ภาพที่ 1บทที่ 15
ตอนที่ 1
ในขณะที่คณะตามหาคนหาย รบลาอยู่กับฝูงค้างคาวนรก อีกฟากฝั่งนั้นเอง ณ เพิงชะง่อนหิน ลักษณะเป็นโพรงเล็กๆใต้ภูเขา กองไฟกองใหญ่กำลังไหม้คุกรุ่นอยู่บนท่อนฟืนแห้งขนาดใหญ่ ที่ถูกจุดสุมเป็นกองหน้าปากโพรงถ้ำนั้น นอกจากกองไฟกองใหญ่แล้ว ปากทางเข้านั้น ยังถูกกิ่งไม้สะปิดกั้นไว้อย่างแน่นหนา ร่างของชายหนุ่มนอนตะแคงหนุนเป้หลังไว้แทนหมอน มีผ้าขาวม้าคลุมกายแทนผ้าห่ม เขาเผลอหลับไปด้วยความอ่อนเพลียมาทั้งวัน หลังจากกินหัวมันเทียนที่เหลือจากมื้อเช้าไปสองหัว ส่วนอีกหัวที่เหลือชายหนุ่มห่อใบตองเหน็บติดไว้กับผนังหิน กะว่าเอาไว้เป็นอาหารมื้อเช้า อากาศเย็นยะเยือกลงทุกขณะ ทำให้ต้องทนนอนขดตัวอยู่แบบนั้น กองไฟกองเล็กที่เขาก่อไว้ภายในถ้ำ มาบัดนี้เหลือแต่ถ่านแดงๆไม่กี่ก้อน เพราะใกล้หมดเชื้อไฟ และอีกไม่นานนักก็เหลือแต่ขี้เถ้าขาวโพลน
ชายหนุ่มเผลอหลับไปนานเท่าไหร่ไม่อาจทราบได้ มาสะดุ้งและรู้สึกตัวอีกที ก็ตอนที่ร่างกายรู้สึกหนาวสะท้านจนทนนอนต่อไปอีกไม่ไหว เมื่องัวเงียตื่นขึ้นมา ก็เห็นแต่กองไฟแดงๆเหลือแต่ถ่านอยู่ภายนอก ส่วนกองข้างในดับลงไปนานแล้ว เพราะสภาพภายในนั้นมืดสนิท สภาพอากาศก็ทวีความหนาวขึ้นทุกขณะ หมอกก็ลงหนาทึบ จนมองอะไรไม่ถนัดนัก โชคดีที่ตัวเองเก็บฟืนมาสำรองไว้ภายในมากพอสงควร แต่กองไฟที่ก่อไว้ดับลงเสียแล้ว ครั้นจะก่อใหม่ก็กลัวว่าจะเปลืองไม้ขีดไฟ เพราะของมีอยู่จำกัดและต้องใช้อย่างประหยัด กะว่าจะออกไปเติมฟืนด้านนอก แล้วจะต่อไฟจากกองนั้นเข้ามา แต่พอขยับกาย เพื่อจะออกไปจากโพลงถ้ำ ทันใดนั้นชายหนุ่มก็ต้องชะงัก เมื่อเห็นเงาอะไรบางอย่างดำตะคุ้มๆอยู่ภายนอก ครั้งแรกที่เห็นคิดว่าเป็นก้อนหิน แต่ก็จำได้ว่า ตอนที่มาสำรวจ บริเวณนี้เป็นลานหินราบเรียบ จะว่าท่อนฟืนที่ตัวเองลากมากองไว้ ก็ไม่ใช่อีก เพราะจำได้ว่าวางเรียงไว้ทางด้านขวาใกล้ปากโพรง ซึ่งตอนนี้มันก็ยังกองอยู่ให้เห็นไม่ได้ขยับไปไหน เมื่อคิดดังนั้น จึงค่อยๆควานมือไปคว้าหอกไม้ที่พาดไว้กับผนังถ้ำ โดยสายตายังจับจ้องไปที่เงาประหลาดนั้นอย่างไม่คลาดสายตา จะด้วยความมืดมิดของภายในถ้ำ หรือความร้อนรนของตัวเขาเอง ทำให้มือที่กวาดไปมาอย่างสะเปะสะปะ กวาดไปโดนหอกไม้ล้มกระแทกพื้นดังโครม ทันใดนั้นเองเงาประหลาดที่ตัวเองจ้องอยู่นั้นก็มีอาการกระโจนวูบ เฉียดกองไฟ หายเข้าไปในความมืด แค่เพียงเสี้ยววินาทีเท่านั้นที่แสงเรืองๆจากถ่านในกองไฟฉาบกระทบ เขายังทันเห็นริ้วแถบสีของมัน แม้จะมองเห็นไม่ถนัดนัก ชายหนุ่มก็รู้ได้โดยทันที
