สยามฟิชชิ่ง
หน้าแรก|กระดาน|รีวิว|ประมูล|ตลาด|เปิดท้าย
login | สมัครสมาชิก | วิธีสมัครสมาชิก | ลืมชื่อ/รหัส | login ไม่ได้? | 29 มี.ค. 67
บันทึกจากความทรงจำในอดีต “ อินทรีใหญ่ที่ไม้รูด” ตอนที่ 3 (ตอนจบ)..แน่ๆ : Fishing Article
 ห้องบทความ/เทคนิค > บทความตกปลา
ความเห็น: 14 - [29 ส.ค. 60, 22:15] ดู: 5,469 - [25 มี.ค. 67, 20:23] โหวต: 8
บันทึกจากความทรงจำในอดีต “ อินทรีใหญ่ที่ไม้รูด” ตอนที่ 3 (ตอนจบ)..แน่ๆ
bowl (171 คะแนนโหวตจากผู้ชมกระทู้) offline
8 เม.ย. 59, 08:35
1
บันทึกจากความทรงจำในอดีต “ อินทรีใหญ่ที่ไม้รูด” ตอนที่ 3 (ตอนจบ)..แน่ๆ
ภาพที่ 1
คลิปที่ 1
***บันทึกจากความทรงจำในอดีต “ อินทรีใหญ่ที่ไม้รูด”ตอนที่ 3(ตอนจบ)..ครึ่งหลัง

ผมดึงสาวสายสมอหน้าตาแดงกล่ำเพราะหนักมาก หัวเรือวิ่งแหวกน้ำตามสายสมอจนตรงกับตำแหน่งที่ทิ้ง ดึงขึ้นเรืออย่างยากเย็น ปากก็บ่นงึมงำเพราะเริ่มปวดหลัง หนาวมือที่สัมผัสน้ำทะเล อากาศเย็นยะเยือก วางสมอเจ้ากรรมเสร็จก็ทิ้งตัวลงนั่งหอบหายใจ เหงื่อออกหน้าซิบๆ ใครไม่เคยไม่รู้หรอกว่ามันหนักแค่ไหน สมอหินน้ำหนักเกือบ 5 กิโล อยู่ก้นทะเลลึกประมาณ 10 เมตร กว่าจะปล้ำเอาขึ้นมาได้แทบรากเลือด ได้ยินเสียงเพื่อนทำอะไรกุกกักง่วนอยู่ท้ายเรือ ไม่ติดเครื่องเอาหางเครื่องลงน้ำซะที
“ทำอะไรวะ ยังไม่ไปอีกหรือ”ผมถามเพราะสงสัย
“เดี๋ยวเติมพลังก่อน”เสียงมันตอบเหมือนอมอะไรสีขาวๆอยู่ในปาก
“ทัมใจละซิ”ผมพูดดักเหมือนจะรู้ใจว่ามันกำลังกินอะไรอยู่”จะกินเข้าไปทำไมนักไอ้ยานี่ ไม่รู้หรือว่ามันกัดกระเพาะ”ผมบ่นไม่ชอบใจเลย เป็นห่วงสุขภาพมัน
“ก็มันเจ็บหลัง ยิ่งหนาวๆแบบนี้ยิ่งเจ็บจี๊ดๆ”มันตักน้ำจากถังกินตามเข้าไปอึกใหญ่ ตอบเหมือนแก้ตัว เพราะรู้ผมห้ามไม่ให้กิน ว่าพลางง่วนเช็คน้ำมันเครื่องทำเฉไฉ มันไม่ได้กินแก้ปวดหลังอะไรมากมายหรอก กินเพราะติดมากกว่า เอะอะอะไรก็ทัมใจ เห็นพกทีเป็นหอบๆผมก็ได้แต่บ่นเพราะเป็นห่วง กินนานๆเข้าก็ติด เหมือนคนติดยาพาราฯซึ่งมีผลระยะยาวกับสุขภาพ(ปัจจุบัน ผมแกล้งถามถึงยาทัมใจ มันบอกว่าไม่กินแล้ว ไม่รู้รำคาญเสียงบ่นผม หรือเสียงเมียมันบ่นก็ไม่รู้) เสียงกระชากสายติดเครื่องพรืดครางกระหื่ม ปลายหางแหย่ลงน้ำทะเลแตกขาวเป็นทาง เรือเบนหัวไปทางคลองมะนาว