ภาพที่ 1พรานกระจอก
รถเมล์สาย ด่านช้าง-กาญจนบุรี แล่นมาตามถนนอย่างเชื่องช้า เพราะตอนนั้นถนนยังมีแค่สองเลนและสภาพของมันก็สมบุกสมบัน ที่ดูไม่ต่างจากสภาพของตัวรถบนพื้นถนนก็เต็มไปด้วยหลุมบ่อที่เกิดจากรถสิบล้อ ทั้งรถขนอ้อยและหัวมันสำปะหลัง ที่บรรทุกเสียเกินน้ำหนักจนพื้นถนนเสียบางช่วงบางตอนก็เป็นลูกระนาด โชว์เฟอร์ต้องคอยหักหลบอยู่เป็นระยะ บ่อยครั้งที่หลบหลุมไม่ทันก็ต้องทนนั่งหัวสั่นหัวคลอนกันไป สมัยนั้นรถบัสหรือรถเมล์ติดแอร์ปรับอากาศ ยังไม่มีให้บริการ มีแต่แบบพัดลม ซึ่งไม่ค่อยได้ใช้งานนัก เพราะเปิดแล้วก็ไม่ได้ช่วยให้เย็นสักเท่าไหร่ เพราะลมที่โกรกมาตามช่องหน้าต่าง ทั้งสองด้าน มันทำให้ร้อนระอุไปหมด ครั้งนั้นผมจำได้ดี ว่าไปช่วงหน้าร้อนเดือนเมษายน เป็นช่วงที่โรงเรียนมัธยมปิดเทอมใหญ่พอดี ตอนนั้นผมรู้จักกับ ไอ้ชัย หรือ วันชัย เหมือนปอง เพื่อนสนิทที่สุดของผมในตอนนั้น มันเอ่ยปากชวนผมไปเที่ยวบ้านมันที่ อำเภอหนองรี
“เฮ้ย ปิดเทอมแล้วไปเที่ยวไหนวะ”วันชัยร้องถาม หลังจากเก็บของใส่กระเป๋านักเรียนหลังสอบเสร็จวิชาสุดท้าย
“ข้า ก็ยังไม่รู้ว่ะ”
“ไม่ได้อยู่บ้าน ก็คงไปเที่ยวบ้านยายที่ลาดหญ้า หาตกปูตกปลาไปตามเรื่อง”ผมร้องตอบ
“ไปเที่ยวบ้านข้าไหม”
“ช่วงนี้ ที่บ้านข้าเขาทำไม้รวกที่ตีนเขาใหญ่ ไก่ป่า กระรอก เยอะนะโว้ย เห็นเขาบอกมา”เพื่อนเกลอร้องถามพร้อมหรี่ตาเชิงชักชวน
“แล้วเอ็งจะกลับบ้านตอนไหนล่ะ”ผมร้องถาม
“เสาร์นี้แหละ รอเก็บข้าวของในวัดก่อน ยังไม่ได้บอกหลวงพี่เลย”ผู้อาศัยวัดมานานร้องบอก
“มีไก่ป่า มีกระรอก แล้วไงวะ ปืนผาหน้าไม้ข้าก็ไม่มี”
“อย่างเก่งคงเอาหนังสติ๊กไล่ยิง จะไปสนุกอะไร”ผมตอบ เพราะมันคือเรื่องจริงในวัยนั้นของผม
“ข้ามีโว้ย”
“พ่อคุณข้า ทำปืนแก๊ปไว้ ยิงดีอย่างกับปืนลูกกรด”ไอ้ชัยโม้พร้อมบอกสรรพคุณของปืนที่ปู่ของมันบรรจงสร้าง พอได้ยินว่ามีปืน ผมก็ตอบตกลงทันที
“เออ เสาร์นี้เจอกันที่ท่ารถแล้วกัน”ผมตอบ พร้อมสะพายเป้กลับบ้าน
รถเมล์คันเดิมยังคงวิ่งมาตามเส้นทางที่เปลี่ยว ตลอดทั้งสองข้างทาง มีแต่ไร่อ้อยและไร่มัน นานๆครั้งจะเห็นแปลงปลูกผัก พวก ต้นหอม และผักชีสักครั้ง รถเมล์ขับผ่านครั้งใด ก็จะได้กลิ่นต้นหอมและผักชีเตะจมูกทันที ส่วนบ้านช่องห้องหับก็ปลูกกันแบบห่างๆ หลัง บางครั้งตามทุ่งโล่ง ก็มีฝูงวัวและควาย เดินแทะเล็มหญ้าอยู่กระจัดกระจายเต็มไปหมด จนเริ่มเข้าใกล้ตัวอำเภอ บ่อพลอย จึงเริ่มมองเห็นหมู่บ้านและความเจริญตามลำดับ
