สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 23 พ.ย. 67
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 14 ตอนที่ 2 : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความอื่นๆ
ความเห็น: 6 - [9 เม.ย. 64, 08:04] ดู: 1,472 - [23 พ.ย. 67, 07:25] โหวต: 2
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 14 ตอนที่ 2
หนุ่มธุดงค์ไพร (711 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
7 เม.ย. 64, 16:55
1
นิยาย แนวผจญภัย บทที่ 14 ตอนที่ 2
ภาพที่ 1
บทที่ 14

ตอนที่ 2

        อาหารเย็นเริ่มมากินกันก็ค่ำพอดี เพราะตั้งแต่เที่ยงมาแล้ว ทุกคนล้วนแล้วแต่ยังไม่ได้มีอะไรตกถึงท้อง นอกจากน้ำในแม่น้ำสายนั้น อาหารมื้อนี้ทุกคนจึงกินกันอย่างเอร็ดอร่อย ปากก็เคี้ยวข้าวจนแก้มตุ่ย ตาก็สอดส่องไปในราวป่ารอบๆตัว ถึงแม้จะมองอะไรไม่ถนัดนัก เพราะตอนนี้มืดลงมากแล้ว อย่างมากก็เห็นไม่เกินแสงจากกองไฟที่สาดส่องถึง โชคยังดีที่มีเจ้าพะเปรียวมาด้วย มันจึงเปรียบเสมือนยามเฝ้าระวังภัยไปในตัว เพราะอย่างน้อยๆ ประสาทสัมผัสของหมานั้นย่อมดีกว่าคน กินข้าวยังไม่ทันได้ครึ่งจาน ทุกคนก็ต้องทะลึ่งพรวดคว้าปืนขึ้นมาถือ เพราะเจ้าพะเปรียวลุกขึ้นทำหูตั้ง มันจ้องไปในแนวหมู่หิน พร้อมทำเสียงคราง ฮือๆในลำคอ

          “เงียบๆทุกคน อย่าส่งเสียง”

          “ข้าว่า เหมือนมีอะไรบางอย่างอยู่ในดงหินนั่น หาที่หลบกันก่อนเร็ว”พรานเบกระซิบบอกคณะ พรางชี้มือบอกแต่ละคนให้ไปหลบตามก้อนหินใหญ่ในบริเวณที่พัก พรานโส่ยกระโจนหลบหลังก้อนหินที่แกตั้งเครื่องเซ่น พรานพรย่องหลบเข้าไปในรากไม้ล้มใกล้กับกองสัมภาระ พรานแปะกับเหน๋อ ถอยฉากหลบมุมตรงกองฟืนหลังแนวกองไฟ เจ้าพุ่มกับเจ้าเคิ้งขยับไปแอบที่ก้อนหินริมน้ำที่มีต้นไคร้น้ำขึ้นอยู่หล่อมแหล่ม ส่วนพรานเบหลบไปที่ก้อนหินใหญ่เบื้องหน้าสุด ไม่กี่อึดใจต่อมา ในความเงียบสงบนั้น นอกจากเสียงปะทุของฟืนในกองไฟและเสียงน้ำไหลแล้ว ช่วงเวลาที่ทุกคนในคณะต่างจับจ้องไปตามแนวไพรเบื้องหน้านั้นเอง เสียงอะไรบางอย่างก็แว่วเข้ามาให้ได้ยิน เหมือนมีอะไรบางอย่าง ย่ำใบไม้และกรวดหินดังกรอบแกรบ มันดังอยู่หลังโขดหินที่เห็นอยู่เรืองลาง เพราะแสงกองไฟนั้นไปไม่ถึง มันดังวนเวียนไปมาไม่ยอมเข้ามาใกล้ ซึ่งพรานเบที่อยู่หน้าสุดและใกล้ที่สุด ก็ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าเป็นอะไรชนิดใด เพราะพยายามเพ่งมองออกไปเท่าไหร่ก็มองไม่เห็นต้นกำเนิดของเสียง นอกจากเสียงที่ดังแว่วเข้ามาอยู่รอบๆบริเวณนั้น จนในที่สุดพรานเบต้องส่งสัญญาณให้พรานพร รื้อค้นไฟฉายออกมาให้ เพราะตัวเองอยู่ใกล้กองสัมภาระมากที่สุด เพียงไม่กี่อึดใจ พรานพรก็ย่องเข้ามาหาพรานนำทางพร้อมไฟฉายในมือ