สลับกับเสียงแหกปากร้องเพลงของนักร้องยอดนิยม มนต์สิทธิ์ คำสร้อย เพลง”ขายควายช่วยแม่” ดังแข่งกับเสียงเครื่องหางลั่นไปหมด เพื่อนผมคนนี้จะว่าไปมันมีพรสวรรค์ทางเรื่องร้องเพลง แต่ละเพลงที่มันร้อง เสียงเหมือนก๊อปปี้จากเจ้าของเพลงต้นตำรับ แยกแทบไม่ออกถ้าไม่เห็นคนร้อง ลูกเล่นลูกคอพริ้วน่าฟัง ผมเอนหลังกับพื้นเรือนอนมองมันแล้วยิ้มให้ มันยักคิ้วตอบเขินๆ

      เรือวิ่งเอื่อยๆ แหวกน้ำเป็นทางยาว สลับกับแสงจันทร์นวลขาวโพลนไปทั้งท้องทะเล มองชัดแจ๋วเหมือนตอนกลางวัน เห็นกระทั่งยอดไม้บนเขาบรรทัด ซึ่งขึ้นหนาแน่นมาก พอเขมรแตก เขมรแดงหนีมาสู้อยู่บนเขา ไม้ใหญ่ๆก็ค่อยๆหายไปจนแทบจะหมดเขา ทางฝั่งบ้านเรา ชาวบ้านไม่ค่อยจะกล้าขึ้นไปตัดยาง ทำสวนทุเรียน เพราะกลัวเจอเขมรแดง และที่ร้ายกับระเบิดมีชุกชุมมาก ชาวบ้านที่หาของป่าขายโดนกับระเบิด ตายบ้าง พิการบ้าง จนไม่กล้าขึ้น นอกจากจะมีทหารพรานนำทาง เขมรแดงขึ้นมาสร้างฐาน สร้างค่าย ไว้รบกับเขมรขาว มองเห็นหลังคาบ้านเป็นหย่อมๆ ตามแนวยอดเขา ผมไปตกปลานอนมองเขมรรบกัน ยิงปืน ค.ใส่กัน มองเห็นลูกปืนวิ่งเป็นทางแดงเข้าหากัน เวลายิงปืนพลาดลงมาตกฝั่งเรา ทหารเรือที่ลอยลำเรือรบอยู่ในทะเลแถวเกาะกูด ก็ยิงปืนเรือเตือน ก็หยุดไปพัก เดี๋ยวก็ยิงกันใหม่ แรกๆผมก็หวาดๆว่าลูกปืน ค.จะมาตกข้างล่าง เพื่อนมันบอกว่า เขมรมันไม่กล้ายิงลงมาหรอก นอกจากพลาด มันกลัวอดตาย ลงมาซื้อเสบียงไม่ได้ ทหารพรานจะเล่นงานมัน นอนคิดอะไรเพลินๆ เสียงเพื่อนเรียกได้ยินแว่วๆว่าถีงแล้วพี่ๆ เตรียมสมอ(อีกแล้ว)
“แถวไหนเนี๊ยะ” ผมร้องถามเพื่อน
“หินหน้าไม้รูด ฉันเคยมาได้ไอ้สาก(เหลือง)ตัวยาวกว่าฉัน นน.เกือบ 8 โล ที่นี่” เพื่อนตอบมา (ปลาสากบริเวณทะเลบ้านเราจะมี 3 ชนิด 1.สากเล็ก หรือเรียกกันว่าน้ำดอกไม้ หรือไอ้ป๊อก ตัวไม่เกินกิโล ชุมมาก ไปตกเจอฝูงมันต้องรีบหนีย้ายอย่างเร็ว เพราะมันตะกละ ฉวยมั่วไปหมด กินเหยื่อเปลือง มักไม่ค่อยได้ตัว ขืนอยู่เดี๋ยวเหยื่อหมด แต่ทำกับข้าวอร่อย เนื้อหวาน ไม่เหม็นคาว ต้มเค็ม ทำข้าวต้มสุดยอด 2.สากเหลือง สีออกขาวๆ มีตั้งแต่ขนาด กิโลไปจนถึง 10 โล ตัวยาวมาก บางตัวยาวได้ถึง1.5 เมตร เหม็นเขียว กระดูกใหญ่ เนื้อไม่มาก นิยมทำปลาเค็ม ข้าวต้ม แต่ผมว่าถ้าห่อหมกก็ใช่เลย 3.สากดำ หรือสากหม้อ เป็นปลาสากน้ำลึก พบมากในทะเลลึก ตัวออกแถบดำๆ สั้นๆ ป้อมๆ เนื้อมาก เหม็นคาวจัด ส่วนมากจะทำปลาเค็ม)