ผ่านจากอำเภอ บ่อพลอย ไปแล้วสภาพสองข้างทางก็เริ่มรกร้างเช่นเดิม บริเวณไหนใกล้ลำห้วย ก็จะมองเห็นแปลงผักต่างๆ บริเวณไหนเป็นที่โล่ง ก็จะพบกับฝูงสัตว์เลี้ยงพวก วัว ควาย นอกนั้นก็มีแต่ไร่อ้อย ไร่มัน และไร่ข้าวโพด หรือมีนาข้าวบ้างประปลายนานๆจะเห็นบ้านสักหลัง เลยตัวอำเภอบ่อพลอยมาได้ไม่ไกล ก็ผ่าน บ้านหลุมรัง และยางสูง แต่ถ้ามองไปทางซ้ายมือ จะเห็นทิวเขาทอดตัวเป็นแนวขนาดไปตลอดเส้นทาง นั่งชมนกชมไม้ และไร่อ่อยไร่มันมาจนตาลาย ในที่สุดผมกับไอ้ชัย ก็มาถึง อำเภอหนองรี ด้วยอาการเมื่อยขบไปทั้งตัว
“ถึงแล้วโว้ย”ไอ้ชัยร้องบอก
“ไอ้ห่ า ไกลฉิ บหาย”
“เอ็งอยู่หลังเขาหรือไงวะ โคต รกันดานเลย”ผมบ่น พลางดึงเป้ออกจากตะแกรงชั้นวางของเหนือหัว
“เอาน่า...บ่นเป็นคนแก่ไปได้”
“ไหนๆก็มาถึงแล้ว”เพื่อนเกลอร้องบอก พูดจบก็เดินไปซื้อน้ำอัดลมเย็นๆใส่น้ำแข็งมาให้ดูดดับร้อนคนละถุง จึงทำให้ผมเลิกบ่นไปได้บ้าง
“แล้วไหนล่ะบ้านเอ็ง”ผมร้องถาม พลางกวาดตามองไปตามตึกแถวเก่าๆที่ปลูกเรียงรายอยู่ริมถนน
“ยังโว้ย”
“โน่นต้องเข้าไปอีกสามสิบโล”ไอ้ชัยตอบหน้าตาย
“ห๊า!”
“นี่ยังไม่ถึงบ้านเอ็งหรือวะ”ผมร้องบอกพลางทำท่าเหมือนจะหมดแรง
“แล้วจะเข้าไปยังไงล่ะ ต่อรถไปอีกรึ”
“รถเมล์ หรือ สองแถวล่ะ”ผมร้องถาม
“ไม่มีหรอก”
“ โน่น พ่อข้ามารอรับแล้ว ไปเร็ว”ไอ้ชัยร้องบอก พลางชี้มือให้ดูรถกระบะโตโยต้าไมตี้เอ็กซ์ตอนเดียวสีขาวให้ผมดู หลังจากทักทายและกล่าวสวัสดีพอเป็นพิธี ผมและไอ้ชัยก็ต้องนั่งรถไปต่อ ก็อย่างที่รู้ๆกันอยู่รถตอนเดียวมันคับแคบ จะนั่งหน้าอัดไปเป็นปลากระป๋องก็ใช่ที่ เลยชวนกันไปนั่งกินลมหลังกระบะน่าจะดีกว่า เพราะตอนนี้ก็เริ่มเย็นลงมาบ้างแล้ว ทำให้ไม่ร้อนสักเท่าไหร่
ที่ผมเคยบอกว่า บ้านมันอยู่หลังเขา จริงๆถ้าเป็นคนอื่นคงจะเคืองหรือไม่ก็โกรธผมไปแล้ว หรือล้อกันมากๆบางคนถึงกับตัดญาติขาดมิตรกันเลยที่เดียว แต่สำหรับไอ้ชัยเพื่อนผม มันกลับนิ่งไม่รู้สึกอะไร และแล้วผมก็ได้คำตอบ เพราะทั้งชื่อหมู่บ้าน และ ชื่อโรงเรียน มีป้ายประกาศหลาว่า บ้านหลังเขา และ โรงเรียนบ้านหลังเขา ตัวเบ้อเร่อ ถึงว่าทำไม่มันไม่โกรธผม
“หลังเขาจริงๆ”ผมพูดกับตัวเองพลางร้องเพลง โรงเรียนของหนู เบาๆ
“สายลมหนาวพัด โบกโบย...
