ภาพที่ 1บทที่ 11
ตอนที่ 1
สายลมในยามบ่าย พัดผ่านมาตามช่องเขาดังครวญคราง ผสมกับเสียงแกว่งไกวของใบไม้และพุ่มไม้ไล่มาเป็นละลอกคลื่นตามกระแสลม ฟังดูอื้ออึงไปทุกทิศทางต้นไม้ใหญ่หลายต้นโอนเอนไปมาตามแรงลมเอื่อยๆ บางครั้งก็มีเสียงหักลั่นของกิ่งก้านที่แห้งพุพัง ตกลงพื้นเบื้องล่างดังโครมคราม ซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยไม้พรรณนานาชนิด ทั้งกล้วยป่า หวายหนาม และกระวาน ที่ขึ้นรกจนหนาทึบ เถาวัลย์ใหญ่หลายต้นพันเกาะเกี่ยวกันระโยงรยางค์แทบไม่มีช่องว่างให้ลอดผ่านไปได้ ราวกับตารางหรือตาข่ายผืนใหญ่ ที่ถูกยักษ์ถักทอขึ้นมาปกคลุมทั้งผืนป่า
ห่างออกไปไม่ไกลนักจากชายป่าที่หนาทึบไปด้วยไม้ใหญ่ที่ขึ้นเบียดเสียดเสียงอึกทึกของแม่น้ำกว้างใหญ่ ที่มีสายน้ำไหลเชี่ยวกราด ส่งเสียงคำรามดูครึกโครมไปทั่วบริเวณ สายน้ำใสจนมองเห็นกรวดหินและหมู่ปลาน้อยใหญ่ ที่พากันแหวกว่ายทานกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวและคดเคี้ยว บางช่วงกระแสน้ำนั้นก็ดูไหลเอื่อยราวกับจะหมดกำลัง เพราะบางตอนของลำธารสายนั้นดูกว้างขวางและตื้นเขิน แต่บางช่วงก็เชี่ยวกราดน่ากลัว เพราะเป็นโตรกแก่งหินแคบๆเหมือนคอขวด ทำให้กระแสน้ำที่ไหลมาอย่างมากมายมหาศาล อัดรวมกันที่ช่องหินแคบแห่งนั้น
ดวงอาทิตย์ทอแสงสีส้มอ่อน ตอนนี้กำลังจะลับเหลี่ยมเขาไปทุกขณะ เสียงนกกานานาชนิด ส่งเสียงเจื้อยแจ้วตามยอดไม้ใหญ่ ไก่ป่าหลายฝูงขับขัน สลับกันไปมาตามหุบเขาและชายดงทึบ เหมือนพวกมันจะร้องเตือนว่า เวลานี้ดวงอาทิตย์ใกล้อัสดงลงไปทุกที เฉกเช่นเดียวกับฝูงชะนีป่า ที่ห้อยโหนโยนตัวอยู่บนยอดไม้ใหญ่สูงลิบ ต่างพากันกู่ร้องโหวกเหวก ก่อนจะค่อยๆแทรกกายหายไปในพุ่มยอดรกเหนือยอดไม้ใหญ่ ไม่มีใครรู้ว่าพวกมันหายไปไหน นอกจากจะคิดเดาไปเองว่า พวกมันคงจะเตรียมหาที่หลับนอนตามคาคบไม้บริเวณใดสักแห่งบนยอดไม้สูงเหล่านั้น
สายลมในยามเย็นพัดผ่านมาตามช่องเขาอีกครั้ง ทำให้ยอดไม้และกิ่งใบ พากันสะบัดโบกแกว่งไกว พลิกไปมาจนดูเป็นมันวาว เพราะด้านใดด้านหนึ่งของมันสะท้อนกับแสงอาทิตย์ในยามเย็น พร้อมๆกับเสียงร่วงกราว ดังซู่ซ่า ของใบไม้แห้งที่หลุดปลิวออกจากขั้ว ก่อนที่พวกมันจะพากันลอยม้วนตลบไปมาในอากาศ ตามทิศทางของแรงลมนั้น ใบไม้แห้งบางใบลอยหายเข้าไปในดงทึบ บางใบก็ตกลงไปกองทับถบอยู่กับพื้นเบื้องล่าง