ใส่ปลา , หัวปลา , หางปลา , กาง หรือปลาที่กำลังจะเน่า ทิ้งไปมันน่าเสียดายมันน่าจะมีประโยชน์ มากกว่า หนึ่งชีวิต สองชีวิต หรือมากกว่านั้นที่ต้องเสียไป
การผลิตปุ๋ยน้ำชีวภาพจากสัตว์(ปลา)
วิธีการทำปุ๋ยปลาหมัก
ผู้เผยแพร่ : ดร.สุริยา สาสนรักกิจ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย โดยเป็นผลงานวิจัยจากการวิจัยระหว่าง ปี พ.ศ. 2538-2540
โดยใช้งบประมาณของ วท. ดร.สุริยาได้กล่าวไว้ว่า ปุ๋ยปลาหมักเป็นปุ๋ยน้ำชีวภาพที่ได้จากการย่อยสลายวัสดุเหลือใช้จากปลา ได้แก่ หัวปลา ก้างปลา หางปลา พุงปลา และเลือด
ผ่านขบวนการหมักโดยการย่อยสลายโดยการใช้เอนไซม์ ซึ่งเกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ หลังจากหมักจนได้ที่แล้ว จะได้สารละลายสีน้ำตาลเข้ม ประกอบด้วยธาตุอาหารหลัก ได้แก่
ไนโตรเจน ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม นอกจากนี้ปุ๋ยปลายังประกอบด้วยธาตุอาหารรองได้แก่ แคลเซียม แมกนีเซียม และกำมะถัน และธาตุอาหารเสริมได้แก่ เหล็ก ทองแดง และแมงกานีส
นอกจากนี้ปุ๋ยปลายังประกอบด้วยโปรตีนและกรดอะมิโน ซึ่งเกิดจากกระบวนการย่อยสลายของโปรตีนในตัวปลา ซึ่งจากข้อมูลทางวิชาการบ่งชี้ชัดว่ากรดอะมิโนสามารถจับตัวกับธาตุอาหาร
ปุ๋ยทำให้ ปุ๋ยสามารถดูดซึมเข้าสู่ต้นพืชได้เร็วขึ้น ซึ่งตรงกับคำบอกเล่าของเกษตรกรที่พบว่าปุ๋ยปลาหมัก ช่วยพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ เช่น ดอกไม้มีสีสดขึ้น ผลไม้มีคุณภาพดี และ
ช่วยเร่งการแตกยอดและดอกใหม่ ตลอดจนการเพิ่มผลผลิตของพืช
ดร.สุริยา สาสนรักกิจ ได้เสนอสูตรการทำปลาหมักไว้ ดังนี้
1. หมักโดยใช้เชื้อจุลินทรีย์ Lactobacillus plantarum
ในการหมักปุ๋ยปลาหมัก พบว่าได้ผลดี โดยการหมักเศษปลาจำนวน 100 กิโลกรัม ใช้กากน้ำตาล 20 ลิตรเติมเชื้อจุลินทรีย์ Lactobacillus sp. จำนวน 10 ลิตร คนให้เข้ากันใช้เวลาการหมัก
ประมาณ 1-2 เดือน ก็จะได้ปุ๋ยปลาหมักจากเชื้อจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์สำหรับพืชและสัตว์ นอกจากนั้นหลังจากหมักเป็นปลาหมักแล้วยังสามารถนำปลาหมักไปเป็นอาหารเสริมสำหรับสุกร ลดการ
ติดเชื้อของโรคทางเดินอาหารของสุกรอีกด้วย
2. หมักโดยการใช้กรดอินทรีย์
กรดอินทรีย์ที่นิยมใช้ในการผลิตปุ๋ยปลาหมักได้แก่ กรดมด (กรดฟอร์มิค หรือกรดกัดยาง) และกรดน้ำส้มสายชู (กรดอะซิติก) ซึ่งกรดทั้งสองมีการใช้กันอย่างแพร่หลายในประเทศเดนมาร์ค
