ภาพที่ 1บทที่ 12
ตอนที่ 2
บนเส้นทางนี้เอง ที่ทุกคนต่างพอจะสังเกตได้ว่า บรรยากาศบริเวณนี้เริ่มปลอดโปร่งมากยิ่งขึ้น ทั้งเส้นทางที่เริ่มกว้างขว้างมากขึ้นไปทุกคณะ แต่ก็ไม่ทิ้งความคดเคี้ยว และลาดต่ำ ลักษณะคล้ายถนนบนภูเขา ที่ทอดเส้นทางโอบล้อมเป็นเกลียว
“ดูโน่น ใกล้ถึงทางออกแล้ว”
“ระวังตัวไว้ด้วยพวกเรา ไม่รู้จะมีอะไรมารอต้อนรับเราหรือเปล่า”พรานเบร้องบอกคณะ
“แก๊ปเปียกหมดเลย สงสัยต้องอัดกันใหม่”
“พวกที่มีปืนแก๊ป อยู่กลางก็แล้วกัน ใครถือลูกซองก็คุมหัวท้าย”พรานโส่ยร้องบอกแข่งกับเสียงอึกทึกของสายน้ำ
หลังจากตระเตรียมตัวกันเรียบร้อย ทั้งปืนผาหน้าไม้ของแต่ละคน ต่างอยู่ในสภาพพอจะใช้งานได้ ติดขัดอยู่เพียงไม่กี่คน ที่ใช้ปืนแก๊ปเท่านั้น เพราะตลอดเส้นทางที่ฟันฝ่ามาในโพลงถ้ำนี้ ละอองน้ำเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้แก๊ป ที่เป็นเสมือนหัวใจของปืนรุ่นโบราณประสบกับปัญหาสำคัญ กรณีที่แก๊ปชื่น ไม่สามารถติดชนวนได้ ปืนที่แบกกันมาก็ไม่ต่างจากท่อนไม้ดีๆท่อนหนึ่ง
เส้นทางโอบล้อม ราวกับพระจันทร์เสี้ยว ที่เลาะเลียบไปกับผาหินที่ขึ้นเป็นกำแพงสูงตระหง่านราวกับกำแพงยักษ์ ความสูงของมัน สูงเสียจนแสงของลำไฟฉายไม่สามารถส่องถึงยอดของมันได้ บวกกับอายหมอกและละอองน้ำที่ฟุ้งกระจายทั่วทั้งบริเวณ ก็เป็นอุปสรรค์สำคัญที่ทำให้คณะทั้งหมดต้องระมัดระวังในการเดินทาง เพราะซ้ายมือของทุกคนคือ หุบเหวที่ทอดลึกลงไป ราวกับหลุมดูดไปสู้นรกขนาดใหญ่ ที่มีปีศาจร้ายร้องคำรามด้วยความโกรธแค้นราวกับจะสาปแช่งผู้มาเยือน
“เดินกันระวังๆนะโว้ย”
“ชิดผนังไว้ อย่าแตกแถว”พรานผู้นำทางตะโกนฝ่าเสียงน้ำตก
“อย่าเดินเร็วกันนักซี”
“มองทางแทบไม่เห็นเลย”เหน๋อผู้ตาขาวตลอดการเดินทางร้องเสียงสั่น
“เกาะๆหลังกันไปนี่ล่ะ”
“ไม่ต้องรีบร้อน”พรานพรร้องมาจากท้ายขบวนสุด
“อุ๊บ!”