          “เอ็งว่าอะไรไอ้เบ”

          “เสียงมันดังออกมาแบบนั้น ข้าว่าน่าจะมีมากกว่าหนึ่ง”พรานพร กระซิบบอกพรานนำทาง

          “ข้าก็คิดแบบเอ็ง”

          “ดูท่า มันน่าจะกลัวไฟถึงไม่กล้าเข้ามาใกล้ แต่ก็ไม่ยอมถอยไปไหน”พรานนำทางกระซิบตอบ

          “เอาอย่างนี้ เดี๋ยวข้าจะเป็นคนส่องไฟให้”

          “เอ็งคอยส่องปืนตามละกัน เห็นท่าไม่ดีก็รบกันไปเลย”พรานพรว่า แล้วทำท่าจะส่องไฟฉายไปที่ต้นกำเนิดของเสียง แต่ยังไม่ทันที่พรานพรจะกดสวิทช์ พรานเบก็รีบคว้ามือไว้ก่อน พรางตอบออกมาว่า

          “ส่องตรงนี้ไม่เห็นมันหรอก เพราะหินมันบังไปหมด คงเห็นอะไรไม่ถนัด”

          “คงต้องย่องเข้าไปใกล้กว่านี้”

          “จะดีรึ”

          “เราไม่รู้ว่ามันจะเป็นตัวอะไร ร้ายดียังไง”พรานพรว่า

          “หรือจะเฝ้ามันแบบนี้ทั้งคืน เราก็ไม่รู้ว่ามันจะวนอยู่แบบนี้อีกนานแค่ไหน”

          “หรือเอ็งว่าไงไอ้พร”

          “เสียงมันดังมาไม่ใกล้ ไม่ไกลนี่เอง”

          “เผลอๆ ข้าว่า คงอยู่แถวๆที่ไอ้แปะมันยิงเก้งได้นั่นแหละ”พรานเบกล่าว

          “เอา เอาไงเอากัน”

          “เอ็งว่าไงก็ว่าตาม จะได้รู้ดำรู้แดงกันไปเลย”พรานพรว่า พรางกระชับปืนลูกซองไว้แน่น ก่อนที่ทั้งคู่จะขยับเข้าไปในแนวหิน พรานเบได้ส่งสัญญาณบุ้ยใบ้ให้คณะที่เหลือเฝ้ารอ ณ ตำแหน่งเดิม ไม่ให้ออกหรือตามไป ยกเว้นเจ้าพะเปรียวตัวเดียวเท่านั้นที่ย่องนำหน้าเจ้านายออกไป ซึ่งดูเหมือนว่ามันจะรู้ใจผู้เป็นนาย เพราะนอกจากจะไม่ส่งเสียงออกมาแล้ว ท่าทางของมันก็ดูระมัดระวังอย่างสุดขีด ก้าวได้สามสี่ก้าวก็หยุดทำหูตั้งจับทิศทางของเสียงอยู่ตลอดเวลา พอเห็นว่าไม่มีอะไรผิดสังเกตุก็ย่องขยับนำหน้าเข้าไปอีก ทีละวา สองวา จนในที่สุดทั้งหมดก็เงียบหายเข้าไปในความมืด พ้นรัศมีของแสงไฟจากกองฟืน