ผมลุกขึ้นนั่งยองๆ เคลียร์สายสมอไม่ให้พันกันรอเสียงให้ปล่อย เพื่อนมันเวียนเรือออกซ้ายที ขวาที ตาก็มองฉากต้นไม้บนแหลมไม้รูด บ่นพึมพรำๆว่า”ถ้าเดือนมืด หมดสิทธิ มองไม่เห็นฉากบนแหลมแน่ นี่เดือนแจ๋วยังกะกลางวัน มองเห็นกระทั่งคนหาปูบนชายหาดเลย” พูดไปตาก็มองฉากไป สักครู่ก็ร้องบอกให้ผมปล่อยสายสมอ”ปล่อยสายไปเลยพี่ น้ำค่อนข้างลึก ไม่ต้องมัด” ผมปล่อยสายรอจนถึงก้นหัวเรือขยับชี้ไปทางคลองใหญ่ น้ำบริเวณนี้ลึก เดินเชี่ยวมาก กำลังขึ้นเต็มที่ เสียงปลาสอยเหยื่อดังถี่ยิบไปหมด เพื่อนครางออกมาอย่างพอใจน้ำขึ้น”ต้องแบบนี้ซิ เดี๋ยวได้สนุกแน่พี่เอ๋ย” ว่าพลางคลี่สายเบ็ด หั่นเหยื่อหมึก ส่งหัวมาให้ผม ปากก็บอกว่า”เกี่ยว 2 ทบนะพี่ แถวนี้ปลาใหญ่มีแน่ ระวังเหอะ” ผมรับมาไม่ว่าอะไร เกี่ยวเหยื่อตามที่บอก คลี่สายเหวี่ยงไปทางหัวเรือ กระตุกๆไม่ให้สายหย่อน ก้มลงล้างมือ ขี้หมึกดำปี๋ นอนราบกับพื้นเรือหลบแนวสายขี้หมึกที่เพื่อนกำลังเหวี่ยงอยู่ท้ายเรือ แม้กระนั้นก็ไม่วายโดนแถวๆข้างแก้ม ผมหัวเราะหึๆ เช็ดขี้หมึกกับฮูดที่คลุมหัวล้วงกระเป๋าเสื้อกันหนาว แกะลูกอมรสกาแฟขึ้นมากิน เพราะเริ่มหิวกาแฟตะหงิดๆ หันไปถามเพื่อนเอาไหม มันส่ายหน้า นั่งมวนยาฉุนดูดควันโขมง ปากก็ชวนคุยเรื่องเรือเขมรอพยพ ที่หนีภัยสงครามเข้ามาฝั่งไทย ทางคลองใหญ่

“เมื่อวานไอ้พี่(พี่ชายเพื่อน เป็น อส.อำเภอเมือง)จับเรือเขมรได้ 2 ลำ แถวแหลมกลัด แล้วมันทำไง พี่รู้ไหม” ผมส่ายหน้ารอฟังคำตอบ “มันว่าจะลากเรือไปทิ้งแถวแหลมเทียน(เกาะกูด) แต่มองในเรือ ลูกเด็กเล็กแดง ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด ตากแดดกันตัวแดง ร้องไห้กระจองอแง เห็นแล้วสงสาร วิทยุถามนายที่อำเภอ ให้เอาไปส่งที่ศูนย์เขาล้าน มีผู้หญิงเขมรหน้าตาดีๆ แลว่ามีฐานะ หลายคน “ ผมบอกว่า”ดีแล้วละ เขาหนีร้อนมาพึ่งเย็น สงเคราะห์เขาเถอะ ได้บุญ พี่เอ็งจะมีเมียเขมรก็คราวนี้แหละ” มันหัวเราะ”ขืนมีเมียเขมรอีกคน เจ๊ศรีช้างน้ำเมียไอ้พี่เอาตายแน่” ช่วงเขมรแตก อพยพหนีเข้าไทยมาทางเขาบรรทัดแถวๆชำราก นาเกลือ ตะพานหิน และเขาล้านก็มาก (สมเด็จพระราชินีนาถ รับสั่งให้จัดตั้งศูนย์พักพิงที่เขาล้าน จะเสด็จมาเปิดอีกไม่นาน) เดินเท้าเข้ามาก็มี ที่มีอันจะกิน หรือเชื้อพระวงศ์นั่งช้างเข้ามาก็มี ได้ยินชาวบ้านเขาเล่าให้ฟังกัน ผมไม่ได้ไปดูหรอก ทหารเต็มพรืดไปหมด ตรวจเช็คเข้มข้น เราคุยกันสับเพเหระอยู่นาน แปลกใจไม่มีปลาตอดเหยื่อเลย หันไปมองหน้าเพื่อน “เอ มันยังไงวะ น้ำก็เดินดี เหยื่อหมึกยังยิบๆ เหลือบๆสีอยู่เลย ปลาไม่ตอดเลย”
“พี่ไม่สังเกตหรือ เสียงปลาฮุบเหยื่อหายไปแล้ว มันเงียบชอบกล ฉันเดาว่าน่าจะมีฝูงปลากินเหยื่อ ไม่ไอ้สาก ก็ฝูงอินทรี ฝูงใหญ่อยู่แถวๆหิน ปลาเหยื่อมันถึงได้หนีหมด น้ำขึ้นเต็มที่แล้ว แสดงว่ามันไม่กินเหยื่อแล้ว เดี๋ยวรอมันซักพัก ไม่ฉวยก็ย้าย” ว่าแล้วมันก็นอนคลุมโปงบ่นพึมว่าหนาว ผมนอนขดตัว หลับๆ ตื่นๆ อยู่พักใหญ่ ได้ยินเสียงไก่ขันแว่วๆมาทางฝั่ง พลิกข้อมือดูเวลา ตีสี่กว่าแล้วหรือ ไม่รู้เผลอหลับไปตอนไหน ลุกขึ้นนั่งสาวเบ็ดมาเช็คเหยื่อ ยังไงยังงั้น ยังอยู่ครบถ้วน หนวดหมึกไม่หายซักเส้น เปลี่ยนเหยื่อเหวี่ยงสายไปที่เดิม เสียงเพื่อนพลิกตัว ลุกขึ้นนั่ง “กี่โมงแล้วพี่ ได้ยินเสียงไก่ขันบนหาด” ผมบอกเวลา มันก็เลยบอกว่า “สงสัยจะเหลว ตกไม่ฉวย งั้นเดี๋ยวเอาสายลากมันตอนสางๆเลย มันน่ามีตัว แต่ไม่กิน” ว่าพลางหันไปรื้อถุงกระสอบปุ๋ยเก็บอุปกรณ์ นั่งทำสายลากเพิ่มอีกชุด หันมาบอกผมว่า”เดี๋ยวพี่เอาสายลากชุดนี้ต่อกับรอกญี่ปุ่นพี่ รับรองฉวยแน่” ผมเลยพูดขึ้นว่า”ตกมันยังไม่กิน ลากมันจะกินหรือ”มันตอบว่า”ลองดู ถ้าไม่ฉวยก็หมดท่าแล้ว แน่วกลับบ้านเลย” ผมปลดสายเบ็ดตกออก ผูกสายชิ่งที่ทำไว้แล้ว เป็นลีดเดอร์ขนาด 80 ปอนด์ ยาวประมาณ 2 เมตรผูกลูกหมุนเบอร์ใหญ่หัวท้าย ที่ทำสายชิ่งยาวเผื่อกันเหนียว ปลาสากใหญ่ๆ แม้แต่ตัวเล็กๆค่อนข้างดุ มักสวนสายเวลารู้ว่าติดเบ็ด ว่ายสวนกลับมากัดสายเอ็นขาดกลางสายเห็นคาตามาแล้ว ตัวใหญ่ขนาดเกิน 5 โล อันตรายมากตอนยกขึ้นเรือ ฟันคมกริบในปากเรียกเลือดนักตกปลากันมาหลายคนแล้ว มักจะใช้ตะงอเกี่ยวกัน แต่ต้องเกี่ยวให้เป็น เกี่ยวผิดจังหวะทำปลาหลุด เคืองกันมาหลายรายแล้ว แต่เพื่อนผมมันมีความสามารถพิเศษ ดึงสายเบ็ดเวียนปลาวนไปวนมา พอได้จังหวะมันยกให้ปลาเงยหัว เอามืออีกข้างช้อนใต้เหงือก ยกขึ้นเรือ ปลาไม่มีดิ้นเลย