“ยุดทำไมว่ะไอ้เบ”พรานโส่ยร้องบอก หลังจากเดินชนคนนำทางเต็มแรง
“หยุดก่อนๆ”
“ทุกคนเงียบสิ”พรานเบยกมือขึ้นส่งสัญญาณ พลางร้องบอกคณะทั้งหมดให้เงียบเสียง
“ได้ยินกันหรือเปล่า”
“ทางนั้น”พรานเบร้องบอก พลางชี้มือบอกทิศทางของเสียง
“เสียงดังขนาดนี้ ใครมันจะได้ยิน”
“หูแว่วหรือเปล่าไอ้เบ”พรานโส่ยร้องบอก พรางป้องหูไปทางทิศทางที่พรานนำทางสำเนียกเสียง
“แก่ขนาดนี้จะไปได้ยินอะไร”
“โน่น ทางโน่น เสียงมันแปลกๆเหมือนหนูร้อง”พรานแปะร้องบอกมาอีกคน
“อืม...เอ็งได้ยินเหมือนที่ข้าได้ยินจริงๆด้วย”
“เสียงเหมือนหนู แต่ข้าว่าไม่ใช่”พรานเบเสวนาตอบ
“จริงๆด้วย เหมือนจะมาทางนี้ด้วย”เจ้าพุ่มร้องบอกด้วยความตื่นเต้น
“นั่นๆ เจ้าพะเปรียวเป็นอะไรของมัน”เจ้าเคิ้งร้องบอก หลังจากเห็นเจ้าพะเปรียววิ่งวนไปวนมา
“มันชักไม่เข้าท่าเสียแล้วนะข้าว่า”
“ระวังๆตัวกันไว้ดีกว่าพวกเรา เหมือนมันจะเข้ามาทางนี้เสียด้วยสิ เอ๊าเฮ้ย! นั่นมันตัวอะไรว่ะ เกาะบนนั้น”ไม่ทันที่พรานพรจะร้องเตือน ก็ปรากฏสัตว์ชนิดหนึ่งบินร่อนมาเกาะที่ผนังหินเหนือหัวของทุกคน
“ดูดีๆไอ้พร”
“บ่าง หรือ ค้างคาว”พรานเฒ่าร้องบอก
“ไม่ใช่ทั้งสองอย่าง”
“พวกเราเตรียมตัว มันมากันโน่นแล้วเป็นฝูงเลย”สิ้นเสียงของพรานพร สัตว์ปริศนาหลายสิบตัว ต่างส่งเสียงร้องจนแสบแก้วหู บางตัวร่อนหายเข้าไปในโพลงถ้ำที่คณะผ่านมา บางตัวก็ร่อนมาเกาะตามผนังถ้ำแล้วค่อยๆไต่หายเข้าไปตามซอกผนังหิน แต่บางตัวกลับไต่เข้ามาใกล้คณะ ที่ตอนนี้ต่างพากันยืนเบิกตาโพลงตัวแข็งทื่อเป็นก้อนหิน
“ระวังไอ้เหน๋อ”
“ฉับ!”พรานเบร้องเสียงหลัง ก่อนที่จะใช้มีดเหน็บฟันไอ้ตัวปริศนาจนขาดสะพายแล่น
“มัวแต่ยืนทื่อเป็นสากกระเบืออยู่ได้”
“เห็นมั๊ย คอเอ็งจะขาดอยู่แล้วถ้าข้าเห็นมันช้ากว่านี้”พรานเบตวาดลั่น พรางใช้ปลายมีดเขี่ยพลิกซากตัวประหลาด
“ตัวอะไรของมันว่ะนี่”
“เกิดมาไม่เคยพบเคยเห็น”พรานชราร้องบอก พลางก้มดูอย่างพินิจ
“โน่นมาอีกตัวแล้ว”
“ไอ้เคิ้งระวัง”เจ้าพุ่มร้องบอก ก่อนที่จะกระโดดพุ่งตัวดันเพื่อนให้พ้นรัศมี ของเจ้าสัตว์ประหลาดที่ทำท่าจะโฉบเข้ามาเฉียดก้านคอ จนทั้งสองคนล้มกลิ้งไม่เป็นท่า ก่อนที่มันจะทันได้ไต่หนีเข้าไปในถ้ำ พรานแปะที่ยืนดักอยู่ก่อนแล้วก็หวดมีดเหน็บเข้าที่กลางตัวของมัน ด้วยความคมของมีด ไอ้บ่างผีที่ทุกคนเข้าใจ ก็ขาดออกเป็นสองส่วนอย่างง่ายดาย
