ภาพที่ 1บทที่ 12
ตอนที่ 4
เพื่อความสะดวกและเบาแรง พรานกะเหรี่ยงที่ต่อแพแต่ละลำ ต่างลงไปยืนแช่บริเวณริมน้ำที่ลึกไม่เกินขาอ่อน จากนั้นก็ลากลำไผ่ที่ตัดมาได้ตามขนาด มาจัดเรียงเตรียมต่อแพ ได้ลำไผ่ที่เตรียมต่อแพแล้ว ก็ต้องมาบากปล้อง ให้ทะลุทั้งสองด้าน ทั้งด้าน หัว กลาง ท้าย ทำแบบนี้ทุกลำแต่ละลำให้รอยบากตรงกัน จากนั้นก็สอดไม้ขนาดเท่าแขนเข้าไปตามรูที่บากไว้ เพื่อร้อยลำไม้ไผ่ให้เป็นแพ แล้วมัดลำไผ่และไม้ที่สอดด้วยเถาวัลย์จนแน่นหนาและแข็งแรง ทำแบบนี้ด้วยกันทั้งสามตำแหน่ง หัวแพ ท้ายแพ และบริเวณกลางลำแพ เพราะด้วยลำไผ่ที่มีขนาดใหญ่ แพแต่ละลำที่ต่อ จึงใช้ลำไผ่ไม่เกินสิบลำ แต่ก็ได้แพกว้างเกือบวา และยาวร่วมหกวาเศษ
นอกจากตัวแพที่ต่อแล้ว บริเวณกึ่งกลาง ยังปรากฏแคร่ไม้ไผ่ขนาดย่อม ที่พรานกะเหรี่ยงต่อสูงขึ้นมาจากพื้นรวมศอก มันเป็นอุปกรณ์ที่ใช้วางสัมภาระต่างๆไม่ให้เปียกน้ำ บ่งบอกถึงภูมิปัญญาที่จะสามารถคิดค้นได้ในเวลานั้น เมื่อทุกคนทดลองขึ้นไปยืนเพื่อถ่วงน้ำหนัก ก็พบว่าแพที่ต่อใช้งานได้ดีและสมบรูณ์แบบที่สุดเท่าที่พวกเขาจะสามารถทำได้
ถึงแม้จะสร้างแคร่ไม้สำหรับวางสิ่งของกันเปียกน้ำ พรานนำทางก็ไม่ประมาท ก่อนจะนำสัมภาระต่างๆขึ้นจัดเรียงบนแพ พรานเบยังสั่งให้นำผ้าใบมาปูรองและหุ้มหอสิ่งของต่างๆอีกชั้น นอกจากปืนประจำกายของแต่ละคนที่สะพายบ่าแล้ว สิ่งของทุกชิ้น เสบียงต่างๆ ทั้งหมดถูกห่ออยู่ภายใต้ผ้าใบผืนใหญ่ ก่อนที่จะถูกตรึงมัดด้วยเชือกอย่างแน่นหนาที่สุด กว่าทุกอย่างจะลงตัวและพร้อมเพียง ดวงอาทิตย์ก็ขึ้นกลางหัวพอดี
“เดี๋ยวขาจะนำไปก่อน”
“เว้นระยะห่างกันสักหน่อย เดี๋ยวจะชนกันเอง”พรานเบร้องบอกคณะจากหัวแพ จากนั้นก็ค่อยๆถ่อดันแพไปตามกระแสน้ำด้วยลำไผ่เล่มยาว โดยมีพรานพรคอยคัดท้าย ส่วนเจ้าพุ่มนั่งกอดเจ้าพะเปรียวอยู่แน่นที่กลางแพ
“ไอ้แปะ เอ็งอยู่ท้ายก็แล้วกัน”
“ให้ไอ้สองคนนี่อยู่กลาง”พรานโส่ยร้องบอก
“ยังไงก็ได้ลุง”
“เอ็งสองคนนั่งเกาะกันให้ดีๆ พลาดตกน้ำกันล่ะแย่เลย”พรานแปะร้องบอก เคิ้ง และ เหน๋อ ที่นั่งเกาะแคร่กันคนละด้าน
“ถ่อดีๆละกัน”