ก่อนปล่อยมือเอาไปคุยกับไม้หน้าสามตัดกำลังซะก่อน พอเงียบแล้วปล่อยลงท้องเรือ มันเคยบอกไว้ว่า “เดี๋ยวพี่คอยฟัง ถ้ามีเสียงมันตดป๊าดออกมาดังยาว แสดงว่าเรียบร้อย ตายสนิท” ก็จริงตามที่มันพูด เออไอ้นี่เก่งแฮะ เพื่อนสะกิดส่งสายลากให้ ลวดเป็นเบอร์ 11 ผูกกับเบ็ดเบอร์ 8/0 สั้นยาวลดหลั่นกัน ผมรวบปลายลวดเข้าหากัน ผูกกับลูกหมุนปลายสายชิ่ง ควั่นทบกัน 3-4 รอบ กันหลุด เงยหน้าขึ้นมองฟ้าเริ่มออกสีขาวๆ มัวๆ มีแสงทองเรื่อๆ ขึ้นที่เหนือยอดเขาบรรทัดทางทิศตะวันออก หมุนข้อมือดูเวลา ตี 5 กว่าแล้ว ทะเลสวยมาก ลมทะเลพัดเอื่อยๆ คลื่นกระฉอกน้อยๆ อากาศเริ่มอุ่นขึ้นน่านอนอย่างยิ่ง เพื่อนร้องขอสายที่ผูกแล้ว บอกจะเกี่ยวหมึกลากให้ ผมนั่งมองเพื่อนเอาสายเส้นแรกยาวกว่าเขาเกี่ยวทางหัวเอาตาเบ็ดคว่ำลง เส้นที่สองเกี่ยวกลางตัวเอาเบ็ดคว่ำตาเช่นกัน เส้นสุดท้ายสั้นกว่าเขาเกี่ยวตูดคว่ำตาเบ็ด ลองปล่อยลงน้ำลองลากดู “เออเหมือนหมึกว่ายน้ำเลย” ผมร้องอย่างประหลาดใจ อย่างนี้ได้การ

  เราเตรียมถอนสมอ เก็บเครื่องนอน จัดที่เตรียมรบกับไอ้สากเต็มที่ ซักพักมันเดินมาหัวเรือถอนสมอเอง เสียงอึดอัดตอนดึงสาย ผมหัวเราะฮึๆ แกล้งร้องถามว่าเป็นไง ไม่หนักใช่ไหม มันไม่ตอบ วางสมอลงหัวเรือหันมายิ้มเขินๆ ร้องบอก”ไปพี่ เดี๋ยวไปตั้งต้นที่หัวหิน ลากวนดูซัก 2-3 รอบ ไม่ฉวยก็ลากกลับบ้าน ยังผ่านหินเขาล้านอีกหลายกอง ต้องมีฉวยซักกอง” พอเพื่อนติดเครื่อง เวียนเรือไปทางหัวหิน ผมคลี่สายปล่อยเหยื่อลากออกจากคันทรอลลิ่งยี่ห้อ มารูโกะ 2 ท่อน ต่อตูด ขนาด 50 ปอนด์ ไกด์โรลเลอร์ซะด้วย คันนี้ฉมวยประสิทธิภาพไว้ใจได้ พิชิตไอ้สาก อินทรี กุเลา มานักต่อนักแล้ว เสียงรอกทรอลลิ่ง ไดว่า ซีไลน์ ขนาด 4โอ ครางหวีดหวิวตอนปล่อยสายไทร์รีนสีเขียวขี้ม้า ขนาด 40 ปอนด์ ไหลพรืดลงน้ำ เพื่อนมองเหยื่อหมึกลาก ว่ายน้ำอย่างดี มันพยักหน้าร้องบอกว่าปล่อยออกไปซัก 50 เมตรก็พอ พลางชี้มือลงไปในน้ำเหมือนบอกให้ดูหินใต้น้ำ ให้ระวังปลาชาร์ตเหยื่อ ผมสับล๊อคฟรีสปูน เมื่อคะเนว่าปล่อยออกไปประมาณ 50 เมตร เหยื่อหมึกตัวค่อนข้างใหญ่เกือบกิโล ถ่วงน้ำดึงคันมารูโกะให้โค้งงอเป็นคันศร ตะวันเริ่มขึ้น ออกแสงสีทองจ้าแล้ว ทัศนียภาพใต้น้ำมองได้ชัดเจน เห็นหินใต้น้ำค่อยๆเคลื่อนผ่านไป รอบแรกไม่มีอะไรเกิดขึ้น