“โน่นๆมาอีกแล้ว”
“รีบออกจากที่นี่กันเร็ว ขืนอยู่ตรงนี้มีหวัง ไม่ใครต่อใครคงเสร็จมันแน่”พรานเบร้องบอกคณะ หลังจากหวดคมมีดดับชีพเจ้าสัตว์ประหลาดร่วงอีกตัว
บนเส้นทางที่ชุลมุนวุ่นวาย ที่เต็มไปด้วยสัตว์ประหลายที่ไม่ต่างไปจากค้างคาวผสมบ่าง หลายตัวที่ต้องตายด้วยคมมีด ซึ่งทั้งหมดต่างไม่รู้สาเหตุและที่มาที่ไปของพวกมัน ว่าทั้งหมดมีจุดประสงค์อะไรต่อคณะ แต่ที่แน่ๆ ต้องไม่เป็นผลดีต่อพวกเขาแน่นอน เพราะบางตัวส่อพฤติกรรมดุร้ายอย่างชัดเจน ซึ่งไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ เพราะเส้นทางที่ถูกบีบบังคับให้ต้องไปต่อ ทั้งหมดต่างปกป้องกันและกันอย่างเต็มที ไม่มีจุดใด หรือ ตำแหน่งไหนเป็นจุดบอด ที่จะสามารถให้เจ้าสัตว์ประหลาดหลุดรอดเข้ามาใกล้หรือทำร้ายคนของคณะนี่ได้ ต่างคน ต่างเป็นโร่ป้องกันกันและกันอย่ากล้าหาญ แม้แต่เจ้าพะเปรียวก็ไล่งับไล่ฟัดไอ้บ่างผีบางตัวที่บาดเจ็บ ซึ่งมันก็สามารถพิชิตได้หลายตัว
เกือบชั่วโมงเต็มๆที่คณะทั้งหมดต้องรบกับสัตว์ประหลาดจากนรก มาเริ่มหย่าศึกกันได้ก็ต่อเมื่อบรรยากาศเริ่มเปลี่ยน เหตุการณ์ดูเหมือนจะคลี่คลายลงบ้าง อันเนื่องมาจากฟ้าเริ่มสาง ความมืดที่เคยปกคลุม เริ่มจากหายไปพร้อมๆกับหมอกหนา ที่เริ่มแผ่วเบาและดูบางตา เจ้าสัตว์ร้ายที่เคยระรานและก่อกวน เริ่มทยอยหนีหายเข้าไปในโพลงถ้ำอย่างรีบเร่ง ดูแล้วไม่ต่างจากค้างคาวที่รีบบินเข้าถ้ำอย่างไรอย่างนั้น
“นี่มันนรกที่ไหนนี่”
“เกิดมาไม่เคยเจอ”พรานโส่ยร้องบอก ก่อนที่จะทิ้งตัวนอนแผ่หลากับพื้นอย่างหมดแรง
“ไม่มีใครเคยเจอทั้งนั้น”
“เพราะที่พวกเอ็งมายืนอยู่นี้ คือ ป่าดำ”พรานเบร้องบอกเสียงหนักแน่น ก่อนจะเช็ดคราบเลือดที่ติดอยู่บนมีดที่ขากางเกง
“มันยังมีอะไรอีกเยอะ ที่พวกเราไม่เคยเจอ”
“ต่อไปนี้ ทุกคนต้องระวังตัวกันให้ดี”พรานนำทางพูดจบ ก่อนจะล้วงห่อยาเส้นออกมาม้วนสูบควันโขมง
“หวังว่าไอ้บ่างผีพวกนั้นคงจะไม่มาเล่นงานพวกเราอีกนะ”
“ตอนนี้ข้าว่าไม่ แต่กลางคืนข้าว่าพวกมันเล่นเราแน่”พรานคนเดิมร้องบอกคณะ ก่อนจะยกยาเส้นขึ้นสูบจนแก้มตอบ