“เสือ!”ชายหนุ่มอุทาน พร้อมๆกับอาการขนรุกซู่ขึ้นมาทันที อาการง่วงเหงาหาวนอนที่เคยเป็นอยู่ แทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง ร่างกายของเขาแข็งทื่อด้วยความตกใจไร้เรี่ยวแรงที่จะขยับเขยื่อน ราวกับถูกสาปไว้ให้กลายเป็นหิน เหงื่อเม็ดโตเริ่มผุดขึ้นที่หน้าผาก ถึงแม้อากาศในยามนี้จะเย็นยะเยือกก็ตาม เคยเห็นแต่ตัว ที่อยู่แต่ในสวนสัตว์ แต่ไม่น่ากลัวเท่านี้เพราะมันถูกขังอยู่แต่ในกรง แถมดูเชื่องอีกต่างหาก แต่ที่เห็นนี่ตัวเป็นๆไม่ได้ถูกล่ามหรือถูกขังไว้ ก่อนที่ชายหนุ่มจะเตลิดเปิดเปิงออกไปมากกว่านี้ ทันใดนั้นหูของเขา หรือไม่ก็โสตประสาทก็แว่วเสียงของใครคนใดคนหนึ่งแว่วเข้ามา
“ท่านจงใช้สติ โปรดอย่าได้ตื่นตระหนก กับสิ่งที่ท่านได้พบเห็น”
“ทำสมาธิให้แน่วแน่ สำรวมจิตและกำหนดลมหายใจของท่านให้สอดคล้องกัน” ราวกับเสียงสวรรค์ หรือไม่ก็แสงแห่งความหวัง ที่ประทานพรมาให้ชายหนุ่ม ซึ่งเลือดในกายเคยจับกันเป็นก้อนแข็ง ให้กลับมาไหลเวียน สูบฉีดขึ้นมาอีกครั้ง กำลังใจที่เคยห่อเหี่ยว ตอนนี้กลับมาเพิ่มพูนจนล้นปรี่ ไม่ใช่ใครที่ไหน นอกจากหล่อนที่ตัวเองคุ้นเคย ทุกเหตุการณ์ไม่ว่าเรื่องดี หรือเหตุการณ์ร้าย หล่อนคนนี้ก็ไม่เคยทอดทิ้งเขาในทุกสถานการณ์
“คุณพลับพลึง”
“คุณอยู่ที่ไหนครับ”ชายหนุ่มละล่ำละลัก เงียบ ปราศจากเสียงตอบรับใดๆกลับมา อาจเป็นไปได้หรือไม่ ที่หูของเขาอาจจะฝาดไป จากสถานการณ์เช่นนี้ มันกดดัน จนทำให้จิตประสาทของเขาสร้างภาพ และเสียงขึ้นมาหลอกหลอนตัวเอง เมื่อลองร้องเรียกหล่อนออกไปอีกครั้ง ก็ไม่มีอะไรเปลี่นแปลง นอกจากความเงียบสงัด
“โถ่...คุณพลับพลึง คุณอย่าเงียบไปแบบนี้สิครับ”
