ภาพที่ 1
"จดหมายเหตุจากหมู่บ้าน บทรำพึงถึงคนเมือง"
....ลุงครับ ผมขอโทษ....
หวัดดีครับท่านมิตรรักนักอ่านทุกท่าน ห่างหายไปหลายเพลา มาวันนี้มีเรื่องมาเล่าเพื่อนพ้องน้องพี่และน้าๆชาวสยามฟิชชิ่งอีกเช่นเคย เรื่องนี้เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน ที่ผ่านมานี่เองครับ
..ผมได้รับคำไหว้วานจากคนข้างบ้านให้ช่วยนำคนป่วยไปส่งโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด ผมขับรถออกจากบ้านประมาณเจ็ดโมงเช้า ไปถึงโรงพยาบาลก็ประมาณเจ็ดโมงครึ่ง หลังจากที่ช่วยติดต่อยื่นเรื่องทำบัตรให้กับญาติแล้ว ผมก็ปลีกตัวออกมานั่งที่เก้าอี้บริเวณใกล้ๆห้องเวชระเบียน ในระหว่างนั้นก็ชมข่าวจากทีวีที่ทางโรงพยาบาลเปิดให้ชมด้วย แถมด้านนอกนั้นก็มีการเปิดวิทยุและส่งเสียงออกตามสายดังทั่วบริเวณโรงพยาบาล ก็เป็นช่วงข่าวยามเช้าน่ะครับ ขณะที่ผมกำลังดูทีวีอยู่นั้นก็มีคุณลุงท่านหนึ่งอายุราวเจ็ดสิบ(ดูท่าทางของแกแล้วน่าจะถึง) แกเดินเข้ามาแล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้ติดกับผมพอดี จากนั้นแกก็ล้วงเอาสิ่งของออกมาจากถุงหิ้วใบโต มันเป็นถุงแกงครับ แกงฟักทองซะด้วย แล้วแกก็เอาชามใบไม่โตนักออกมาแล้วบรรจงเทข้าวจากถุงพลาสติกใส่ชาม ผมแอบชำเลืองมองดูแกตั้งแต่แรกที่แกเดินเข้ามาครับ จึงรู้ว่ารองเท้าที่แกสวมมานั้นมันคนละสีและบางมากแล้ว เสื้อที่แกสวมก็เป็นเสื้อยืด ซึ่งคงจะได้รับอภินันทนาการจากนักการเมือง เพราะมีชื่อ ส.ส ปักเด่นอยู่กลางอก พ่วงท้ายด้วยต้นตอสังกัดพรรคของ ส.ส ท่านนั้น แต่โดยรวมแล้วเครื่องซักผ้ายี่ห้อแพงๆก็คงยอมแพ้กับสภาพเสื้อของแกล่ะครับ
..แกเอาชามข้าววางบนหน้าขาทั้งสองข้างแล้วค่อยๆแกะหนังยางรัดปากถุงแกงออกจากนั้นก็แบ่งเทแกงลงใส่ชามข้าว ผมสังเกตเห็นว่ายังมีข้าวเหลืออยู่ในถุงอีกหน่อย ก็เลยอนุมานเอาว่าแกคงจะเหลือแกงไว้ทานอีกมื้อนึงในช่วงเที่ยง แกลงมือทานข้าวโดยไม่สนใจจะเงยหน้ามองใครๆ หรือแม้แต่ผมที่กำลังท้องไส้ปั่นป่วนด้วยกลิ่นแกงฟักทองและกลิ่นใบโหระพาที่แม่ครัวตั้งใจใส่ลงไปเพื่อเพิ่มความหอมหวนชวนทาน ผมสังเกตว่าแกเร่งรีบทานข้าวนัยว่ากลัวเจ้าหน้าที่ห้องเวชระเบียนจะเรียกซะก่อน จึงรีบทานให้เสร็จๆไป ระหว่างนั้นเองเสียงข่าวจากวิทยุข้างนอกก็เริ่มเบาลง กลับกลายเป็นเสียงติ๊กต่อก ติ๊กต่อก แทน
เวลาแปดนาฬิกา ........ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย..............