“มาอีกซี่...ข้าจะยิงให้เละเลย”
“ถุย”พรานแปะถ่มน้ำลายเฉียดหัวเจ้าเหน๋อเพียงคืบเดียว ก่อนจะตวาดเจ้าเหน๋ออีกว่า
“ตะกี้เอ็ง ได้ยิงปืนสักนัดไหมล่ะ”
“กว่าจะได้เล็ง เอ็งก็ตายห่าก่อนใครแล้ว”พรานแปะพูดพลาง ม้วนยาเส้นไปพลาง
“ทีนี่จะเอายังไง”
“จะหยุด หรือจะไปต่อ”พรานพรร้องบอก
“พักก่อนดีกว่า เอาตรงริมก่อไผ่ริมน้ำนั่น”
“สว่างกว่านี้ค่อยว่ากันใหม่”พรานเบพูดจบ ก่อนจะดีดก้นบุหรี่ยาเส้นลงพื้นแล้วใช้ปลายเท้าขยี้ดับ
หลังจากหมายตาไปยังตำแหน่งก่อไผ่ริมน้ำกอใหญ่ได้ พรานนำทางก็เริ่มทำหน้าที่อีกครั้ง ทุกฝีก้าวล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยความระมัดระวัง ต่างคนต่างเฝ้าสังเกตสิ่งต่างๆรอบทิศทาง ไม่ว่าจะเป็นสุมทุมพุ่มไม้ เหลี่ยมหิน หรือแม้แต่สายน้ำที่ไหลเอื่อยอยู่นั้น ทั้งหมดก็ไม่อาจจะประมาทได้ เพราะเหตุการณ์ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ สอนให้เรียนรู้อะไรต่อมิอะไรอีกมากมาย เพราะทั้งหมดรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า พื้นปฐพีที่พวกเขาเหยียบย่ำอยู่นี้ ไม่ใช่พื้นดินเดียวกันที่พวกเขาจากมา
ภายใต้ซุ้มกอไผ่กว้างขวาง บริเวณนี้เองที่เหล่าผู้เดินทางต่างใช้เป็นสถานที่พักพิง หลังจากเหน็ดเหนื่อยและอ่อนล้ามาอยากหนัก เกือบหนึ่งวันเต็มๆที่ทนอดหลับอดนอน และความหิวโหย เพื่อตามหาเพื่อนร่วมทางที่สาบสูญ และดูเหมือนว่าจะไร้วี่แววของชายหนุ่ม มาบัดนี้ เรี่ยวแรงที่มีอยู่ของทุกคน ก็เริ่มลดน้อยลงทุกขณะ ราวกับไฟในกองฟืนที่ใกล้มอดลงทุกที
กองไฟกองใหญ่ถูกก่อสุมขึ้นมาอย่างเร่งรีบ พร้อมๆกับหม้อไหที่เตรียมจัดแจงตั้งไฟเพื่อหุงหา กับข้าวถูกจัดเตรียมอย่างเรียบงาย มีเพียงเนื้อเก้งแห้งย่าง กับ พริกเกลือเท่านั้น ที่ทำให้ท้องที่ร้องครวญครางได้บรรเทาลงบ้าง เพียงไม่กี่อึดใจข้าวสวยร้อนๆก็ส่งกลิ่นหอมกลุ่นก็ตกทั่วถึงท้องของทุกคน
“พวกเอ็งอยู่ที่นี้กันก่อนก็แล้วกัน”
“ข้าจะเดินดูต้นทางแถวนั้นเสียหน่อย”พรานเบร้องบอกคณะ จากนั้นก็คว้าปืนคู่กายสะพายขึ้นบ่า
“ข้าไปเป็นเพื่อนอีกคน”
“คนเดียวหัวหาย สองคนเพื่อนตาย”พรานพรเสนอตัว
“อยู่ทางนี้ก็ดูแลกันให้ดี”