พลิ้วดูแล้ว สวยใสๆ เย็นลมเย็นไหวๆ สวยงาม...
บ้านอยู่ไกล ธุระ..กันดาน บ้านโรงเรียนอยู่...หลังเขา”ฮัมเพลงได้เท่านี้ พร้อมเน้นคำว่าหลังเขา ดังๆ ให้มันได้ยิน ร้องไม่ทันจบเพลง ไอ้ชัย ก็ร้องทักขึ้นมาอย่างคนหน้าระรื่นว่า
“เฮ้ย!”
“เพลงนี้ ข้าร้องตอนมีงานโรงเรียนเลยนะโว้ย”
หลังจากนั่งหัวสั่นหัวคลอนมาสักพัก ก็มาถึงหมู่บ้านหลังเขา ก็บ้านของไอ้ชัยเพื่อนผมนั้นล่ะ สภาพหมู่บ้านก็ถือว่าใหญ่โตพอใช้ได้ เพราะส่วนใหญ่จะปลูกบ้านติดๆกัน ก็ดูอบอุ่นแบบวิถีชนบททั่วๆ ที่เช้ามาก็ออกไปทำไร่ทำสวน ไม่ว่าจะเป็น ไร่อ้อย ไร่มัน ไร่ข้าวโพด แล้วแต่ว่าใครจะปลูกอะไร พอตกเย็นก็กลับบ้าน วนเวียนอยู่แบบนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร บ้านของวันชัย เป็นบ้านไม้ยกสูงหลังใหญ่ ใต้ถุนมีกี่ทอผ้าอยู่สองหลัง ออ..ผมลืมบอกไปว่า คนที่นี้ นอกจากจะทำไร่ทำสวนกันแล้ว เวลาที่เหลือบางบ้านก็ทอผ้ากันหลายหลัง บ้านวันชัยก็เป็นอีกหลังหนึ่งที่ทอผ้ากับเขาด้วย
ผมสนใจเป็นพิเศษ เพราะบอกตรงๆไม่เคยเห็นของจริงมาก่อน ที่เคยเห็นก็ในทีวี มันเป็นภูมิปัญญาชาวบ้านโดยแท้ และเป็นที่น่าประหลาดใจกับผมเป็นอย่างยิ่ง เพราะกลไกต่างๆของกี่ทอผ้านี้ ดูไม่สลับซับซ่อนอะไร แค่รู้จังหวะ สอดด้าย สับเส้นไหม ก็ทำได้แล้ว ส่วนต่างๆของกี่ทอผ้า นอกจากน็อตที่เอาไว้ยึดและเชือกที่เอาไว้กระตุกกระสวยด้าย ทั้งหมดทำจากไม้เนื้อแข็งอย่างดี ดูเขาทอผ้าและฟังเสียงกี่ทอผ้า ที่ดังกึกกักๆเป็นจังหวะก็เพลินเลยทีเดียว
ที่บ้านหลังนี้มีคนอยู่อาศัยอยู่หลายคน พ่อ แม่ พ่อคุณ(ปู่)แม่คุณ(ย่า) น้องชาย และน้องสาว โดยเฉพาะน้องสาววันชัย ที่ชื่อไพลิน ตอนนั้นน่าจะอายุ 12-13 ปี นี่ล่ะ แต่ทอผ้าเก่งมาก ผมเคยลองทำดูบ้างแต่ก็ล่มไม่เป็นท่า เสียฟอร์มกันไป ที่บ้านของไอ้ชัย ก็ทำไร่เหมือนกับคนอื่นๆ และมีวัวอีกหลายสิบตัว น่าจะเกือบๆสามสิบตัวในตอนนั้น ถือว่าเป็นคนมีฐานนะระดับหนึ่งเลยทีเดียว แถวๆนั้นถ้าบ้านใครมีวัวเยอะ มีที่มีทางเยอะมักจะเนื้อหอม เพราะมักจะมีญาติๆหรือคนที่รู้จัก มาแนะนำลูกสาวหรือหลานสาวอยู่เรื่อยๆ คงประมาณมาทาบทามว่าที่ลูกสะใภ้กระมัง มันเล่าให้ผมฟังบ่อย ว่าพวกพาสาวมาดูตัวเยอะ แต่มันไม่สนใจ ไม่รู้ว่ามันโม้ผมหรือเปล่า ถ้าเทียบความหล่อผมหล่อกว่ามันเยอะ