ซึ่งตอนนี้ดูหนาเตอะไปหมดบ่งบอกถึงกาลเวลาที่เนิ่นนานของกองใบไม้แห้งเหล่านั้น และใบไม้แห้งบางใบก็พลัดปลิดปลิวตกลงมาบนผืนแผ่นน้ำ ทำให้ดูเหมือนเรือลำจิ๋ว ที่ล่องลอยอยู่ท่ามกลางแม่น้ำหรือมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ก่อนที่มันจะค่อยๆลอยลิ่วไปอย่างรวดเร็ว เพราะกระแสน้ำที่เชี่ยวกราด
เย็นย่ำลงไปทุกขณะ เพราะดวงอาทิตย์หายลับเข้าไปจากเหลี่ยมเขานานแล้ว เหลือไว้แต่บรรยากาศโพล้เพล้ ใกล้สนธยาลงไปทุกที ยิ่งเป็นบริเวณป่าไม้ที่รกทึบเช่นนี้ ยิ่งทำให้บรรยากาศมืดมัวมากกว่าปรกติ เสียงไก่ป่าที่เคยขันบอกเวลาก่อนใกล้ค่ำ มาบัดนี้พวกมันพากันเงียบเสียงกันหมดแล้ว เป็นสัญญาณว่าช่วงเวลาของสรรพสิ่งที่เริงร่าในยามฟ้าสาง ได้หมดสิ้นลงแล้ว แต่มันก็เป็นจุดเริ่มต้นในการออกหากิน ของสัตว์ป่าน้อยใหญ่บางจำพวก เสียง เป๊บๆ ของเก้งร้องโขกดังก้องจากหุบไหนสักแห่ง ติดตามด้วยเสียง ฮุกฮู...ของนักฮูกดังวังเวงในชายป่า ซึ่งตอนนี้เซ็งแซ่ไปด้วยเสียงกรีดปีกของแมลงนานาชนิด ถัดออกไปที่สายน้ำ นอกจากเสียงอึกทึกของแม่น้ำที่ไหลเชี่ยวแล้ว บางจังหวะก็มีเสียงฮุบของปลาใหญ่ดังตูมสนั่น ติดตามมาด้วยเสียงน้ำแ ตกกระจายโครมคราม จากฝูงนาคหลายสิบตัว ที่พากันออกหากิน ตามริมตลิ่งชายน้ำ แต่แล้วพวกมันก็ต้อง ชะงัก เมื่อมองเห็นวัตถุประหลาด พาดขวางเส้นทางหากินของพวกมัน ทำให้พวกมันเกิดอาการ พะว้าพะวง กับวัตถุประหลาดนั้น บางตัวก็ผลุบเข้าผลุบออก เก้ๆกังๆ ราวกับว่าจะไปต่อหรือจะถอยหลังดี แต่ก็มีบางตัว ที่ใจกล้า ทำจมูกยื่นเข้าไปใกล้เพื่อพิสูจน์กลิ่น แต่แล้วก็ต้องถอยหนีจนน้ำบาน เพราะกลิ่นที่สัมผัสได้นั้นไม่คุ้นเคย บางตัวก็ส่งเสียงร้องด้วยความตกใจ เพราะต่างแลเห็นวัตถุนั้นขยับไหวไปมาช้าๆ จึงทำให้นาคทั้งฝูงพากันส่งเสียงเอะอะกันระงมไปหมด ซึ่งพวกมันเองก็คงไม่รู้ว่า สิ่งที่มันเห็น หรือ วัตถุประหลาดนั้น คือ มนุษย์
ราวกับปาฏิหาริย์ หรือ ไม่ก็นรกเมิน ทำให้ชายหนุ่มยังมีลมหายใจอยู่ได้ ร่างที่นอนแน่นิ่งหมดสติมาเป็นเวลานาน จนไม่สามารถคาดเดาได้ว่า ร่างนั่นนอนแช่น้ำอยู่ริมตลิ่งนานแค่ไหน สัมผัสแรกที่ชายหนุ่ม ผู้หลุดพ้นจากมือพญายมไม่ใช่ความร้อนแรงดังอยู่ในนรกอย่างที่คิดไว้ แต่มันกลับเป็น ความเย็นยะเยือกราวกับถูกแช่แข็ง ติดตามมาด้วยอาการปวดระบมไปทั้งตัว นอกจากนิ้วมือทั้งสองข้าง ที่ขยับไปมาด้วยอาการสั่นเทา ดวงตาที่ฝ้าฟาง ก็ค่อยๆขยับกรอกไปมาภายใต้เปลือกตา ซึ่งความรู้สึกในตอนนี้มันหนักจนไม่สามารถจะเปิดมันขึ้นมาได้ มีเพียงแสงสว่างเลือนรางเท่านั้น ที่พอจะลอดผ่านเปลือกตาได้เพียงน้อยนิด