            หนึ่งหมา และ สองพราน ต่างค่อยๆงมเข้าไปในความมืดมิด ลำพังหมาตัวเดียวก็เห็นว่าไม่มีอะไร เพราะในความมืดมิดแบบนี้ มันมองเห็นได้อย่างสบาย ลำบากก็คนเรานี่แหละ กว่าจะปรับสายตาให้คุ้นชินกับความมืดได้ ก็เล่นเอาเหงื่อตกไปตามๆกัน โชคดีที่เส้นทางที่คลำไป ไม่ใช่ป่ารกอะไร ออกจะเดินได้อย่างสบายเสียด้วยซ้ำ ยิ่งเป็นช่วงเช้าด้วยแล้ว ยิ่งสบายใจหายห่วง แต่เวลานี้มันมืดสนิท เห็นแต่เงาของหมู่หินสีขาวหม่นเท่านั้น ที่พอจะเดาเส้นทางได้บ้าง แต่ละก้าวที่ย่ำลงไปบนพื้นล้วนแล้วแต่แผ่วเบา บ้างจังหวะที่เท้าสัมผัสกับกิ่งไม้และใบไม้แห้ง ยังไม่ทันได้ลงน้ำหนักลงไป ก็ต้องรีบยกเท้าออกแล้วเปลี่ยนต่ำแหน่งแทน ทีละก้าว ทีละก้าว จนในที่สุด ทั้งหมดก็มาหยุดใกล้ๆกับหินก้อนใหญ่ก้อนหนึ่ง พร้อมๆกับเสียงอะไรบางอย่างดังเข้ามาให้ได้ยินอย่างถนัดที่สุด เสียงกรอบแกรบบนพื้นกรวด และเสียงกระทบกันของวัดถุบางชนิด จะว่างาก็ไม่ใช่ จะว่าเขาก็ไม่เชิง เพราะเสียงที่ได้ยินมันเบากว่านั้น

          “ตัวอะไรวะ”

          “ไม่น่าใช่ ช้าง”พรานพร กระซิบ

          “เก้ง กวาง หรือหมูป่า ก็ไม่น่าจะใช่ ดูแล้วน่าจะมีหลายตัว”

          “สงสัยมันได้กลิ่นควันไฟ ถึงไม่กล้าเข้ามา ที่พักเรามันอยู่เหนือลมเสียด้วย”พรานเบกระซิบตอบ

          “ส่องไฟเลยดีมั๊ย จะได้รู้ๆกันไปเลย “

        “เอ็งเตรียมตัวดีๆแล้วกัน”พรานพรว่า พรางยกปากกระบอกไฟฉายชี้ไปที่ยอดไม้ใหญ่ ส่วนพรานเบตั้งท่ายกปืนส่องไปตามทิศทางที่ได้ยินเสียงใกล้ที่สุด จากนั้นก็ขยับข้อศอกซ้ายไปสะกิดที่ต้นแขนของพรานพร เป็นสัญญาณให้เปิดสวิทช์ไฟฉายทันที

          ลำไฟฉายสว่างจ้าในความมืด จับไปที่ยอดไม้ใหญ่สูงริบ เห็นไปเงาขาววูบวาบ จากนั้นพรานพรก็ค่อยๆกวาดต่ำลงมายังพื้นดิน สิ่งที่เห็นคือแสงสีเขียววาวของดวงตาสัตว์ชนิดหนึ่ง กระทบแสงตอบกลับมาหลายสิบคู่ พวกมันพากันเดินขวักไขว่ แลดูไม่ยี่หระ กับแสงไฟฉายที่สาดกระทบนั้น ขนาดของมันไม่ใหญ่โตนัก มองผ่านๆก็คิดว่าหมูป่า แต่เมื่อพิจารณาดีๆถึงได้รู้ว่าไม่ใช่ เพราะลักษณะของขนที่ตั้งชูชัน เป็นเส้นๆ บางจังหวะก็เห็นเป็นสีขาวดำ สลับกันเป็นปล้องๆ แค่แวบแรกเท่านั้นที่พรานเบเห็น ก็ถอนหายใจ พร้อมหัวเราะหึๆในลำคอ ก่อนจะลดปืนลง