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 1948 การใช้กรดทั้งสองชนิดในการผลิตปลาหมักเนื่องจาก กรดมดหรือกรดกัดยาง เป็นกรดที่หาได้ง่ายในพื้นที่ที่ทำสวนยาง ได้แก่ภาคใต้ ภาคตะวันออก และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ส่วนกรดน้ำส้มสายชูจะถูกนำมาใช้ในพริกดอง ซึ่งมีความเข้มข้นของกรด 5 เปอร์เซ็นต์ แต่ที่จะนำมาใช้ในการผลิตปลาหมักเป็นกรดน้ำส้มสายชูเข้มข้นที่เรียกว่า หัวน้ำส้ม สามารถหาซื้อได้ในตลาด
สดแทบทุกแห่ง
ขั้นตอนการผลิตปุ๋ยปลา
ปุ๋ยปลาสามารถผลิตได้โดยการนำเอาพุงปลาและเลือดปลามาทำการบดให้ชิ้นส่วนต่างๆเหล่านี้มีขนาดเล็กลง จากนั้นนำไปหมักโดยใช้กรดมดเข้มข้น (formic acid) หรือกรดน้ำส้มสายชูเข้มข้น
(acetic acid) ในปริมาณร้อยละ 3.5 มาผสมให้เข้ากันกับพุงปลาและเลือด นอกจากนี้ยังต้องเติมกากน้ำตาลในปริมาณร้อยละ 20 เพื่อช่วยดับกลิ่นคาวจากเศษปลา จากนั้นทำการคนให้เข้ากันและ
คนติดต่อกันอย่างน้อยเป็นเวลา 7 วัน ในระยะนี้จะสังเกตเห็นว่าพุงปลาเริ่มมีการละลายออกมาเป็นสารละลายเกือบหมดแล้วจากนั้นทำการหมักต่อไปอีกเป็นเวลา 21 วัน ในระหว่างที่ทำการหมักให้
คนปุ๋ยปลาเป็นครั้งคราว การหมักปุ๋ยปลาถ้าใช้เวลานานจะได้ปุ๋ยปลาที่มีคุณภาพและกลิ่นที่ดี บางครั้งปุ๋ยปลาที่หมักได้จะมีคุณภาพของปุ๋ยที่มีความแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับชนิดของวัตถุดิบและกระบวน
การหมัก แต่โดยทั่วไปแล้วจะมีธาตุอาหารไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบประมาณ 3.5 เปอร์เซ็นต์ โพแทสเซียม 0.5-1เปอร์เซ็นต์ และมีจุลธาตุดังกล่าวข้างต้น เป็นองค์ประกอบ
วิธีการผลิต
1 เศษปลาบดละเอียด 100 กิโลกรัม + ( ผสมกากน้ำตาล 20 กก. )+( กรดกัดยาง (ฟอร์มิค)3.5 ลิตร หรือ น้ำส้มสายชูเข้มข้น 3.5 ลิตร )
2 หมักในถังพลาสติก 30 วัน กวนวันเว้นวัน ถ้าให้ดี กวนทุกวัน
3 กลายเป็นปุ๋ยปลา
หลังจากหมักเป็นเวลา 1-2 เดือน แล้วปุ๋ยปลาจะมีกลิ่นหอมและกลายเป็นสีน้ำตาลเข้ม ก่อนนำปุ๋ยปลาไปใช้ต้องทำการสะเทินกรดที่เหลืออยู่ในปุ๋ยปลาเสียก่อน (กรดที่เหลือจะเป็นอันตรายต่อพืช
ทำให้ใบไหม้ถ้าใช้ในความเข้มข้นสูง) โดยการใส่หินฟอสเฟตบด (ปุ๋ยสูตร 0-3-0) ในอัตรา 10 กิโลกรัมต่อปุ๋ยปลาจำนวน 100 ลิตร หมักทิ้งไว้อีก 1 สัปดาห์ จึงนำปุ๋ยปลาไปใช้ได้