พูดถึงลูกสะใภ้ ไอ้ชัยยังเคยพูดทีเล่นทีจริงกับผมอยู่บ่อยๆ ว่าไหนๆก็เป็นเพื่อนกันแล้ว มาเป็นเขยบ้านมันเถอะ จริงๆผมก็อยากเป็นนะ แต่ไม่ดีกว่า ที่ปฏิเสธ ไม่ใช่ว่าน้องสาวมันไม่สวยนะครับ ก็ถือว่าใช้ได้เลย เก่ง ขยัน อดทน งานบ้านงานเรือนนี่ที่หนึ่ง ถึงผิวพรรณจะออกคล้ำไปนิด แต่ก็ถือว่าคมขำใช้ได้ ที่ขอบายก็เพราะกลัวจะมาเป็นแรงงานทาสบ้านมันมากกว่า โธ่ คิดดูล่ะกันนะครับ ว่าบ้านมันมีไร่อ่อยร่วมร้อยไร่ วัวอีกสามสิบตัว เลี้ยงวัวยังพอทน แต่ไร่อ่อยร่วมร้อยไร่ สำหรับผมขอบ๊ายบายซาโยนาระ แค่คิดก็ท้อแล้ว
เย็นวันนั้นเป็นวันที่ผมรู้สึกอบอุ่นมาก กับการต้อนรับขับสู้มาเป็นอย่างดี ที่หลับที่นอน ก็ได้ไพลินนี่ล่ะ จัดเตรียมให้อย่างดี กับข้าวกับปลาก็อร่อยถูกปาก ผมจำได้ดี มื้อนั้นมี แกงส้มปลาช่อนมะละกอ น้ำพริกมะขาม กับผักต้มอีกสองสามอย่าง มื้อนั้นหมดข้าวไปหลายจาน เรื่องอาหารนี่ไม่เท่าไหร่ แต่บรรยากาศในเวลาได้ไต้ได้ไฟแบบนี้ มันรู้สึกดีจนบอกไม่ถูก อยู่แต่ในเมืองมานาน พอมาอยู่ในสถานที่แบบนี้ก็พลอยให้เจริญหูเจริญตา
กินข้าวอิ่มไอ้ชัยก็ชวนผมไปเดินเล่นในหมู่บ้าน ผมก็ไม่ปฏิเสธอะไรมัน เพราะส่วนตัวก็อยากสำรวจดูเหมือนกัน เผื่อเจออะไรแปลกๆ ต้องยอมรับเลยว่า ญาติมันเยอะจริงๆ ไม่ว่าจะไปหรือแวะบ้านไหน มันบอกญาติของมันหมด ไม่รู้ว่าเป็น ญาติโกโหติกา ของมันฝ่ายไหนก็ไม่รู้ หน้าตาไม่ได้เข้าเค้ากันเลย แต่ในสิ่งที่เหมือนๆกันก็คือ ความเอื้ออาทร และความมีมิตรไมตรีจิตรต่อกัน แวะบ้านไหน ต้องได้กินขนมตลอด กระยาสารทเอย ขนมชั้นเอย สารพัดที่จะสรรหามาให้กิน และทุกบ้านที่เหมือนๆกันคือ น้ำดื่มที่มักจะใส่ขัน สแตลเลสบางๆ ที่เวลากินแล้วกลัวว่ามันจะบาดปากทุกที
“บ้านเอ็งนี่เข้าท่าดีวะ”
“ข้าชักจะชอบเสียแล้ว ครั้งต่อไปมาอีกแน่นอน”ผมเอ่ยขึ้น พร้อมกับหอบหิ้วขนมที่ได้รับมาถุงใหญ่
“ติดใจบ้าน หรือน้องสาวข้าวะ”
“กลับบ้านกันดีกว่า มืดแล้ว”วันชัยตอบ พลางเดินลัดเลาะไปตามหมู่บ้านอย่างชำนาญ
จริงๆแล้วก็ไม่ดึกดื่นอะไรหรอกนะครับ ตอนนั้นน่าจะเกือบๆสองทุ่ม แต่คนแถวนั้นก็เริ่มปิดบ้านนอนกันแล้ว มีแต่ร้านค้าอยู่ร้านสองร้าน ที่ยังเปิดให้บริการอยู่ แต่คิดว่าก็คงอีกไม่นานก็ปิดเหมือนกัน เพราะไม่มีคนมาซื้อของ ผมยังสงสัยว่าทำไม คนแถวนี้นอนเร็วกันจัง ผิดกับแถวบ้านผม ถ้าเป็นเวลานี้คนจะคึกคักน่าดู แต่ก็อย่างว่าล่ะครับ วิถีชาวไร่ชาวนา ต้องนอนเร็วตื่นเร็วเป็นเรื่องธรรมดา