          “ไอ้ห่ า เม่น นี่เอง”

          “มากันเป็นฝูงเสียด้วย กดสักโป้งดีมั๊ย ค่าที่ทำให้เสียเส้น หลอกให้ย่องกันมาเสียเหงื่อท่วม”พรานพรสบท พูดจบก็คว้าก้อนหินขนาดกำลังพอเหมาะมือ จากนั้นก็ขว้างก้อนหินก้อนนั้นตกลงไปกลางหมู่หิน ที่ฝูงเม่นเดินกันให้พล่าน เสียงหินกระทบกันดังโครม จนเห็นสะเก็ตไฟ ทำให้ฝูงเม่นพากันวิ่งพรวดพราดด้วยความตกใจ บางตัวก็ทำขนพองกระทบกันดังกราวไปหมด เจ้าพะเปรียวก็ใช่ย่อย พอเห็นอะไรเป็นอะไร ก็กระโจนพรวดไปไล่เห่าเสียงดังลั่น ฝูงเม่นหลายสิบตัวจึงพากันหนีหายเข้าไปในป่าทึบ เพียงไม่นานก็ได้ยินแต่เสียง แกรกกราก ของใบไม้แห้งจางหายไป ปล่อยให้คนทั้งสองมองหน้ากันตาปริบๆ

          “ตัวอะไรละ”

          “ข้าได้ยินเสียงไอ้พะเปรียวเห่าเสียงดังลั่นมาเชียว”พรานโส่ยร้องทัก หลังจากเห็นบุคคลทั้งสองเดินพ้นออกมาจากหมู่หิน

          “เม่น”

          “นี่ถ้าเป็นป่าข้างนอก คงไม่เห็นมันอยู่เป็นฝูงแบบนี้หรอก”พรานพรว่า

        “บ้านเราเต็มที่ก็ สี่ ห้าตัว”

        “ฝูงนี้ที่ข้ากับไอ้พรเห็น น่าจะไม่ต่ำกว่าสามสิบตัว ตัวโตเสียด้วย”พรานเบกล่าว พูดจบก็ลงไปนั่งกินข้าวตามปกติ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำให้ทุกคน ที่ทำหน้าตื่น พากันโล่งอก เข้ามาร่วมล้อมวงกินข้าวกันเช่นเดิม

          “ดีที่เป็นแค่เม่น”

          “อย่าให้ร้ายไปกว่านี้เลย อย่าเพิ่งเบาใจกันนัก”พรานพรกล่าว พูดจบก็ตักน้ำแกงซดดังโฮก

        “เดี๋ยวเราแบ่งกันอยู่ยาม”

        “เอาผลัดละ สองสามคนก็พอ”พรานเบบอก พลางฉีกเนื้อเก้งย่างโยนเข้าปาก

          หลังจากอาหารมื้อค่ำที่เต็มเปี่ยมไปด้วยรสชาติและความอร่อย ทำให้ทุกคนกินกันจนอิ่ม ท้องที่เคยว่างเปล่าตอนนี้ถูกบรรจุไปด้วยอาหาร กำลังวังชาที่เคยถดถอยก็กลับฟื้นมีกำลังขึ้นมาใหม่ พรานเบกำหนดให้ทุกคนแบ่งกันอยู่ยาม โดยช่วงหัวค่ำนี้ให้ เจ้าพุ่ม เจ้าเคิ้ง และเหน๋อ อยู่กันเป็นผลัดแรก เพราะคิดว่าเวลาเช่นนี้น่าจะไม่มีภัยอันตรายใดๆมากนัก จึงกำหนดให้อยู่ยามถึงสี่ทุ่ม ต่อจากนี้ ก็ให้ พรานแปะ และพรานโส่ย รับยามต่อไปจนถึงตีหนึ่ง ที่เหลือก็ให้เป็นหน้าที่ของพรานพรและตัวแกเอง อยู่ถึงย่ำรุ่ง หรือคนไหนที่ไม่ง่วงอยากอยู่ต่อก็ไม่ว่าอะไร ส่วนคนที่ไม่ได้อยู่ยาม พรานนำทางให้รีบนอนพักเอาแรง โดยเน้นย้ำเฉพาะคนอยู่ยาม ให้ระวังอย่าให้ฟืนไฟมอดดับเป็นอันขาด หรือถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากล ก็ให้รีบปลุกทุกคนทันที