“ล้อเล่นแบบนี้มันไม่สนุกนะครับ มาเป็นเพื่อนผมก่อน ข้างนอกเสือมันจ้องจะเล่นงานผมอยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้”ชายหนุ่มรำพึงในใจ ในขณะที่กำหอกไว้ในมือทั้งสองข้าง ทำท่ากล้าๆกลัวๆ ไฟในกองก็ทำท่าริบหรี่จวนมอด ครั้นจะแหย่ฟืนเข้าไปในกองก็ไม่กล้าเสี่ยง เพราะระยะของกองฟืน กับกองไฟห่างออกไปร่วมห้าวา อะไรไม่สำคัญเท่า สิ่งที่ตัวเองเห็นตัวนั้น ถ้าใช่เสือจริงๆจะทำอย่างไร มันอาจจะซุ่มดักรออยู่ อีกใจก็บอกกับตัวเองว่า มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เห็นก็ได้ เหนือนในหัวสมองตอนนี้ มีตัวเขาอีกคนกำลังโต้เถียงกันอยู่
ในช่วงเวลาที่สับสนนั้นเอง เหมือนเขาจะคิดอะไรบางอย่างได้ออก จึงรีบคลำไปที่เป้สะพายของเขา รื้อค้นหาอะไรบางอย่างอยู่ กรุกกรัก ครู่หนึ่ง ก็คว้าห่อกระสุนลูกปืน.22 ที่ติดอยู่ที่เป้ออกมาได้ ถึงแม้จะไม่มีปืน แต่ลูกปืนที่เขามีติดตัวมาด้วยก็น่าจะทำประโยชน์อะไรได้บ้าง อย่างน้อยๆก็ดินปืนที่บรรจุอยู่ภายในปลอกกระสุน น่าจะสร้างแรงระเบิดหรือทำให้เสียงดังอะไรได้บ้าง หากเขาคิดจะโยนมันเข้าไปในกองไฟ ชายหนุ่มเดาะลูกกระสุนปืนอยู่ในมือลูกหนึ่ง เพื่อกะน้ำหนัก พร้อมๆกับใช้หอกไม้เขี่ยแหวก กิ่งไม้ที่ใช้สระปิดช่องทางไว้ด้านหน้า พอได้ช่องกว้างพอที่จะขว้างลูกปืนออกไปได้ ก็ลงมือขว้างลูกปืนนัดนั้นออกไปทันที กะไว้ว่าจะให้มันลอยเข้าไปในกองไฟ นัดแรกออกแรงน้อยไปหน่อย ลูกปืนกระดอนกลิ้งอยู่กับพื้นห่างกองไฟเกือบศอก นัดที่สองก็แรงไปอีก เพราะมันโด่งข้ามเลยกองไฟเข้าไปตกอยู่ในพุ่มรก ลูกที่สามหลังจากกะน้ำหนักและทิศทางได้ นัดนี้หล่นผลุบเข้าไปในกองไฟ ชายหนุ่มรีบหลบฉากบังหลังก้อนหินทันที เพียงอึดใจก็มีเสียง ระเบิดของลูกกระสุนนัดนั้นดัง เปรี๊ยะ ลูกไฟในกองกระเด็นออกเป็นสะเก็ด พร้อมๆกับเสียงลูกปืนแฉลบพื้นหินดัง เฟี้ยว
“โฮก..”ไม่ใช่ความฝันหรือเขาจิตรหลอนอะไร เพราะเสียงร้องของพยัคฆ์ เจ้าแห่งพงไพรร้องคำรามสะเทือนลั่น พร้อมกับเสียงวัดถุหนักๆกระโจนเข้าไปในพุ่มไม้ดังสวบ ชายหนุ่มถึงกับสะดุ้งโหยง เพราะเสียงร้องของมันดังอยู่ไม่ไกลจากปากโพลงนี้เลย อารามด้วยความตกใจ ลูกกระสุนปืนอีกหลายสิบนัด ที่กำไว้อยู่ในมือ ก็ถูกขว้างหายเข้าไปในกองไฟ ครั้งนี้ราวกับเสียงประทัดวันตรุษจีน เพราะลูกปืนที่อยู่ในกองไฟระเบิดเสียงดังระรัว สะเก็ดไฟในกอง กระเด็นกระดอนไปรอบทิศทาง ราวกับพลุแตก