“ค่อยๆไป น้ำตรงนั้นมันเชียวน่าดู”พรานแปะร้องบอก
“เอานา เอ็งไว้ใจข้า”
“แต่ก่อนข้าเคยถ่อแพมาก่อน”พรานชราร้องบอกพรานแปะ
“เคยตอนไหนพ่อ”
“ไม่เห็นเล่าให้ฟังบางเลย”เจ้าเคิ้งผู้เป็นลูกร้องขัด
“ตอนหนุ่มๆโว้ย”
“ข้าเคยถ่อซุงไปขาย แพกับซุงมันคงไม่ต่างกันหรอก”พรานชราตวาด
“จะแพ จะซุง ก็ช่างเถอะ”
“อย่ามัวแต่โม้ โน่น ลำโน่นเขาไปยันไหนแล้ว”เหน๋อร้องลั่น ก่อนจะกวักน้ำใส่พรานชราที่กำลังยืนฝอยไม่หยุด
ท่ามกลางกระแสน้ำใส และไหลเชี่ยว แพแต่ละลำลอยลิ่วไปด้วยความเร็ว บางจังหวะก็สั่นคลอน เพราะระรอกคลื่น ที่ตกกระทบ บางตอนก็โอนเอียง เพราะคลื่นที่กระทบแก่งหินใต้น้ำ ดันตัวแพให้สูงกระเพื่อมขึ้น กระดกหน้า กระดกหลัง ราวกับนั่งรถไปในทางวิบาก ทำให้หวาดเสียวไปตามๆกัน แต่นั้นก็ไม่เท่ากับความน่าสะพรึงกลัวที่อยู่เบื้องหน้า ซึ่งตอนนี้ปรากฏหลุมน้ำวนขนาดใหญ่ ดูน่ากลัว ราวกับว่าเป็นปากหลุมไปสู้นรก ที่แม้แต่สิ่งใดก็ตามที่หลุดหายเข้าไปด้วยแรงดูด จะไม่มีโอกาสได้กลับขึ้นมาเห็นเดือนเห็นตะวันอีกครั้ง ไม่เว้นแม้แต่ ใบไม้แห้งใบเล็กๆ
ใกล้ไปทุกขณะ อาการโอนเอียงของแพก็ทวีความรุนแรงมากขึ้น จนพรานกะเหรี่ยงที่นำไปชุดแรก ต้องชักไม้ถ่อขึ้นมาไว้ด้านบน เพราะไม่สามารถต้านกระแสน้ำวนที่ดึงดูดไว้ได้ ก่อนทั้งหมด จะก้มตัวลงหมอบยึดแพแน่น เพราะแรงเหวียงหมุนของกระแสน้ำวน ทำให้ทรงตัวต่อไปไม่ได้ เสียงร้องเอะอะดังขึ้น พร้อมๆกับเสียงรำไผ่ที่บีบกระทบกันดังลั่น สำหรับคณะที่ติดตามอยู่ท้ายสุด ต่างเห็นภาพเหตุการณ์ชนิดวินาทีต่อวินาที
“เฮ้ย!”
“แพไอ้เบมันจะแตกหรือเปล่านั่น”พรานชราร้องเสียงหลง
“ถ่อยันไว้ก่อน”
“ไอ้แปะ ยันแพไว้ก่อน”พรานชราร้องสั่ง
“ไม่ไหวลุง น้ำมันเชียวเกิน”
“ข้าเอาไม่อยู่แล้ว”พรานแปะร้องเสียงเอ็ดมาจากท้ายแพ
“มันวนออกไปแล้ว ดูนั่นลุง”
“แพน้าเบวนออกไปแล้ว แบบเดียวกับกระทงที่ลุงทำเลย”เหน๋อร้องเสียงสั่น ขณะตายังเบิกโพลงไม่กระพริบ
“ชักไม้ถ่อขึ้นลุง”
“เอาขึ้นมา ดูลำโน่นเป็นตัวอย่าง”พรานแปะร้องสั่งเสียงหลง ก่อนจะรีบสาวไม้ถ่อโยนไว้บนแพ แล้วพุ่งตัวลงมาหมอบเกาะลูกบวบแพแน่น
“หมอบไว้!”
