกลับไป ใช่สิ ก็หล่อนทั้งสวย ทั้งน่ารักแบบนี้ ถ้าได้ขึ้นเวลาประกวด นางสงกรานต์ หรือนางงามที่ไหน ถ้าไม่ติดอันดับ เขานี่แหละจะยอมให้เยียบคอเลย
“ท่านมีความที่จัดถามเราเพียงเท่านี้รือ”หญิงสาว หรือนางฟ้าจำแลง ที่มีนามว่า พลับพลึงร้องถาม
“อะ..เอ่อ..ก็มีอยู่หลายเรื่องครับ เอาเป็นว่าผมจะไล่ถามคุณเป็นข้อๆแล้วกัน ของแรกผมก็ได้คำตอบไปแล้ว งั้นผมขอถามคุณในข้อต่อไปแล้วกันนะครับ ส่วนจะตอบผมได้หรือไม่นั้น ก็แล้วแต่คุณพลับพลึงจะกรุณาครับ”
“ภูต เทวดา นางฟ้า เอ่อ...ยังไงดีหละ”
“ผมหมายถึง เทพยดา ในลักษณะแบบคุณเนี้ย ยังมีอยู่ในป่าแห่งนี้อีกหรือเปล่าครับ”
“มิมีดอก”คำตอบของหญิงสาว ทำให้ชายหนุ่มถึงกับสลดหดหู่ เพราะนอกจากคำตอบที่ได้รับฟังแล้ว แววตาของหล่อนก็ดูเศร้าลงอย่างเห็นได้ชัด
“เป็นไปได้หรือครับ ก็ป่าแถวนี้ก็ยังเป็นดงดิบ แถมยังเป็นป่าอาถรรพ์ ต้นไม้แต่ละต้นก็อายุนับร้อยๆปี คุณพลับพลึงแน่ใจแล้วหรือครับ”
“เราเคยเรียนท่านไปแล้ว เมื่อครั้งก่อน มีเราเพียงผู้เดียวเท่านั้น ที่ยังหลงเหลืออยู่ ทุกดวงจิตร แบบเราได้สูญสลายไปนานแล้ว แม้แต่ในดงดำแห่งนี้ เราเพียรพยายามตั้งสมาธิ เพื่อค้นหา แต่ก็มิมีประโยชน์อันใด”หล่อนก้มหน้าตอบออกมาแผ่วเบา ชายหนุ่มรู้สึกผิดขึ้นมาทันที่ หลังจากฟังคำตอบของหล่อนออกมา
เรื่องราวระหว่าง หญิงสาว และชายหนุ่ม ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร โปรดติดตามในตอนต่อไป
ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภันมา ณ ที่นี้ด้วยครับ