เพื่อนเวียนเรือกลับมารอบที่สองชี้มือให้ดูตำแหน่งหิน พอเหยื่อผ่านที่มันชี้ คันในมือมีอาการโค้งวูบ เหมือนลากสายไปติดหิน แต่ไม่น่าใช่ เพราะเหยื่อลากลอยอยู่เกือบพ้นน้ำ ตัวอะไรกัดแน่ๆ ผมก้าวขาถอยหลัง ตวัดคันสวนสายทันที 2-3 ครั้ง เท่านั้น คลิ๊กเสียงรอกไดว่าซีไลน์ ก็ร้องแหวเสียงแหลมออกมาดังยาวลั่น เพื่อนหันมามองจะผ่อนเบาเครื่อง ผมร้องว่า”อย่าเพิ่ง เดี๋ยวสายหย่อน ปลาหลุด” พลางปลดคลิ๊กเสียง ตั้งหน้าเก็บสายไม่ให้สายหย่อน มีความรู้สึกว่าแต่ละคืบมันช่างยากเย็น ผมเตรียมตัวมาดี โคนคันที่เสียบกับเข็มขัดสู้ปลากดลงตรงตำแหน่งท้องน้อย ถ้าไม่ใส่เข็มขัด คงปวดเอาเรื่องเหมือนกัน พอตั้งหลักได้ยกมือให้เพื่อนเบาเครื่องกลัวสายขาด ค่อยๆปั๊มสายเข้าทีละนิด บางจังหวะก็ต้องผ่อนเบรดเมื่อเห็นว่าสายเริ่มตึงมาก สายก็พรวดปรื๊ดออกไป พอเห็นว่าผมเอาอยู่ได้ตัวแน่ มันก็เบาเครื่อง ยกหางขึ้นกันปลาวิ่งมาพัน อดได้ตัวกันพอดี หันไปคว้าขอเกี่ยว แต่มันไม่รู้หรอกว่าผมมีความรู้สึกว่า ไอ้ตัวปลายสายที่ดึงโฉบซ้ายที ขวาที ต้องคอยเวียนคันเบ็ดตาม มันไม่ยอมผมง่ายๆหรอก แรงดึงหนัก ๆมาก สักครู่เสียงปลาโดดขึ้นเหนือน้ำทางหัวเรือ ห่างออกไปซัก 30 เมตร ตัวออกสีเทาๆ มีบั้งสลับ ลายพร้อยเต็มตัว ส่ายหน้าง๊อกแงกกลางอากาศ ตัวไม่เล็กเลย เมื่อมองในระยะไกลๆ ลงน้ำดังตูมสนั่น น้ำทะเลแตกกระจายเป็นวงใหญ่
“ไอ้บั้งพี่ นึกว่าไอ้สากใหญ่ บ้านเราไม่ค่อยมี มันมายังไงวะ” เพื่อนร้องเสียงลั่นด้วยความประหลาดใจ ผมฉวยโอกาสที่ปลาโลดสะบัดเบ็ด หมุนรอกเก็บสายเข้ามาอย่างเร็ว เพราะสายหย่อน สักครู่มันก็กดสายเบ็ดนิ่งแข็ง ว่ายเวียนไม่ไปไหนอยู่ตำแหน่งใต้ท้องเรือ ผมปั๊มสายเข้ามาอย่างลำบากยากเย็น บ่นออกมาดังๆ”เอาเรื่องนะ ไอ้ตัวนี้ เริ่มปวดหลังแล้วโว้ย” เพื่อนพูดปลอบให้กำลังใจ”แข็งไว้พี่ จะขึ้นแล้ว เห็นวับๆอยู่เหนือหิน” มันร้องแข็งไว้ๆ สักครู่ถ้ามันไม่ยอมขึ้น ผมคงทนไม่ไหวเพราะปวดหลัง มี 2 รุม 1 แน่ มันก็ลอยเผละขึ้นมาทางหัวเรือ น้ำทะเลแตกเป็นวงกว้าง ดูใกล้ๆแล้วตัวมันใหญ่ไม่ใช่น้อย ยาวเกือบ 2 เมตร น้ำหนักไม่น่าจะหนี 10 โลขึ้น ใหญ่มากๆ อ้าปากมองเห็นฟันขาววับแหลมคมอยู่เต็มปาก ตำหนิที่บอกว่ามันเป็นปลาอินทรีน้ำลึก ก็ลายบั้งขวางสีขาวปนเงินเต็มตัว สีออกขาวหม่นๆ ถ้าแดดออกคงออกสีฟ้าสดใสสวยมาก มันไม่ดิ้นแล้ว คงสู้จนหมดแรง ปล่อยไปก็คงไม่รอด เพื่อนผมทิ้งขอเกี่ยว เอื้อมมือไปคว้าหางยาวใหญ่แข็งแรง บอกให้รู้ว่ามันเป็นนักว่ายน้ำหาตัวจับยาก เกร็งข้อ ร้องฮึบยกขึ้นเรือ วางกองเผละลงบนพื้นเรือ
