ภาพที่ 1เดือนที่แล้ว ตอนฝนแรกมา เพื่อนๆ ชวนผมไปปากลำขาแข้งโดยการลากแพไป ตั้งใจกันว่าจะไปกินเหล้าตกปลากันพอสนุกสักสองคืน ชวนอย่างนี้มีหรือจะไม่ไป
ปากลำขาแข้งที่ผมว่านี้อยู่ตอนต้นของเขื่อนศรีนครินทร์ มันคือปากทางของลำห้วยขาแข้งตอนสุดท้ายที่จะขยายตัวกลายเป็นส่วนหนึ่งของอ่างเก็บน้ำนั่นเอง ตรงนั้นมีชุมชนอยู่เรียกว่าบ้านเกรียงไกร และเป็นจุดสุดท้ายที่อนุญาตให้จับสัตว์น้ำได้ ตอนบนขึ้นไปของลำขาแข้งจะเป็นเขตอนุรักษ์ ห้ามบุกรุกเข้าไป พวกเราหมายมั่นปั้นมือว่า เมื่อฝนตกลงมาหลังจากแล้งมานาน ปลาคงไปออกันอยู่แถวๆ นั้นรอให้เราตามไปตกมากินบ้าง
บ่ายวันนั้นผมนั่งเรือหางยาวตามแพที่พรรคพวกลากล่วงหน้าไปเจอกันที่ปากลำขาแข้ง พอขึ้นบนแพก็เห็นปลาชะโดตัวเขื่องที่ถูกลูบไล้ด้วยเกลือกำลังหมุนตัวอยู่บนเตาถ่านไฟรุมๆ ส่งกลิ่นหอมทีเดียว
ใช่มันเป็นเมนูที่จะจัดการกับปลาได้ง่ายและคลาสสิก ปลาย่างเกลือ ที่เหมาะกับปลามีเกล็ดทุกชนิด แค่ควักเอาไส้ออก โดยไม่ต้องขอดเกล็ดและเอาเหงือกของมันออก ล้างให้สะอาด แล้วเอาเกลือป่นลูบไปทั่วๆ ตัว จากนั้นก็ย่างบนตะแกรงหรือเอาไม้หมุนตามถนัด
เมื่อชะโดย่างเกลือกลายเป็นของว่างและกับแกล้มยามบ่ายไปเรียบร้อยแล้ว ผมรับอาสาออกไปหาอะไรมาเพิ่มเติม เราออกตามล่าหาปลาชะโดหรือกระสูบเคราะห์ร้ายที่จะหลงกลมากินเหยื่อของเราจนเย็นย่ำแต่ก็ไม่เป็นผล ก็เลยต้องใช้ไม้ตายแวะกระชังปลาของชาวบ้านซื้อปลาบู่มาตุนไว้ก่อนสองตัว
ภาพที่ 2ก่อนกลับเราแวะตรงเนินทรายปนโคลนโดยคิดว่าจะลองเหวี่ยงเหยื่อตกปลาครั้งสุดท้ายก่อนสิ้นแสง ขณะที่เพื่อนกำลังขะมักเขม้นแข่งกับแสงสุดท้าย ผมมองเห็นบางสิ่งที่น่าสน นั่นคือหอยเสียบที่มีอยู่เต็มเนินทรายไปหมด
ปลาไม่ได้ ได้หอยกลับไปก็ยังดี
หอยเสียบที่ว่านี้ตัวมันขนาดครึ่งนิ้วชี้ของคนตัวโตๆ เป็นหอยสองฝาหน้าตาคล้ายๆ หอยแมลงภู่ แต่พอแกะออกมาแล้วเนื้อเหมือนหอยลายมากกว่า ผมเอามันมาล้างขัดและแช่น้ำให้มันคลายทรายคลายดินจากนั้นก็เอาส่วนหนึ่งไปผัดพริกกับโหระพา อีกส่วนหนึ่งลวกแล้วเอามายำกับมะม่วงและน้ำพริกเผา สองอย่างนี้เมื่อผสมกับกับข้าวที่เหลืออยู่ก็เอาตัวรอดเรื่องกับแกล้มไปได้อีกคืน
รุ่งเช้า เราเก็บชะโดขนาดเกือบสองโลมาเป็นวัตถุดิบได้โดยการเหวี่ยงเหยื่อปลอมหน้าแพ แต่หลังจากนั้นฝนก็ตกลงมาแทบทั้งวันจนเราออกไปไหนไม่ได้ ชะโดกับปลาบู่ที่ซื้อมาเมื่อวานก็เลยกลายเป็นชะโดผัดคื่นช่ายและต้มยำน้ำใส ส่วนปลาบู่ก็กลายเป็นปลาบู่นึ่งซีอิ๊วไปตามระเบียบ