“ปืนผาหน้าไม้อย่าให้ห่างตัว จะหลับจะนอนก็ขอให้มีคนเฝ้าด้วย”
“จะสว่างแล้วก็จริง อย่าประมาท”พรานเบ้ร้องบอกทิ้งท้าย ก่อนจะสาวเท้าฝ่าอายหมอกหายไปพร้อมกับพรานพร
แสงอรุณเริ่มส่องแสง ถึงแม้จะยังไม่พ้นสันเขา แต่อานุภาพรัศมีของดวงอาทิตย์ทำให้รอบบริเวณพอมองเห็นเค้าโครงรอบด้านได้ นอกจากเสียงอึกทึกของสายน้ำตก และ สายน้ำในลำธารที่ไหลเชียวภายใต้ม่านหมอกที่โรยตัวอยู่บางๆ ถึงจะมองได้ไม่ชัด แต่ทั้งสองพรานก็พอจะเดาความใหญ่โตของน้ำตกนั้นได้
ตามบริเวณชายป่า ที่ขึ้นปกคลุมอยู่ริมน้ำ ยังปรากฏเสียงสรรพสัตว์ให้พอได้อุ่นใจ ทั้งเสียงนกนานาชนิด ที่พากันส่งเสียงเพรียกป่า เคล้ากับเสียงลิง ค่าง ที่กู่ร้องอยู่ตามยอดไม้ใหญ่สูงริบ ครั้นเจอมนุษย์ผู้แปลกหน้า ก็พากันส่งเสียงโยนตัวขย่มยอดไม้สั่นไหว ก่อนจะพากันกระโจนหลบหายเข้าไปในดงทึบ ถึงกระนั้นพวกมันบางตัวก็ไม่วายแสดงความอยากรู้อยากเห็นคอยเฝ้าจับจ้อง อาคันตุกะผู้แปลกหน้า
นอกจากสัตว์ป่า ที่มีมากมายจนเหลือคณานับ ตลอดสายน้ำในลำธารแห่งนั้น ยังอุดมไปด้วยหมู่ปลาน้อยใหญ่สารพัดชนิด ทั้งปลาพลวงที่หากินอยู่เป็นฝูงๆตามวังน้ำที่ดูลึกลับ แต่ละตัวใหญ่โตขนาดขาอ่อน ปลาเล็กปลาน้อยก็มีมากมาย ทั้งปลาตะเพียน ขนาดฝ่ามือกางๆ ไปจนถึงปลาซิวปลาสร้อย ก็มีอยู่มากมายตามวังน้ำที่ตื้น บางครั้งพวกมันก็พากันว่ายหนีรวมกันเป็นกลุ่มๆ เข้าไปหลบตามป่ากกริมตลิ่ง ก่อนที่จะมีเสียงฮุบน้ำจนแตกกระจาย พร้อมๆกับปลาเล็กปลาน้อยที่พากันกระโดนหนีกันชุลมุน เพราะปลานักล่าที่มีขนาดใหญ่ไล่จับกินเป็นอาหาร
“แถวนี้สัตว์ป่าชุมจริงๆ”
“แถมเชื่องคนอีกต่างหาก”พรานพรกระซิบบอกพรานนำทาง ขณะยืนมองฝูงค่างบนยอดไม้ใหญ่
“จริงของเอ็ง”
“ถ้าแถวบ้านเรามีแบบนี้ พวกเราคงไม่มีวันอดตาย”พรานเบเสวนาตอบ
“ถึงมี ก็คงหมดไม่มีเหลือ”
“เดี๋ยวนี้มีแต่พรานกระจอกทั้งนั้น”พรานพรร้องตอบ
“ต่างคนต่างหากิน”
“จะว่าแต่เขาฝ่ายเดียวก็ไม่ถูก”พรานนำทางตอบ
“ขนาดนกเงือก ลิงลม ยังไม่เว้น”
“ลองให้มันมาถึงที่นี่กันสิ ป่าเตียนแน่ๆ”พรานพรกล่าวอย่างหัวเสีย
“ข้าว่ายาก ป่าแห่งนี้มันมีอาถรรพ์”
“ขนาดพวกเรายังจะแย่”พรานเบร้องบอก ก่อนจะมุดตัวรอดผ่านต้นไม้ที่ล้มขวางทางเดิน
“นั้นนะสิ”