“ใหญ่มากพี่ ไม่น่าจะหนี 12 โล ฉันตกปลามาได้แค่ 2 ตัว แต่เล็กกว่านี้มากพี่นี่ดวงเพชรฆาตจริงๆ” ผมไม่ตอบ เสียบคันเบ็ดกับแคมเรือ นั่งหอบเป็นหมาหอบแดดอยู่ข้างๆปลา หมดแรงจริงๆ “เพิ่งได้ตัวแรก ทะเลบ้านเราไม่มีนี่ มายังไงวะ” “มันชอบว่ายปนมากับฝูงอินทรี ฝูงใหญ่ๆ คอยฉวยแย่งเหยื่อก่อนใครเขา ตัวใหญ่ขนาดนี้ มันไม่กลัวใคร ไอ้สากเห็นมันยังหนี ฉันบอกพี่แล้ว ว่าทำไมปลาไม่ฉวย เพราะไอ้นี่เอง”เพื่อนพูดให้ความกระจ่าง ผมพยักหน้าหงึกๆพูดปนหอบว่า”แสดงว่าฝูงมันยังอยู่แถวนี้ ไปลากมันอีกซักตัว 2 ตัว ก่อนกลับบ้าน” เพื่อนหันไปปลดเบ็ดในปากปลา มันไม่กระดิกแล้ว ตายสนิท เหยื่อหมึกตัวเกือบโลหายไปเหลือแต่เบ็ด เราเวียนเรือมาหาหินอีกรอบ เหลือหมึกทำลากปลาอีก 3 ตัว ผ่านรอบไหนก็โดน ได้ตัวทุกรอบ แต่เป็นอินทรีน้ำตื้นแถวบ้าน น้ำหนักไม่เลวเลย 3-5 โล ได้ทุกรอบ ตัวขนาดนี้กับชุดรอกผม เหมือนเอาผู้ใหญ่ไปรังแกเด็ก อัดเข้ามาแทบไม่ต้องผ่อนเบรคเลย ลอยเท้งเต้ง อ้าปากเข้าหาเรือง่ายๆ จนเหยื่อหมึกหมดเหลือแต่เศษริ้วๆ พอเอาไปทำกับข้าวได้ ตะวันขึ้นเริ่มร้อนแล้ว ปลาล่าเหยื่อจมไม่คอยสอยเหยื่อแล้ว เราก็เบนหัวเรือกลับบ้าน ต้องวิ่งเรืออีกเกือบชั่วโมงกว่าจะถึงบ้าน

“ปลาวาฮู หรือ ปลาอินทรีน้ำลึก (อังกฤษ: Wahoo) เป็นปลาทะเลชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Acanthocybium solandri อยู่ในวงศ์ปลาอินทรี (Scombridae)
    มีรูปร่างคล้ายกับปลาในสกุลปลาอินทรี (Scomberomorus spp.) อย่างมาก โดยมีความแตกต่างกันคือ ครีบหลังของปลาวาฮูในตอนแรกจะมีความสูงกว่า และมีที่ว่างของครีบหลังตอนแรกและตอนหลังมากกว่าปลาในสกุลปลาอินทรี ครีบหางมีลักษณะเว้าที่ตื้นกว่า มีส่วนของจะงอยปากแลดูแหลมคมกว่า และรูปร่างที่เพรียวบางกว่า
จัดเป็นปลาเพียงชนิดเดียวเท่านั้นที่อยู่ในสกุล Acanthocybium[2]