คืนนั้นผมนอนไม่ค่อยหลับ เพราะน่าจะแปลกที่แปลกทาง ต้องชวนไอ้ชัย มานั่งคุยกันที่ระเบียงบ้านกันสองคน กว่าจะรู้สึกง่วงก็ล่อเกือบเที่ยงคืน เรื่องที่คุยก็หนีไม่พ้น เรื่องที่จะไปล่าสัตว์ในวันพรุ่งนี้ มันคุยไว้นักหนา ว่าเขาบ้านมันสัตว์ป่าเยอะ ไม่ว่าจะเป็น กระต่ายป่า อีเห็น ไก่ป่า กระรอก กระแต เยอะแยะไปหมด มันคุยฟุ้งจนน้ำลายแตกฟอง
“โอ้ย...เอ็งจะเอาอะไร กระต่าย กระรอก ไก่ป่า”
“เยอะแยะ พรุ่งนี้ข้าพาไปเดี๋ยวเดียวก็ได้”ไอ้ชัยกล่าวอย่างมั่นใจ
“พูดเป็นเล่นไป เยอะขนาดนั้นเลยรึ”
“ชาวบ้านแถวนี้เข้าไม่หากินกันหมดแล้วหรือวะ”ผมซักด้วยความสงสัย เพราะปกติวิถีชนบทแบบนี้ มักจะออกหาอะไรกินกันเอง ไม่ว่าจะผักป่า หรือแม้แต่ล่าสัตว์ เพราะก่อนค่ำผมยังได้ยินเสียงปืนอยู่
ไกลๆแถวเชิงเขา
“หากินกันไม่หมดหรอก”
“เอาเป็นว่า พรุ่งนี้ตีสี่ เอ็งเตรียมตัวละกัน ข้าบอกไพลินไว้แล้ว ว่าให้ปลุกด้วย”วันชัยพูดจบ ก็ชวนผมมุดมุ้งเข้านอน
“ตีสี่เลยรึ”
“ตื่นเช้าแท้”ผมกล่าวด้วยความสงสัย
“เดี๋ยวพรุ่งนี้จะพาไปย่องไก่ป่า”
“นอนเถอะอย่าถามมาก”สิ้นเสียงของไอ้ชัยไม่เท่าไหร่ เสียงเหมือนเรือกลจักรก็ครางออกมาจากปากของมัน เล่นเอาผมแทบไม่ได้หลับไม่ได้นอนเลยทีเดียว มารู้สึกเคลิ้มๆ จะหลับอยู่แล้ว หูก็แว่วเสียงหวานใสของไพลินขึ้นมาที่ข้างมุ้ง
“พี่ๆ”
“พี่ชัย ตีสี่แล้ว”ไพลินร้องเรียกพี่ชายพลางเขย่าขาไม่หยุด
“ห๊า..ตีสี่แล้วรึ”
“เอ๊าๆตื่นๆ”ผมบ่นอุบในลำคอ ก่อนจะมุดมุ้งออกไปล้างหน้าล้างตา เพื่อจะได้เรียกความสดชื่น ของตัวเองขึ้นมาได้บ้าง ล้านหน้าเสร็จกลับขึ้นมาบนบ้าน ก็ยังเห็นหมอนอนไม่ยอมตื่น ก็เลยแกล้งปลดมุ้มลงแล้วคลุมมันไว้แบบนั้น แถมด้วยฟูกที่นอนอีกอันทับลงไป เล่นแบบนี้ไม่ตื่นคงอยู่ไม่ไหว แต่กว่าไอ้ชัยจะเสด็จลงมาได้ก็เกือบครึ่งชั่วโมง เพราะมัวแต่อืดอาดยืดยาด ต้องเร่งแล้วเร่งอีก กว่าจะพร้อมเดินทาง ของที่เตรียมกันไปก็มีไม่มาก ในยามที่ผมสะพายมีมีดขอหนึ่งเล่ม ไม้ขีดที่อยู่ในถุงพร้อมแก๊ปกระดาษหนึ่งถุง ถุงผ้าเล็กๆที่มีดินปืนหนึ่งขวดกระทิงแดง ตะกั่วแบบเม็ดเล็กๆและแบบใหญ่ปนๆกันอีกขวด เวลาจะยิงก็ต้องมาเลือกเอาตามขนาดแล้วแต่ความชอบ แล้วก็ยังมี ขุยมะพร้าวอีกกำ แต่ที่ผมแปลกใจคือ หลอดยาสีฟันดาร์ลี่ ที่ผ่ามาแล้วเป็นแผ่นๆ กับ ที่ตัดมาเป็นเส้นๆยาวประมาณข้อนิ้วอีกจำนวนหนึ่ง แต่ละเส้นกว้างไม่เกินครึ่งเซ็น นึกยังไงก็นึกไม่ออกว่าเอามาทำอะไร