เสียงลูกปืนที่ระเบิดออกมาจากปลอกกระสุนแฉลบไปกับพื้นหินดัง เฟี้ยว ฟ้าว กระทบไม้ไร่ที่ขึ้นอยู่โดยรอบดังกราว บางนัดแฉลบมากระทบเข้ากับแง่หินบริเวณปากถ้ำ เศษหินแตกกระจายเป็นสะเก็ด ไม่ถึงนาที ทุกอย่างก็เงียบสงบเช่นเดิม ภายนอกในตอนนี้กลากเกลื่อนไปด้วยลูกไฟแดงๆจากถ่านในกองฟืน ที่กระจัดกระจายวูบวาบพราวไปหมด
เมื่อทุกอย่างเงียบสงบ ชายหนุ่มก็ค่อยๆโงหัวออกมาจากแง่หิน ที่ใช้เป็นเกาะกันบังวิถีกระสุน แต่ก็ยังเก้ๆกังๆ เพราะยังไม่แน่ใจว่า กระสุนปืนที่โยนเข้าไปนั้น ระเบิดออกหมดทุกนัดแล้วหรือไม่ หลังจากกลั้นใจอยู่ชั่วครู่ จึงค่อยๆโผล่ออกมาจากที่ซ่อน พลางมองไปรอบๆด้วยความหวาดระแวง เพราะไม่แน่ใจว่าเสียงปืนที่ระเบิดออกไปจนป่าแตก จะส่งผลทำให้พยัคฆ์ไพรตัวนั้น ผละหนีออกไปหรือไม่
เวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ที่เขาซ่อนเร้นโดยที่ไม่กระโตกกระตากทำให้เกิดเสียงใดๆ สถานการณ์ ณ เวลานี้ก็ดูเงียบสงัด มีเพียง เสียงของแมลงกลางคืนบางชนิด ที่ยังคงกรีดปีกอยู่เป็นช่วงๆ บางครั้งก็มีเสียง ออด แอด ของกิ่งไม้และต้นไม้ไหวโอนเอนไปตามแรงลม พร้อมๆกับเสียง น้ำค้าง ที่จับอยู่ตามยอดใบ หยดลงมาตามพื้นดัง กราว ส่วนบนลานหิน ที่เคยมีสะเก็ดไฟพรมอยู่ทั่ว ตอนนี้ก็ดับมอดลงหมดแล้ว เหลือไว้เพียง ถ่านแดงๆที่ติดอยู่ตรงส่วนปลายของท่อนฟืน ยิ่งดึกสงัด อากาศก็ยิ่งเย็นยะเยือก ละอองหมอกที่หนาทึบ จับพราวไปทั่วบริเวณ ตามหมู่ไม้และก้อนหิน ชุ่มฉ่ำไปด้วยหยาดน้ำค้าง
“เอาวะ เป็นไงเป็นกัน”ชายหนุ่มคิดในใจ เพราะเมื่อไตร่ตรองดูแล้ว สิ่งที่ตนเองกระทำอยู่นี้ น่าจะได้ผลในระดับหนึ่ง อย่าว่าแต่เสือเลย ต่อให้ช้าง ก็คงจะหนีป่าราบ เขาคิดในแง่ดี นี้แหละหนา ที่เขาว่าทำใจดีสู้เสือ มันเป็นแบบนี้นี่เอง เมื่อคิดได้เช่นนั้น ก็ทำให้มีกำลังใจขึ้นมาอีกหน่อย แต่ยังไม่ทันที่ชายหนุ่มจะขยับกายไปไหน ก็ปรากฏเงาลางๆตะคุ่มๆอยู่ด้านนอกอีกครั้ง สิงห์กระโจนวูบ หลบไปอยู่หลังก้อนหิน มือก็คว้าเอากระสุนปืนที่เหลือมากำไว้แน่น กำลังคิดว่าจะขว้างมันเข้าไปในกองไฟแบบเดิม แต่แล้วก็ต้องชะงักมือ เมื่อมีเสียงหวานใสแว่วเข้ามา
“ท่านสิงห์ เราเอง”