มีความยาวเต็มที่ได้ถึง 2.5 เมตร และมีน้ำหนักถึง 83 กิโลกรัม เป็นปลาที่อาศัยอยู่เป็นฝูงในเขตน้ำลึกได้ถึง 80 เมตร ในทะเลเปิดเขตอบอุ่นและกึ่งอบอุ่นทั่วโลก โดยในฮาวายจะเรียกว่า "Ono" ขณะที่แถบทะเลแคริบเบียนและอเมริกากลางจะเรียกว่า "Peto" ว่ายน้ำได้รวดเร็วมาก[1]
เป็นปลาที่นิยมตกเป็นเกมกีฬา ในน่านน้ำไทยพบได้ทั้งฝั่งอ่าวไทยและทะเลอันดามัน
***ข้อมูล วิกิพีเดีย***

เรากลับถึงฝั่งเกือบ 8 โมง ชาวบ้านแตกตื่นมามุงดูปลากันใหญ่ เพราะไม่ค่อยได้เห็นกัน ไอ้ป๊อดน้องเมียเพื่อนแบกจากเรือหลังแอ่นขึ้นบ้าน ชั่งจริงๆจากตากิโลชั่งทุเรียนบ้านผู้ใหญ่ได้น้ำหนักสุทธิ 14.8 กก. มากกว่าที่เราคาดคะเนกัน มิน่าเล่าเล่นงานเอาตรูเกือบแย่ ไดว่าซีไลน์ เบอร์ 4/0 ยังร้อนจี๊ เหมือนไปอังไฟมา สมัยนั้นไม่มีโทรศัพท์ถ่ายรูปได้เหมือนสมัยนี้ ไม่จะมีรูปไว้เป็นหลักฐาน ผมล้างหน้า ล้างตา กินข้าวที่เมียมันเตรียมไว้ให้แต่เช้ามืด เก็บของกลับบ้าน บอกเพื่อนให้เอาปลาขึ้นรถจะไปขายให้ เดี๋ยวปลาเอี้ยนหมด ให้ไอ้ป๊อดนั่งไปด้วย รอเงินขายปลา ขากลับให้มันนั่งรถโดยสารมา เฉพาะปลาอิทรีตัวนั้น ผมเอาไปขายข้าวต้มปลาได้เงินเกือบพันบาทในสมัยนั้น เฮียเจ้าของร้านยังจุ๊ปากบอกไม่เคยเห็นตัวขนาดนี้ มาเล่าให้คุณแม่ผมฟัง แกยังทำหน้าแปลกใจเลย แต่บอกว่าเฉยๆ ไม่อยากให้ไป

***ควายคงรู้ว่าถึงคราต้องจากเหมือนอยากอ้อนวอน ทิ้งร่างลงนอนสะท้อนใจข้า
      อย่าแค้น..ขอแทนคุณมารดา ท่านเป็นผู้ที่เลี้ยงมา เพื่อนจ๋าจงให้อภัย.....****

เสียงเพลงท่อนสุดท้าย เนื้อความกินใจดังก้องอยู่ในหัวผม บาดลึกเข้าไปในใจเจ็บแปลบๆระหว่างขับรถกลับบ้าน บอกเล่าถึงความผูกพัน การเสียสละชีวิตของควายกับเจ้าของ ตอกย้ำว่าชีวิตคนจนมันไม่มีทางเลือกมากนัก ต้องเสียใจพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก..จนแทบล้มประดาตาย


จบตอนอินทรีใหญ่ที่ไม้รูด...ตามสัญญาครับ อ่านแล้วน้ำเยอะกว่าเนื้อ ก็ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย มันเป็นประสบการณ์ประทับใจที่ลืมไม่ลง นึกขึ้นมาก็เหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวานนี้ คราวหน้าถ้ามีเวลา มาเล่าตอนอื่นๆ ในชีวิตการตกปลาของผมให้ทราบในโอกาสต่อไป.ครับ ขอบคุณครับ

แก้ไข 8 เม.ย. 59, 22:11
กรุณา ลงทะเบียน และ login ก่อนส่งความเห็นครับ
siamfishing.com © 2024