“อย่ายืนเดียวตกแพ”เสียงพรานเบตะโกนอยู่แต่ไกล เมื่อเห็นแพลำที่สองกำลังพบกับเหตุการณ์ที่ตัวเองผ่านมา
สิ้นเสียงของพรานนำทาง แพลำที่สองก็มีอาการไม่ต่างจากลำแรก ทุกคนที่อยู่บนนั้นต่างรู้สึกถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของกระแสน้ำวน ทั้งแรงเหวี่ยง และแรงดูด พละกำลังอันมหาศาลของมัน ทำให้ทุกคนถึงกับหูอื้ออึงไปด้วยเสียงอึกทึกของสายน้ำวนนั้น แพที่อาศัยมา บิดไปมาเกือบเสียรูป เสียงรำไผ่ลั่นดังเปรี๊ยะ เหมือนกับแพทั้งลำจะแตกเสียให้ได้ ลำไผ่บางลำหลวมคลอน ทั้งๆที่ก่อนเดินทางทุกคนต่างช่วยกันมัดอย่างแน่นหนา กระแสน้ำที่ไหลทะลักที่ประทะใบหน้า รุนแรงราวกับน้ำที่ถูกฉีดจากสายยาง จนไม่สามารถลืมตาดูเหตุการณ์ต่างๆรอบตัวได้ ช่วงเวลาไม่กี่อึดใจ ที่แพทั้งลำหมุนวนแบบนั้นอยู่สามรอบ แต่มันยาวนานร่วมทศวรรษ ที่อยู่ในกระแสน้ำวนแห่งนั้น และไม่นานมันกับสงบนิ่ง ทิ้งไว้แต่เพียงเสียงอึกทึก ที่ค่อยๆเบาบางลงทุกขณะ
“เป็นอะไรกันหรือเปล่า”
“รอดตายแล้วโว้ย”พรานแปะร้องบอกอย่างดีใจ หลังจากผงกหัวขึ้นมาเป็นคนแรก
“อ๊วกกก”
“โอ้ย...ฉันตายแน่ๆ”เหน๋อร้องเสียงสั่น ก่อนจะโกงคออ้วกแตกอ้วกแตนจนหน้าเหลือง
“ไม่มีใครเป็นอะไรใช่ไหม”
“ช่วยกันดู ว่ามีตรงไหนพังหรือเปล่า”พรานเบร้องก้อง
“ลูกบวบมันแตกนิดหน่อยน้า”
“พอไปกันได้”พรานแปะป้องปากตะโกนตอบ
“ลุงโส่ย”
“ไหวไหมลุง ลุง”พรานแปะร้องเรียบพรานโส่ยดังลั่น หลังจากมองเห็นพรานชรานอนขดเป็นกุ้งเผา
“พ่อๆ”
“เฮ้ยพี่แปะ พ่อเป็นอะไรไม่รู้ นอนแข็งทื่อเลย”เจ้าเคิ่งร้องเสียงหลง
“ไหนๆพวกเอ็งหลีกทาง”
“ตาโส่ยๆ”พรานแปะกระโจนพรวดไปหาพรานเฒ่า ก่อนจะร้องเรียกชื่อแก พลางเขย่าไม่หยุด ทำให้ทุกคนใจเสีย โดยเฉพาะเจ้าเคิ่ง ที่มองเห็นพ่อตัวเองนอนตาค้างอยู่ตรงหน้า แต่ไม่กี่อึดใจ ก็ปรากฏเสียงแหบแห้งของพรานชราเล็ดลอดออกมา
“เฮ้ยๆ”
“พวกเอ็งเงียบสิ ตาโส่ยพูดว่าอะไร”พรานแปะร้องเสียงเอ็ด
“ยะ...ยา..”
“ขะ..ขอ..ยา..ด..ดม ขะ..ข้า หน่อย”พรานชราร้องเสี่ยงสั่น ก่อนทั้งหมดจะปล่อยก๊าก ออกมาดังลั่น
“วู้”
“เสียเส้นหมด คิดว่าตายห่ าไปแล้ว ตาแก่เอ๋ย”เหน๋อร้องเอ็ดตะโร ก่อนจะควักน้ำสาดใส่หน้าพรานชรา
ความตึงเครียดเริ่มผ่อนคลายลง หลังจากผ่านพ้นจุดวิกฤตมาอย่างชนิดที่ว่า เส้นยาแดงผ่าแปด สายน้ำที่เชี่ยวกราดดังหัสมัจจุราชที่คอยกระชากให้ลงหลุมนรก ก็ดูคลี่คลายราวกับริบบิ้นที่โบกสะบัดไปกับสายลมเอื่อยๆ สายน้ำที่ดูเขียวคล่ำเพราะความลึก ก็เริ่มแจ่มชัดจนมองเห็นกรวดหินและฝูงปลาน้อยใหญ่ ที่พากันแหวกวายไปตามกระแสน้ำดูเพลินตา