ในกรณีที่ไม่มีหินฟอสเฟต อาจใช้กระดูกป่นหรือปูนโดโลไมท์ หรือปูนขาว อย่างใดอย่างหนึ่งในอัตรา 10 กิโลกรัมต่อปุ๋ยปลา 100 ลิตร เช่นเดียวกันกับหินฟอสเฟต การหมักกรดอินทรีย์มีข้อดี คือ
กรดสามารถหาซื้อได้ง่ายกว่ากรดฟอสฟอรัส และสามารถนำไปใช้เลี้ยงสัตว์ได้ แต่มีข้อเสียคือ มีปริมาณธาตุอาหารฟอสฟอรัสต่ำ ดังนั้นหากมิใช่นำไปใช้กับเกษตรอินทรีย์จึงมักแนะนำให้ผสมปุ๋ยเกล็ด
ที่มีสูตรตัวกลางสูง เช่น 12-57-17 หรือ 10-30-20 หรืออาจเป็นปุ๋ยเม็ดเช่น 16-20- 0 หรือ 15-15-15 อย่างใดอย่างหนึ่งก็ได้จะทำให้ปุ๋ยปลาหมักมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น
วิธีการผลิตปุ๋ยน้ำขนาด 200 ลิตร (ปุ๋ยปลา)
ผู้เผยแพร่ : สำนักงานเกษตรอำเภอแหลมสิงห์ จังหวัดจันทบุรี
สูตรที่ใช้
1. ปลาหมัก จำนวน 40 กิโลกรัม
2. กากน้ำตาล (โมลาส) จำนวน 20 กิโลกรัม
3. หัวเชื้อปุ๋ยหมัก พด.-1 จำนวน 1 ถุง
ขั้นตอนการทำ
นำหัวเชื้อปุ๋ยหมัก พด.-1 มาละลายในน้ำอุ่น 20 ลิตร ผสมลงในถัง ขนาด 200 ลิตร พร้อมปลาหมักและกากน้ำตาล เติมน้ำสะอาดจนเกือบเต็ม แต่อย่าให้ถึงกับล้นประมาณ 80 เปอร์เซ็นต์
นำไนล่อนชนิดถี่มาปิดไว้เพื่อป้องกันแมลงวันวางไข่ หมักไว้ประมาณ 2530 วัน ในระหว่างนี้น้ำในถังจะเริ่มลดลง ให้เติมน้ำสะอาดลงไปอีก ใช้ออกซิเจนตลอดเวลาและหมั่นคนปุ๋ยอย่างน้อย
วันละ 23 ครั้ง ในกรณีใช้พ่นทางใบ ควรหมักให้นานกว่าปกติ ยิ่งนานยิ่งดี เพราะถ้านำมาใช้เร็ว อาจเกิดผลเสียทำให้ใบไหม้ได้
วิธีสังเกตดูว่าเมื่อไรจึงจะนำปุ๋ยน้ำมาใช้ได้
1. ระยะที่ 1 สังเกตน้ำปุ๋ยจะออกเข้มข้น เป็นฟองใหญ่ไม่แตกง่าย
2. ระยะที่ 2 ฟองจะค่อยๆ เล็กและแตกง่าย จะมีกลิ่นหอม
3. ระยะที่ 3 ฟองจะค่อยๆ เล็กลงมากๆ มีกลิ่นน้ำส้มคล้าย ๆกลิ่นแอลกอฮอล์และฟองจะละเอียดมาก
ประโยชน์ของการใช้ปุ๋ยน้ำ
1. ออกดอกเร็ว เก็บผลผลิตได้เร็ว ได้ผลผลิตปริมาณที่มากขึ้นและมีคุณภาพดี
2. ลงทุนน้อย ลดต้นทุนในการผลิตและสามารถผลิตไว้ใช้เองในครัวเรือน
3. ไม้ผลจะมีรากแข็งแรง ใบสวย ใบใหญ่และยังปรับให้สภาพพื้นที่ดินดี ไม่เสีย ไม่เปรี้ยว
วิธีใช้
1. กรณีใช้ฉีดพ่นทางใบ ใช้ปุ๋ยน้ำ 1ลิตร ต่อน้ำ 100150 ลิตรปริมาณการพ่น 710 วัน / ครั้ง
2. กรณีใช้ราดลงดิน ราดโคน ใช้ปุ๋ยน้ำ 1 ลิตร ต่อน้ำ 50 ลิตรปริมาณการใช้อย่างน้อยปีละ 34 ครั้งหรือ 3040 วัน/ครั้ง