พูดถึงชะโด นักกินกลายคนคงเคยได้ยินเขาว่ากันว่ามันไม่อร่อย ได้แต่เอาไปทำปลาตากแดดหรือห่อหมก ความจริงปลาชะโดเนื้ออร่อยใกล้เคียงกับปลาช่อน แต่จะแข็งกว่าเล็กน้อย ปัญหาของปลาชะโดคือมันตายง่ายกว่าปลาช่อนมาก และหลังจากมันตายไม่นาน เนื้อของมันจะจืดชืดไม่เป็นรส
ดังนั้น เมื่อได้ปลาชะโดมาต้องรีบทำมัน หรือไม่ก็รีบเอาไปแช่น้ำแข็งไว้ รสชาติของมันจะยังดีอยู่ แต่ถ้าปล่อยวางทิ้งไว้ แม้มันจะไม่เน่าเสีย แต่รสชาติของมันจะเปลี่ยนไป
ภาพที่ 3ฝนหยุดตกในตอนเย็น ผมสละสิทธิ์การออกล่าปลา แต่เอาเรือเลาะไปตามเรือนแพ หลายแห่งเป็นมินิมาร์ทลอยน้ำ มีทุกสิ่งให้ซื้อเหมือนร้านของชำใหญ่ๆ และยังมีเนื้อสัตว์ผักสดขายด้วยได้ผักหวานป่าแท้ๆ ที่ชาวบ้านเก็บมาหอบใหญ่ เอากลับมาผัดกินก็เป็นความสุขที่เคี้ยวได้ แต่หากจะถามว่าอร่อยกว่ายอดผักบุ้งผัดกะปิ ที่ดั้นด้นเอาเรือฝ่าฝนไปเก็บมาเมื่อกลางวันหรือไม่ คงจะบอกว่าอะไรอร่อยกว่ากันไม่ได้
หลังอาหารค่ำ ผมตั้งใจจะลาเพื่อนๆ พี่ๆ กลับไปก่อนเพราะมีธุระคั่งค้าง (มีคนตามทวงต้นฉบับ) แต่หลายคนเป็นห่วง สองชั่วโมงของการเดินทางด้วยเรือหางยาวยามค่ำคืนนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่ลมฝนที่ดำทะมึนขวางทางกลับอยู่น่ากลัวอยู่ไม่น้อย ผมเลยตัดสินใจอยู่ต่ออีกคืน
คืนนั้นเราวางเบ็ดตกปลากดไปเกือบสิบคัน ปลากดตัวเล็กหน่อยก็เท่าข้อมือเด็ก ตัวโตนิดก็ใหญ่กว่าข้อมือผู้ใหญ่ ปลากดถูกเราดึงขึ้นมาตัวแล้วตัวเล่า สักพักเมื่อเห็นว่าได้มากเท่าที่ต้องการแล้วผมก็วางมือหันไปคว้าปลากดตัวเขื่องๆ ไปที่ครัว
ปลากดมีเมือกมาก แต่รสชาติอร่อยสุดๆ ผมล้างเมืองมันออกง่ายๆ โดยจับมันแช่ไว้ในน้ำผสมน้ำส้มสายชูสักพัก แล้วขัดเมือกมันออกด้วยสก๊อตไบร์ท จากนั้นก็เอามาผ่าท้องควักไส้ออกล้างน้ำอีกทีก็ได้ปลากดสะอาดสะอ้านหมดเมือกหมดคาวแล้ว บั้งเสียหน่อยแล้วก็เอาลงหม้อ เติมน้ำขลุกขลิก ประเดประดังเครื่องเข้าไปตามใจชอบ โรยเกลือมากสักนิด ปิดฝาเอาขึ้นตั้งไฟ พอสุกดีก็เอาแต่ปลา น้ำทิ้งไป มันเค็ม ไม่อร่อยหรอก เมื่อเอาใส่จานก็ได้เป็นกับข้าวกับแกล้มแล้ว
กินป่าป่าก์ตอนกินบนแพก็ขอจบเมนูบนแพไว้ที่ ปลากดนึ่งบ้านป่า นะครับท่านผู้อ่าน/...