          “ไม่ลองยิงปืนดูสักทีสองที”

          “ป่าจะได้แตก ไหนๆเราก็ไม่ได้มาล่าสัตว์อยู่แล้วนี่”พรานแปะเสนอ หลังจากตักข้าวเข้าปากคำสุดท้าย

          “ข้าคิดไว้แล้ว”

          “ทีแรกว่าจะยิงไล่ตั้งแต่เจอเม่นแล้ว แต่เสียดายลูกปืน”พรานเบว่า

          “จะไปยากอะไร อีแก๊ปก็ได้นี่”

          “ลองดูสักทีก็เกินพอ ดีเสียอีกจะได้ไม่มีตัวอะไรกล้าเข้ามากวนเรา”พรานชราบอก พูดจบก็ยกเหล้าที่อยู่ในฝาแกลอนขึ้นดื่ม

          “ไอ้พุ่ม เอ็งจัดให้ตาโส่ยสักทีสิ”

          “จะได้ล้างลำกล้องไปในตัว ตั้งแต่ล่องแพมา ไม่รู้ดินปืนชื้นหมดหรือเปล่า”พรานแปะพูด พลางรับเหล้าจากพรานโส่ยขึ้นดื่มลงคออึกใหญ่ แต่ไม่ทันที่พรานแปะจะรินเหล้าส่งต่อให้พรานพร เสียงปืนแก๊ปของเจ้าพุ่ม ก็ระเบิดออกมาดังตูมสนั่นจนทำให้เสียงก้องไปทั้งบริเวณ อึดใจต่อมาก็มีเสียง แปร๋ แปร๋น ของช้างป่าดังมาจากฝั่งตรงข้าม พร้อมๆกับเสียงไม้ไร่หักดังโผงผาง ไล่ไปเป็นแถบ เก้ง กวาง ก็ร้อง เป้บ อยู่ไม่ห่างจากที่พัก เสียมมันควบกระโจนไปตามแนวหินดัง กรุบกรับ ทำให้คณะทั้งหมดพากันตื่นเต้นไปตามๆกัน

          “นั่นไง ข้าว่าแล้ว”

          “หลายสิบตัวเลยนะนี่”พรานพรกล่าว พลางยกมือป้องหน้าไปทางเสียงช้างร้องฝั่งตรงข้าม แต่ก็เปล่าประโยชน์ เพราะหมอกที่ปรกคลุมอยู่หนาทึบไปทั้งบริเวณ

          “แบบนี้ก็ดี สบายใจหายห่วงไปอีกหน่อย”

          “อย่างน้อยๆคืนนี้คงไม่มีสัตว์เข้ามากวนเรา”เจ้าเคิ้งกล่าว พูดจบก็คว้าปืนแก๊ปคู่กายขึ้นมาเล็งปลายกระบอกปืนขึ้นฟ้า จากนั้นก็กดไกทันที

          “แชะ!”