“ข้าวปลาเอาไปหรือเปล่า”
“สะบงเสบียงอะไรก็ไม่เห็นมี”ผมร้องถาม เพราะเห็นว่าจะไปเป็นวันๆ
“หากินกันในป่า”
“ข้าวสารที่กระต๊อบข้ามีอยู่เยอะ ทำกินกันที่นั้นเอา”ไอ้ชัยร้องบอก ก่อนจะขึ้นค่อมรถอีแก่เก่าคร่ำครึแล้วกระแทกคันสตาร์ทเต็มแรง แต่กว่าจะติดเล่นเอาขาล้าไปตามๆกัน
“ติดไปหน่อยก็ดีนา”
“ปลากระปงปลากระป๋องข้าเห็นอยู่ในตู้กับข้าว ติดไปเถอะกันพลาด”ผมกล่าวอย่างกังวล พลางก้าวขาขึ้นค่อมซ้อนท้ายไอ้ชัย
“เอาน่า...มากับพรานใหญ่”
“ไม่มีอด”ไอ้ชัยยังคงกล่าวด้วยความมั่นใจ พูดจบก็ควบรถมอร์เตอร์ไซค์จนควันโขมงออกจากบ้าน ส่วนปืนผาหน้าไม้ผมก็ร้องทักว่าไม่เอาไปหรือ มีแต่ถุงดินปืนจะเอาอะไรยิง ก็ได้รับคำตอบจากเพื่อนเกลอว่า ปืนอีแก๊ปของมัน เอาซุกไว้ที่ไร่แถวๆกระต๊อบนั้นล่ะ เอามาเก็บไว้ที่บ้านไม่ได้ เพราะเป็นปืนเถื่อน ผมได้แต่พยักหน้าหงึกหงัก เพราะเห็นด้วยกับคำพูดของมัน
บนเส้นทางลูกรังที่เต็มไปด้วยฝุ่นดิน เพราะเพิ่งหมดหน้าตัดอ้อยไปไม่นาน ฝุ่นดินละเอียดราวกับแป้ง เพราะถูกรถสิบล้อ วิ่งเข้าวิ่งออกเป็นว่าเล่น มันหนาเป็นคืบๆ บางจังหวะก็ลื่นไปมาเพราะดอกยางของอีแก่ที่นั่งควบกันมา มันเก่าจนหมดสภาพ ตกหลุมตกบ่อหน่อยก็กระแทกจนก้นระบมไปหมด เพราะโช๊คอัพที่ตายสนิททั้งสองข้างไม่ได้ช่วยซับแรงอะไรไว้ได้เลย กว่าจะถึงกระต๊อบของไอ้ชัยที่สร้างไว้ติดเชิงเขา ก็เล่นเอาท้องไส้ปั่นป่วนไปหมด
“เอ็งรออยู่นี่”
“เดี๋ยวข้าไปเอาปืนก่อน”ไอ้ชัยพูดจบก็เดินคลำไปที่โอ่งน้ำใบใหญ่ข้างกระต๊อบ ที่มองเห็นอยู่ลางๆ ผมเห็นมันเปิดสังกะสีที่กองทับกันอยู่บนพื้นเปิดดูอยู่ไม่นาน ก็งัดเอาปืนแก๊ปกระบอกยาวเฟื้อยขึ้นมาโชว์ให้ดู
“นี่ไง แม่นยิ่งกว่าลูกกรด”
“ฝีมือพ่อคุณข้า”มันโม้อวดสรรพคุณไม่หยุด ผมยกปืนของมันขึ้นมาคลำดูใกล้ๆ
“เบามือดีวะ”
“แต่ทำไมลำกล้องมันเล็กจัง”ผมถามด้วยความสงสัย เพราะลำกล้องที่ผมเห็น มันเล็กกว่าปืนแก๊ปทั่วไป ขนาดของมันใหญ่ไม่เกินนิ้วชี้มากนัก ถ้าเทียบกับปืนลูกกรด หรือ .22 ก็พอๆกันเลย