ท่ามกลางความเขียวขจี ของป่าดงพงไพรที่ขึ้นขนาบทั้งสองฝั่งของลำน้ำ และสัตว์ป่านานาชนิด ที่ท่องเที่ยวออกหากินอยู่ทั่วบริเวณ บางตัวต่างจับจ้องวัตถุประหลาย ที่ลอยมากับกระแสน้ำเบื้องหน้าด้วยความแปลกใจ บางตัวก็ส่งเสียงแจ้ว ราวกับร้องทักทายเหล่าอาคันตุกะผู้มาเยือน นากฝูงหนึ่งดำผุดดำว่ายหากินอยู่ริมตลิ่ง พอพบกับสิ่งแปลกปลอมก็พากันดำหายเข้าไปในป่ากก ปล่อยให้ตัวจ่าฝูงยืนคุมเชิญอยู่บนตอไม้ ครั้นเมื่อเหล่ามนุษย์และพาหนะเคลื่อนผ่านไป กลับใจกล้าดำผุดดำว่ายเลาะเลียบเข้ามาใกล้ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ราวกับแมวเชื่องๆที่เข้ามาคลอเคลียขาเจ้านาย
“ตัวอะไรน้าเบ”
“แมว หรือ หมา”เจ้าพุ่มร้องถาม เพราะตั้งแต่เกิดมาไม่เคยพบเห็นสัตว์ชนิดนี้มาก่อน
“ที่เอ็งเห็น ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”
“เขาเรียกว่า นาค”พรานเบตอบ ขณะถ่อแพไปกับกระแสน้ำ
“สัตว์มันชุมจริงๆ”
“ปลาก็เยอะ ไม่ต้องกลัวอดเลยนะนี่”พรานพรร้องเสริม
“ดูไม่ค่อยจะกลัวคนเสียด้วย”
“อย่าๆ ไอ้พะเปรียว”พุ่งร้องปรามเสียงดุ ขณะที่เจ้าพะเปรียวยืนแยกเขี้ยวหูตั้งทำท่าจะงับหัวเจ้านาคสอดรู้
“ไปๆ”
“ขืนมาใกล้กว่านี้เอ็งหัวเละแน่”พุ่มกล่าว พลางกวักน้ำไล่นาค ก่อนที่นาคตัวนั้นจะดำน้ำหายไป
“ไอ้พร”
“เอ็งค่อยคัดท้ายไว้หน่อย ข้าจะยันแพไปที่ต้นไม้นั่น”พูดจบพรานเบก็ออกแรงถ่อไม้ยันหัวแพให้เบี่ยงไปทางต้นไม้ล้มด้านซ้ายมือ เมื่อแพลอยเฉียดเข้าไปใกล้ เจ้าพุ่มที่คงจะรู้งานอยู่แล้ว ก็เอื้อมมือ
ไปคว้าฝักมีด ก่อนที่จะชู้ขึ้นโบกไปมาให้คนที่อยู่บนแพด้านหลังดู จากนั้นก็ค่อยๆสอดฝักมีดที่เก็บได้ ใส่ในย่ามที่สะพายมา
สายน้ำยังคงไหลเอื่อย และคงที่ ทำให้คนถ่อไม่เสียแรงมากในการควบคุม คงปล่อยให้มันไหลไปตามกระแสน้ำโดยธรรมชาติ มีบางจังหวะเท่านั้น ที่ต้องคอยถ่อดันแพให้เบี่ยงหลบกิ่งไม้ ต้นไม้ ที่ขวางทาง บางช่วงก็ต้องมุดรอดออกไป เพราะซุ้มไผ่ที่พาดขวางทั้งสองด้านกลายเป็นอุโมงค์ขนาดใหญ่ ก่อนที่แพทั้งสองลำจะลอยลับโค้งน้ำนั้นไป ทุกคนต่างหันกลับไปยังต้นทางที่ตัวเองได้ผ่านมา น้ำตกสายใหญ่ที่เคยดังกึกก้องจนแทบจะตะโกนคุยกัน มาบันนี้ดูเบาบางราวกับเสียงกระซิบ สายน้ำที่แตกเป็นฝอยละอองหมอกเห็นอยู่จางๆ มาบัดนี้มันกลับเปล่งประกายแสงสีทองเหลืองอร่ามระยิบระยับ ตัดกับสายรุ่งที่โค้งหายเข้าไปในดงทึบ เพราะแสงตะวันที่ส่องกระทบผ่าน พรานนำทางถอนหายใจเฮือก ก่อนจะโบกมือส่งสัญญาณให้ทุกคนออกเดินทางต่อ มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น จุดเริ่มต้นของการเดินทาง พรานนำทางคิดเช่นนั้นอยู่ในใจเพียงผู้เดียว ก่อนจะเสือ กปลายไม้ถ่อจมหายเข้าไปในกระแสน้ำ
จบบทที่ 12 ขอขอบคุณน้าๆทุกท่านที่ติดตามผลงานนะครับ แล้วพบกันใหม่ในบทต่อไป
แก้ไข 2 ต.ค. 58, 15:18