          “โห่...ด้านซะนี่”เจ้าเคิ้งบนอุบ

          “แก๊ปคงเปียกแหละ แกะออกมาเปลี่ยนใหม่”

          “ดีนะที่รู้ก่อนตอนนี้ เอาเข้าจริงมาด้านแบบนี้ไม่ได้นะ”พรานเบร้องบอกเสียงขุ่น

          “ตอนล่องแพมาก็ว่ากันน้ำดีแล้วนะ”

          “นี่ไง แก๊ปชื้นเป็นขุยเลย สงสัยจะเปียกน้ำจริงๆด้วย”เจ้าเคิ้งร้องบอก พลางใช้ลวดเส้นเล็กๆที่เหน็บไว้ข้างปืน เขี่ยเม็ดแก๊ปในจอกออกมาบี้ พอรู้ว่าของเดิมที่มีอยู่ใช้งานไม่ได้ ก็ล้วงมือเข้าไปหยิบแก๊ปกระดาษในกระปุกที่อยู่ในย่ามที่สะพายบ่า เลือกเม็ดแก๊ปขึ้นมาอันหนึ่งได้ ก็เอาเม็ดแก๊ปที่เลือกนั้น ค่อยๆยัดเข้าไปในจอกแก๊ปอันเดิม ก่อนจะยัดจอกแก๊ปลงไปที่เดือยของปืนแก๊ป เจ้าเคิ้งก็ใช้ลวดแหย่เข้าไปในรูเดือย แล้วลดนกปืนไปปิดเดือยไว้ จากนั้นก็ใช้ฝ่ามือตบลงไปสองสามครั้ง เพื่อทะลวงเอาดินปืนที่อาจจะมีความชื้นออกมา พอคิดว่าได้ตามที่ต้องการแล้ว เจ้าเคิ้งก็ง้างนกออกแล้วยัดจอกแก๊ปเข้าไปที่เดือย

          “น่าจะออกแหละทีนี้”

          “ดีที่ดินปืนไม่เปียก”เจ้าเคิ้งพูดจบ ก็ยกปืนแก๊ปเล็งขึ้นฟ้าแล้วเหนี่ยวไกทันที

          “ตูมมมม.....”

          “ซ่า...”เสียงปืนแก๊ประเบิดสนั่นอีกครั้ง พร้อมๆกับเสียงของ เจ้าแห่งป่าก็ดังตอบรับกลับมาจากดงทึบที่ใดสักแห่ง

          “อ้าวว...ฮึมมม..”

          “สะ...สะ...เสือ”เจ้าเหน๋อร้องบอก กระจะกระโจนผว่าเข้าไปยืนเกาะแขนพรานเบ

          “ไอ้ลายเลยทีนี้”

          “ป่าเสือ ดงช้างชัดๆ”พรานพรร้องบอก ก่อนที่จะร้องเรียกให้เจ้าเคิ้งและเจ้าพุ่ม ช่วยกันสุมฟืนในกองไฟเพิ่มยิ่งขึ้น ทำให้บริเวณที่พักสว่างไสว เสียงปะทุของฟืนในกองไฟดัง เปรี๊ยะ คะเคล้าไปกับกลิ่นควันไฟ ที่กระจายฟุ้งไปกับสายหมอกที่หนาทึบ  เสียงเสือโคร่งยังคงร้องก้องไปในพื้นป่าอยู่ไม่กี่อึดใจ ก็เงียบเสียงลง นานๆครั้ง ก็ร้องออกมาข่มขวัญชาวคณะเสียครั้งหนึ่ง เล่นเอาทั้งหมดต่างพากันหนาวๆร้อนๆไปตามๆกัน ขนาดเจ้าพะเปรียวยังทำหูลู่หางจุกตูดเดินพันแข้งพันขาพรานเบเป็นพัลวัน ยกเว้นแต่พรานนำทางเพียงคนเดียวเท่านั้น ที่ไม่มีอาการ อกสั่นขวัญหายกับเห็นการณ์เช่นนี้

        ค่ำคืนต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร คณะติดตามคนหายจะพบเจอกับภัยอันตรายหรือไม่ โปรดติดตามในตอนต่อไป

                  ผิดพลาด หรือตกหล่นประการใด ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภันมา ณ ที่นี้ด้วยครับ


กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024
siamfishing.com/content/view.php?cat=article&nid=258870