“ขนาดพวกเรายังแย่ แล้วไอ้สิงห์ล่ะ มันตัวคนเดียว เป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้”พรานพรร้องตอบ ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่
“ข้าว่าไอ้สิงห์มันต้องรอด”
“มันต้องไม่เป็นอะไร”พรานนำทางกล่าว
“สาธุ..เจ้าป่าเจ้าเขา ได้โปรดช่วยคุ้มครองไอ้สิงห์มันด้วยเถิด”พรานพรกล่าวพลางยกมือพนมขึ้นท่วมหัว
ตลอดเส้นทางที่สองพรานพากันก้าวสำรวจ ไม่พบสิ่งใดที่เป็นเบาะแส หรือทำให้ระแคะระคาย ของชายหนุ่มที่สูญหาย นอกจากสัตว์ป่ามีชุกชุมเป็นพิเศษ ทั้งสัตว์น้อย สัตว์ใหญ่ มีมากมาย โดยเฉพาะนกป่านานาชนิด ครั้งหนึ่ง ขณะที่พรานนำทางกำลังสาระวน อยู่กับหนามหวายที่เกาะเกี่ยวติดที่ชายเสื้อ และจังหวะที่พรานพรกำลังช่วยปลดหนามอยู่นั้นเอง จู่ๆ กวางป่าขนาดใหญ่ก็กระโจนมายืนอวดโฉมอยู่ตรงหน้าในระยะประชั้นชิด ต่างคนต่างเบิกตาโพลนจ้องกัน เจ้ากวางหนุ่มเขางามมีท่าทีตื่นๆ เนื่องจากมันเองก็คงไม่รู้ว่า สิ่งที่มันเห็นคือมนุษย์ หรือ สัตว์ป่าแบบมัน กำลังยืนยักแย่ยักยันอยู่ที่ต้นหวาย หลังจากจ้องตากันอยู่ครู่ มันก็เดินเหยาะกายไปที่ริมน้ำ ก่อนจะก้มลงดื่มน้ำในลำธารสายนั้นอย่าใจเย็น พออิ่มได้ที่ก็กระโจนหายเข้าไปในดงทึบ เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ปล่อยให้ทั้งสองพรานยืนงงอยู่ที่เดิม
หลังจากตื่นเต้นเรื่องกวางใหญ่เขางามไม่ทันไร ก็มีสิ่งที่ทำให้ต้องตื่นเต้นเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะในจังหวะที่ทั้งสองพรานพากันเดินแหวกดงกก ที่ขึ้นอยู่หนาทึบริมตลิ่ง ก็ปรากฏเสียงโครมครามของลำธารเบื้องหน้า พร้อมๆกับอาการไหววูบของต้นกก นกกระยาง และนกเป็ดน้ำที่หากินบริเวณนั้นต่างพากันตื่นตกใจโผบินขึ้นท้องฟ้า เมื่อทั่งสองเดินเข้าไปใกล้บริเวณที่ต้องสงสัยของเสียงที่มา ก็ต้องตกใจ เพราะร่องรอยของต้นกก ต่างล้มลู่ไปเป็นทางยาว รอยนั้นยาวเป็นทางร่วมสิบวา ไล่ตั้งแต่เดินดินริมตลิ่งไปสิ้นสุดที่ริมน้ำที่ตอนนี้ขุ่นคลักไปด้วยโคลน ราวกับมีใครเข็นเรือลำใหญ่ลงน้ำ เมื่อก้มลงพิจารนารอยเท้า ที่ปรากฏอยู่เด่นชัด ก็ต้องพากันขนลุกเกลียว เพราะรอยที่เห็นลักษณะเป็นแฉกบ่งบอกที่มาของเจ้าของรอยอย่างชัดเจน
“ไอ้เข้!”