“เพลานี้ มิมีภยันตรายใดๆ ที่จะเข้ามา กล้ำกลายท่านแล้ว โปรดจงวางใจ”เสียงจากบุคคลปริศนาที่ซ่อนร่างไว้ภายใต้หมอกหนาแว่วเข้ามาอย่างแจ่มชัด แต่ก็ไม่สามารถทราบได้ว่า สิ่งที่ได้ยินนั้น จะเป็นของจริง หรือประสาทของเขากลับหลอนขึ้นมาอีกครั้ง
“เสือสมิงหรือเปล่าวะนี่”ชายหนุ่มคิดอยู่ในใจไม่ได้กล่าวออกมา เพราะเคยได้ยินได้ฟังคำบอกเล่าจากพรานพื้นเมือง รวมทั้งเคยได้ยินได้ฟังมาจากนิทานข้างกองไฟมาก็ไม่น้อย ที่ว่า เสือสมิง มักชอบแปลงร่างเป็นคน หรือแปลงเสียงเป็นเสียงคนร้องเรียกให้ออกไปหา ผู้ใดที่พลาดท่า หลงกล ก็จะตกเป็นเหยื่อของเสือสมิงนั้น ชายหนุ่มกำลังคิดว่ามันแปลงร่างเป็นคนมาหลอกเขาอยู่นั้น ทันใดนั้น ร่างของใครคนใดคนหนึ่ง ที่เคยอยู่ในเงาของหมอกทึบ ก็ค่อยๆปรากฏขึ้น ร่างนั้นค่อยๆก้าวเข้ามาอย่างแช่มช้า ทีละก้าว ทีละก้าว แล้วมาหยุด ยืนเด่นตรงหน้ากองไฟ ซึ่งตอนนี้มีแต่ถ่านคุกรุ่น แสงจากถ่านแดงๆ ฉาบไปตามเรือนร่าง มองเห็นอยู่ลางๆ
“คุณพลับพลึง นั่นคุณจริงๆหรือนี่”ชายหนุ่มละล่ำละลัก ทำท่าจะพรวดพราดออกไปจากที่ซ่อน แต่แล้วก็ชะงัก ไม่กล้าขยับออกไปไหน เมื่อนึกถึง เรื่องราวของเสือสมิงที่ตนเองคิดไว้ก่อนหน้านี้
“แมะ ไอ้นี่ มาหลอกว่าเป็นคุณพลับพลึง เสียด้วย ไม่ได้กินข้าหรอก”ชายหนุ่มสบถในใจ แต่เหมือนร่างนั้นจะหยังรู้ความคิดของเขา เพราะวินาทีต่อมา ร่างนั้นก็ค่อยๆก้าวอ้อมกองไฟ จากนั้นก็ก้มลงหยิบท่อนฟืน ที่ชายหนุ่มเก็บเรียงไว้เป็นกอง หญิงสาวในร่างนั้น ค่อยๆบรรจงวางท่อนฟืนแห้งลงไปเติมเชื้อไฟในกอง ที่ทำท่า ว่าจะมอดดับลง ราวกับมีเวทมนตร์ หรือไม่ก็เป็นภาพมายา เมื่อปรากฏเปลวไฟลุกพรึบ ขึ้นมาบนท่อนฟืนท่อนนั้นทันที เหมือนกับว่าท่อนฟืนท่อนนั้นถูกชุบหรือถูกราดน้ำมันลงไป
เปลวไฟสว่างจ้า ทำให้มองเห็นร่างนั้น อย่างถนัดถนี่ มันเด่นชัดจนมองเห็นทุกสัดส่วน เส้นผมสีดำยาวดูสลวยเป็นมันขลับ ราวกับเส้นไหม ซึ่งตอนนี้พริ้วไหว ปกคลุมไปตามหัวไหล่ ไล่ลงมาถึงกลางแผ่นหลัง ตัดกับสีเขียวอ่อน ของผ้าสไบที่คาดเฉียง ปกปิดส่วนที่เป็นปทุมถันทั้งสองข้างอย่างเบาบาง จนแลเห็นส่วนที่เป็นส่วนปลายยอด ของปทุมถันนั้น เอวที่คอดกิ่ว รับกับสะโพกผายดูงอนงามถูกซ่อนไว้ ภายใต้ผ้าซิ่นสีเปลือกไม้ที่ถูกเหน็บคาดไว้ด้วยเถาวัลย์ ในส่วนของใบหน้า นอกจากช่อดอกไม้ที่เหน็บทัดหูแล้ว ดวงตาที่ดูโต รับกับโครงหน้ารูปไข่ ที่จับจ้องมาทางเขา ส่อแววอารีอยู่ในที จมูกดูเชิดเป็นสันโด่ง ริมฝีปากบางสีชมพู เป็นรูปกระจับ มีอาการ เหมือนจะส่งยิ้มน้อยๆมาให้เขา ชายหนุ่มจ้องจังงัง ไม่กระพริบตา เหมือนถูกสะกดให้อยู่กับที่