“แบบนี้ล่ะดี”
“เอาไว้ยิงสัตว์เล็ก พวกไก่ป่า นกเขา กระรอก กระแต กระต่ายป่า ถ้าโดนจังๆก็ทรุด”มันพูดจบก็คว้าปืนที่ผมถือเอามาบรรจุลูก ช่วงนี้ผมสนใจเป็นพิเศษ เพราะไม่เคยยิงปืนแก๊ปมาก่อน เคยเห็นแต่ไม่เคยลองสักที แล้วผมก็มาหายข้อสงสัย ในส่วนของหลอดยาสีฟัน เพราะหลังจากมันกระทุ้งแซ่บรรจุดินปืนอะไรของมันเสร็จสรรพแล้ว มันก็เอาเปลือกของหลอดยาสีฟันนี้ล่ะ ที่ตัดเอาไว้เป็นชิ้นๆ เห็นมันเลือกอยู่พักหนึ่ง ก็เอามาห่อม้วนกับปลายไม้ ลักษณะเป็นทรงกลมๆเหมือนตะเกียบ มันม้วนแล้วพับปลาย พักเดียวก็ได้กระทงเล็กๆ ลักษณะเป็นทรงกระบอก เหมือนถ้วยหรือแก้วใบเล็กๆ จากนั้นมันก็ตัดแก๊ปกระดาษใส่ลงไป มันทำอยู่สองอันแล้วเอาไปแปะติดที่ข้างปืนแก๊ป ไอ้ตรงที่แปะอยู่นั้น มันว่าเป็นยางไม้ ส่วนที่เป็นกระทงแก๊ปนี่ล่ะ ที่เอาไว้เป็นตัวจุดชนวนระเบิดของปืนแก๊ป เวลาจะยิงก็แกะออกมาจากยางไม้ แล้วใส่เดือยของปืนแก๊ป ที่ยื่นออกมาจากท้ายลำกล้องปืนด้านข้างใช้มือตบๆแถวๆส่วนท้ายของลำกล้องเสียหน่อย ให้ดินปืนไหลออกมานิดๆ แล้วง้างตัวสับออก
ปืนของไอ้ชัยเป็นไกสับข้าง ถือได้ว่า คนออกแบบ เน้นเรื่องความปลอดภัยพอสมควร กลไกอะไรก็ไม่ยาก พาเหนี่ยวไกปืน ตัวสับก็ไปตีกระทงแก๊ป เท่านี้ก็ยิงได้แล้ว ถ้าไม่ได้ยิงก็ต้องถอดกระทงแก๊ปออกมาก่อน แล้วง้างตัวตบไว้ที่เดือยเหมือนเดิมเพราะเสี่ยงที่ปืนจะลั่นได้เวลามุดป่ามุดดง ผมเห็นไอ้ชัยประกอบปืนของมันแล้ว ก็รู้สึกสัทธามันขึ้นมาหน่อย ในใจก็คิดว่า เรื่องที่มันเล่าๆมาให้ฟัง คงไม่ได้โม้ผมแน่นอน เพราะดูจากความชำนิชำนาญของมันแล้วก็พอหายห่วงขึ้นมาได้บ้าง
บรรจุปืนเสร็จไม่ทันไร ไก่ป่าในหุบบนเชิงเขา ก็เริ่มขันเสียงแจ้ว มันขันไม่หยุดเหมือนท้าทายพวกเรา ผมตื่นเต้น ที่จะได้ออกล่าสัตว์เป็นครั้งแรก ส่วนไอ้ชัยไม่มีอาการอะไรเลย มันเรียบเฉย ได้แต่มองตามเสียงไก่ขัน ว่ามันขันอยู่ที่ไหน พอจับต้นชนปลาย และทิศทางได้ถูก มันก็พาผมออกเดินทันที วิธีนี้ละครับ ที่เขาเรียกว่า ย่องไก่ ย่องจริงๆ พวกเราค่อยๆเดินกันอย่างรีบเร่ง เพราะถ้าเกินฟ้าสว่างกว่านี้ ไก่ป่าจะเป็นฝ่ายเห็นเรา ไปมืดๆแบบนี้ได้เปรียบ ไอ้ชัยมันว่ามาแบบนั้น พอใกล้ระยะและตำแหน่งที่เชื่อว่าไก่ป่าน่าจะอยู่แถวๆนั้น ไอ้ชัยก็บอกให้ผมหยุดรอมันที่พุ่มไม้