“แถวนี้มีไอ้เข้ด้วยหรือนี้”พรานเบร้องบอกเสียงสั่น
“เอ็งดูให้ดีสิไอ้เบ ตัวเหี้ ยหรือเปล่า”
“อย่าพูดเป็นเล่นไป ข้าเคยได้ยินคนเขาว่า มันชอบอยู่ตามบึง ไอ้นี่มันแม่น้ำ มันจะมีรึ”พรานพรกระซิบบอกพรานนำทาง
“ไม่ผิดแน่ เอ็งดูรอยตีนมัน”
“ตัวเหี้ ย มันไม่ใหญ่ขนาดนี้หรอก”พรานนำทางอธิบายรอยเท้าเปรียบเทียบกับรอยของตัวเงินตัวทอง พลางก้มตัวลงไปกางมือเทียบกับรอยเท้าที่ปรากฏ
“ป่าแหลกไปเป็นทางแบบนี้ ตัวคงจะใหญ่น่าดู”
“ระวังไว้ด้วย แถวนี้คงไม่เหมาะ”พรานเบร้องเตือนเพื่อนร่วมทาง ก่อนจะคว้าปืนที่สะพายบ่า มากำกระชับไว้ในมือแน่น
“ข้าว่าถอยก่อนดีกว่า ป่ากกข้างหน้าก็รกน่าดู”
“ไม่รู้จะเจอพวกมันอีกหรือเปล่า ออกไปตั้งหลักกันดีกว่า”พรานพรเสนอแผน พลางหันรีหันขวาง อย่างไม่ไว้ใจสถานที่
“ถอยก็ดี อันตรายเกินไป ไอ้สิงห์คงไม่ได้มาทางนี้”
“ถ้าเดินทวนน้ำขึ้นไปแบบนี้คงไม่เจออะไรแน่”พรานเบกล่าวอย่างคนใช้ความคิด
“ลง รอยอะไรก็ไม่เจอเลย”
“คงต้องย้อนกลับไปทางโน่นกันอีกที”พรานพรร้องบอกพลางบุ้ยปากไปทางสายน้ำตกเบื้องหลัง ที่ตอนนี้เห็นเป็นเงาตะคุ่มๆหลังม่านหมอง
หลังจากทั้งสองพราน สรุปและตัดสินใจได้ไม่นาน ก็ต้องพากันเดินย้อนกลับทางเดินเส้นเก่า แต่ครั้งนี้ ทั้งสองต้องใช้ความระมัดระวังเพิ่มขึ้นไปอีก ทุกฝีก้าวที่เหยียบย่ำ ล้วนแต่เต็มเปี่ยมไปด้วยความระแคะระคาย เพราะประสบการณ์ที่ผ่านมาสดๆร้อนๆ ได้สอนอะไรมากขึ้นไปอีก จระเข้ ที่ไม่คิดว่าจะได้พบเจอ ถึงจะไม่เห็นกับตา ว่าตัวตนและหน้าตาจะเป็นเช่นไร แต่ร่องรอยที่ปรากฏมันทำให้รับรู้ว่า ขนาดของมันใหญ่โตขนาดไหน ถ้าพลาดพลั้งโดนมันสุ่มโจมตี ก็เพียงครั้งเดียวเท่านั้นที่มันกัดร่างนิ่มๆของมนุษย์อย่างพวกเขาก็คงขาดเป็นสองท่อนอย่างง่ายดาย
เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร คณะเดินทางจะกับคนหายหรือไม่ โปรดติดตามตอนต่อไป