ลมดึกพัดมาอีกวูบ ทำให้เส้นผมของหล่อนคนนั้น พริ้วไหวไปตามแรงลม มันหอบเอากลิ่นหอมจางๆของดอกไม้ป่าบางชนิด ให้ลอยไปตามสายลม กลิ่นนั้นมันลอยปะทะเข้ามาในโสตประสาทของชายหนุ่ม ซึ่งมันเป็นกลิ่นหอมที่เขาคุ้นเคย และปรารถนาที่จะพบเจอ ในทุกช่วงเวลาของลมหายใจ กลิ่นหอมหรืออีกนัย ก็คือกลิ่นกายของหล่อน หล่อนคนนั้นที่เขาถวิลหาในทุกราตรีกาล และมาบัดนี้หล่อนคนนั้น ได้มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว ไม่ใช่เสือสมิง หรือ ภูตผีปีศาจที่ไหน ไม่ผิดหรือไม่ใช่ใครที่ไหนแน่ นอกจากหล่อนที่มีนามว่า พลับพลึง
“คุณพลับพลึง”ชายหนุ่มอุทานลั่น ก่อนที่จะพุ่งพรวดออกไปอย่างลืมตัว อารามด้วยความดีใจ จนลืมไปว่า ปากทางนั้น มีกิ่งไม้ที่เขาเองเป็นคนตัดสะปิดไว้อยู่ จึงทำให้ปะทะเข้าอย่างจัง เล่นเอาล้มกลิ้งหกคะเมน พอลุกขึ้นได้ชายหนุ่มก็กระโจนเข้าไปกอดร่างนั้นจนแน่น ปากก็ร้องเรียกนามหล่อนไม่หยุด
“คุณพลับพลึง”
“คุณพลับพลึงจริงๆด้วย นี่ผมไม่ได้ฝันไปใช่มั๊ย”แทนคำตอบหญิงสาวที่มีนามว่า พลับพลึง พยักหน้าช้าๆพร้อมกับฉีกยิ้มกว้างออกไปอีก แล้วกล่าวต่อมาว่า
“ใช่แล้ว เราเอง เราที่จะมาพบท่านในทุกราตรีกาล”
“ผมดีใจที่สุดเลยครับ ที่ได้พบคุณอีก ผมคิดว่าจะโดนเสือสมิงเล่นงานเอาเสียแล้ว”ชายหนุ่มร้องบอกด้วยความดีใจ พลางใช้มือลูบคลำ บีบไปมา ตามแขนของหล่อนทั้งสองข้างไม่หยุด
“หลังจากนี้ จักมิมีสิ่งใดมารบกวน หรือก่อภยันตรายใดๆแก่ท่านอีก”
“จงใช้สติ และปัญญาของท่านให้ถ้วนถี่ อย่าได้วิตกกังวล”หญิงสาวกล่าว พลางยิ้มเจื่อน ด้วยท่าทีขวยเขิน ชายหนุ่มเพิ่งจะมารู้สึกตัว ว่าเขาดีใจจนออกอาการมากเกินไป จนทำให้ลืมตัว แสดงอาการถึงเนื้อถึงตัวหล่อนมากไปหน่อย ซึ่งอาจจะเป็นการไม่สุภาพ และเป็นการไม่เหมาะสมต่อสุภาพสตรี
“เอ่อ.. ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ ผมดีใจจนคุมสติตัวเองไว้ไม่อยู่จริงๆ”ชายหนุ่มกล่าว พลางใช้มือเกาท้ายทอยแกรกๆ แก้เขิน