ทันทีที่เสียงเพลงชาติดังขึ้น ผมและทุกคนที่กำลังนั่งรอหมอก็ลุกพรึ๊บยืนตรงทันที...รวมทั้งลุงคนนั้นด้วย
เป็นประชารัฐ ไผทของไทยทุกส่วน อยู่ดำรง..ฯลฯ............เถลิงประเทศชาติไทยทวีมีชัย...ไชโย..
..นั่นเป็นเสียงร้องอันแหบแห้งแต่แฝงด้วยพลังรักชาติดย่างแรงกล้าของลุงท่านนั้น เกือบทุกคนหันมามองที่แกเป็นจุดเดียวในขณะที่เพลงชาติกำลังบรรเลง ผม...ในฐานะที่ยืนใกล้แกมากที่สุดก็ต้องตกเป็นเป้าสายตาไม่แพ้ลุงเช่นกัน แต่อาจจะเป็นคนละประเด็น ลุงเป็นเป้าสายตาเพราะแกร้องเพลงชาติด้วยเสียงอันดังแม้เสียงจะแหบแห้งก็ตาม แกก็ยังยืนตรงและเอาหัวใจใส่เข้าไปในทุกตัวโน๊ตและความหมายของเนื้อร้อง แต่ว่าผมกลับต้องขยับเท้าออกห่างจากแกเล็กน้อย ไม่ใช่ผมอายที่ต้องตกเป็นเป้าสายตาของใครๆ หากแต่เป็นเพราะฤทธิ์ความร้อนจากชามข้าวและแกงของแก ที่มันคว่ำหลุดเผล๊ะออกจากมือของแกเพราะรีบยืนตรงเคารพธงชาติ แกลุกขึ้นก่อนผมเล็กน้อยครับ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่หน้าขาและเป้ากางเกงของผมต้องได้ลิ้มรสแกงฟักทองของแก แกไม่สนใจมอง แกไม่รีบคว้าชามข้าวเอาไว้ แกไม่กลัวว่าผมจะโกรธ แกยืนตรงและร้องเพลงชาติอย่างเต็มภาคภูมิของแก พอเพลงจบลงแกก็รีบเก็บชามและขอโทษผมเป็นการใหญ่ จากนั้นผมก็เดินไปห้องน้ำเพื่อล้างคราบน้ำแกงและเมล็ดข้าวที่เปรอะเลอะทั้งตัว แต่ว่ามันไม่สามารถล้างออกได้หมดครับ มันยังเหลือกลิ่นอันหอมหวนกลับมาบ้านอีก
..พี่ๆน้าๆและผองเพื่อน ผมไมโกรธลุงคนนั้นเลยแม้เพียงนิด เพียงแต่ผมอายครับ อายหัวใจตัวเอง ผมนึกตำหนิตัวเองตลอดเส้นทางที่ขับรถกลับบ้าน ในปากผมมันมีอะไรอยู่ครับ มันมีทองคำอยู่กี่กิโล มันมีเชือกมัดปากผมไว้อย่างนั้นหรือ กะแค่ร้องเพลงชาติมันยากเย็นเข็ญใจอะไรนักหนา ผมอยากย้อนเวลากลับไปตอนนั้นจัง
..ลุงครับ...เอาไว้วันหลังหากมีโอกาสเจอกันอีก...ผมจะตะโกนร้องเพลงชาติให้ดังๆข้างๆลุงนะครับ...ผมสัญญา
ป.ล......วันหลังลุงเอาผัดกะเพราหมูมานะครับ..แฮะ แฮะ..ผมชอบ
.....ไกลบ้าน....
แก้ไข 8 ธ.ค. 60, 21:30