“เอ็งรออยู่ตรงนี้ก่อน”
“มันอยู่บนกอรวกนั้นแน่ๆ”ไอ้ชัยพูดเสียงกระซิบกระซาบ
“แน่ใจนะ”
“ว่าข้าไม่ต้องตามไป”ผมกระซิบตอบ เพราะไม่อยากนั่งอยู่คนเดียวแบบนี้
“ไม่ต้อง”
“คอยดูข้าเป็นตัวอย่าง”มันทำหน้าเอ็ดใส่ ก่อนจะเดินย่องๆเหมือนโจรขโมยของ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไรมัน ก็ได้แต่มองเพื่อนผมเดินเงยหน้าเงยตาย่องไปตามแนวกอรวก ซึ่งผมก็คอยเฝ้ามองด้วยความตื่นเต้นไปด้วย นั่งมองไม่เท่าไหร่ ก็ต้องขยับออกจากพุ่มไม้ที่ตัวเองซุ่มดูอยู่ เพราะมดแดงเต็มไปหมด ผมก็เลยถือวิสาสะสะกดรอยตามมันไปแบบห่างๆ ตัวมันเองก็ไม่รู้ว่าผมก็ย่องตามมันไปด้วย คิดว่าดีไปอีกแบบ ถือว่าฝึกวิชาย่องไก่ไปในตัว
ย่องตามไปสักพัก ก็เห็นไอ้ชัยนั่งยองๆแล้วเล็งปืนขึ้นไปบนกอรวกเหนือหัวมันพอดี ผมก็พลอยมองปลายกระบอกปืนของมันตามไปด้วย เผื่อจะได้เห็นไก่ป่ากับเขาบ้าง พยายามมองเท่าไหร่ก็มองไม่เห็นสักที ได้ยินแต่เสียงมันขันอยู่แจ้วๆในพุ่มไม้หรือแถวๆกอรวกนั้นล่ะ แต่มองเท่าไหร่ก็มองไม่เห็น พักเดียวก็ต้องสะดุ้ง เพราะเสียงตูมสนั่นของปืนแก๊ปของไอ้ชัย ที่ยิงออกมา พร้อมกับเสียงดังซ่า ของอะไรชนิดหนึ่งตกลงมาบนพื้นดินกราวไปหมด พักเดียวเท่านั้นไอ้ชัยก็เดินหน้าตั้งพร้อมมือไม้ที่ปัดอยู่ตามตัวเป็นพัลวัน
“ได้มั๊ยไก่ป่า”
“เอาอยู่มั๊ย ตะกี้ข้าได้ยินเหมือนมันบินไปทางหุบโน่น”ผมร้องทักด้วยความตื่นเต้น
“ถูกกะผีอะไรล่ะ”
“เห็นมันดำๆก็คิดว่าไก่ป่า ที่ไหนได้ล่อรังมดแดงเต็มๆ”ไอ้ชัยพูดน่าสงสาร พลางปัดมดแดงที่กัดอยู่เต็มตัว หัว หู มีแต่มดแดงเต็มไปหมด ต้องเดือดร้อนผม ที่คอยช่วยอีกแรงถึงจะเอาออกหมด
“ก็ไหนว่าพราน”
“รังมดแดงรังเบ้อเร่อ ดูไม่ออกหรือไง”ผมร้องตวาด
“ใครจะไปดูออกวะ มืดๆแบบนี้”
“ก็เห็นขันอยู่ใกล้ๆ เห็นดำๆก็กดตูมเลย”พรานใหญ่กล่าวพลางดึงมดแดงที่กัดคาอยู่ที่ติ่งหูออก
“ทีนี้จะกินอะไรกันดีละ พ่อพราน”
“ได้ล่อข้าวกะเกลือแหงๆ บอกแล้วให้เอาปลากระป๋องติดมาด้วย”
“ถุย..ไอ้พรานกระจอก”ผมร้องเอ็ดตะโร ก่อนจะวิ่งไล่เตะไอ้ชัยลงเขาเกือบไม่ทัน
จบเรื่องสั้นชุดครัวกลางไพร ตอนแรก เรื่อง พรานกระจอก หวังว่าน้าๆผู้อ่านจะชอบกันนะครับ กับความหลังครั้งยังวัยเยาว์ของผม ยังมีอีกหลายตอนที่ผมเขียนไว้ หวังว่าน้าๆจะติดตามและให้กำลังใจนะครับ