“เชิญตรงนี้ครับคุณพลับพลึง เรามานั่งคุยกันตรงนี้ดีกว่า”ชายหนุ่มว่า พลางมองรอบๆไปทั่วบริเวณ เพื่อหาทำเลเหมาะ ในการนั่งสนทนา แต่ก็ต้องผิดหวัง เพราะทุกที่ ถูกประพรมไปด้วยน้ำค้างจนดูเฉอะแฉะ แถมดูเปรอะเปื้อนไปด้วยถ่านและขี้เถ้า
“น้ำค้างตกแรงจริงๆครับ เอาเป็นว่า ถ้าคุณไม่รังเกียจผม”
“เอ่อ...จะเป็นอะไรมั๊ยครับ ถ้าผมจะเชิญคุณเข้าไปหลบน้ำค้าง และนั่งคุยกันในนั้น”ชายหนุ่มกล่าว พลางหันหน้ามองเข้าไปในปากโพรง ซึ่งเป็นสถานที่หลบภัย และใช้เป็นที่อยู่อาศัยชั่วคราว
“ท่านมีสิ่งใด ให้เราคิดรังเกียจเดียดฉันท์ ในตัวท่าน”
“มีแต่เราเท่านั้น ที่จะไต่ถามท่านเสียมากกว่า ว่า ท่านจักรังเกียจเดียดฉันท์ เราหรือไม่” หญิงสาวกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม
“ถ้างั้น...ก็ขอเชิญครับ”ชายหนุ่มกล่าว พลางผายมือขวาไปยังตำแหน่งปากโพรง ซึ่งเปรียบเสมือนประตูคฤหาสน์จำเป็น ส่วนมือซ้ายยืดส่งไปทางหล่อน หญิงสาวยิ้งละไม ก่อนจะส่งมือไปให้จับแต่โดยดี
“มันอาจจะดูคับแคบไปหน่อยนะครับ”
“แต่อย่างน้อยๆ ก็ดีกว่ามานั่งตากน้ำค้างคุยกันอยู่แบบนี้”ชายหนุ่มกล่าว พลางก้มลงหยิบ ท่อนฟืนติดไฟท่อนหนึ่งขึ้นมาถือ แล้วเดินจูงมือหล่อน ตามเขาไปอย่างช้าๆ โดยพาเดินเลี่ยงกองกิ่งไม้ที่เขาชนล้มขวางทางไว้
“เชิญครับ”
“คุณพลับพลึง นั่งรอผมตรงนี้สักเดี๋ยว ขอผมก่อไฟ และออกไปเติมฟืนข้างนอกอีกหน่อยนะครับ”ชายหนุ่มกล่าว หลังจากใช้ผ้าขาวม้าที่ตัวเองใช้ห่มนอน ออกมาปัดไปมาตามพื้น เพื่อกวาดไล่ก้อนกรวด และเศษดินเศษหินเล็กๆ ออกจากพื้นหินราบเรียบที่เขาเคยใช้เป็นสถานที่หลับนอน จากนั้นก็คลี่ผ้าขาวม้าผืนนั้นออกมาปูรองพื้นอีกชั้นหนึ่ง เมื่อหญิงสาวหย่อนกายลงไปนั่งพับเพียบ ก็ใช้ท่อนฟืนที่ติดไฟก่อสุมกองไฟกองเล็กๆที่อยู่ภายใน ในตำแหน่งเดิม เมื่อกองไฟติดดีแล้ว ก็ผละออก แบกฟืนที่เก็บกองไว้ ไปสุมเติมเชื้อเพิ่ม จนบริเวณนั้นสว่างโพลน
เรื่องราวระหว่าง หญิงสาว และชายหนุ่ม ต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร โปรดติดตามในตอนต่อไป
ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภันมา ณ ที่นี้ด้วยครับ