กาลเวลาเริ่มผ่านเลยไป นกกานานาชนิด เงียบเสียงลง พร้อมๆกับแสงสว่างที่ลับหายไปจากขอบฟ้าด้านทิศตะวันตก ราตรีกาลหมุนเวียนกลับเข้ามาอีกครั้ง หริ่งหรีด เรไร กรีดปีก ผสานเสียงระงมป่า พร้อมๆกับสรรพสัตว์น้อยใหญ่ ที่พากันออกหากินอย่างเริงร่า ปล่อยให้เหล่าสรรพสัตว์ที่เคยออกหากินในรุ่งอรุณได้หลับใหล ร่างที่นอนแน่นิ่งมาเป็นเวลานาน บัดนี้ สติสัมปชัญญะ เริ่มกลับเข้าคืนมาอีกครั้ง สิ่งแรกที่เห็น ขณะเปลือกตาค่อยๆเปิดออก นั้นก็คือ ร่างของใครคนหนึ่ง ถึงแม้มันจะดูเลือนรางจนเกือบจะมองไม่เห็นเค้าโครง แต่ชายหนุ่มพอจะจดจำภาพที่เห็นนั้นได้
“พ..พะ..พลับพลึง!”
“นั่น คุณจริงๆหรือนี่?”ชายหนุ่มร้องบอกออกมาด้วยเสียงอันแหบพล่า แต่ก็ไม่มีวี่แววที่เจ้าของร่างนั้นจะโต้ตอบใดๆ หรือแม้แต่จะขยับไหว
“พลับพลึง”
“นั่น ใช่คุณหรือเปล่า”พูดจบก็พยายามยันตัวลุกขึ้น แต่ดูเหมือนว่าเรี่ยวแรงที่เคยมีมันหายไปเสียหมด
“นี่เรายังไม่ตายหรือนี่...”
“แล้วที่นี่ มันที่ไหนกัน!” ชายหนุ่มนึกทบทวน ขณะสายตาของเขายังจับจ้องไปที่ร่างของหญิงสาว
“คุณได้ยินผมหรือเปล่าครับ”พูดจบก็ประคองร่างอันสะบักสะบอมไปที่ตำแหน่งที่เห็นร่างปริศนานั้น แต่แล้วก็ต้องหยุดชะงัก เมื่อสิ่งที่ตัวเองเห็นเป็นเพียง ขอนไม้ผุพังเท่านั้น
“หนาวเหลือเกิน ขืนปล่อยไว้แบบนี้เราคงหนาวตายแน่”ชายหนุ่มรำพึงกับตัวเองในใจ เพราะบรรยากาศตอนนี้เย็นยะเยือกลงไปทุกขณะ
“ไฟ! ใช่แล้ว เราต้องก่อไฟ”ชายหนุ่มเดนตาย นึกขึ้นได้ก็รีบใช้มือลูบตบไปตามตัว เพื่อหา ไฟแช็ค หรือไม่ก็ไม้ขีดไฟ ที่อาจจะพกติดตัวมาด้วย แต่แล้วก็ต้องถอดใจ เพราะเสื้อผ้าที่เปียกปอนและดูเหมือนว่าจะไม่มีสิ่งของทั้งสองชิ้นที่เขาปรารถนาอยู่เลยแม้แต่ชิ้นเดียว
ความท้อแท้ ความปวดร้าวระบมของร่างกาย ความเหน็บหนาวเยือกเย็นของอากาศ และความโดดเดี่ยวอ้างว้าง ราวกับโลกทั้งใบมีเขาแต่เพียงลำพัง ชายหนุ่มนั่งพิงขอนไม้นั่น พร้อมกับทอดสายตาไปตามสายน้ำอย่างปราศจากความหมาย กำลังวังชาที่เหมือนว่าจะกลับคืนมาเมื่อครั้งแรก มาบัดนี้กลับลดน้อยลงเพราะกำลังใจที่ถดถอย เนื้อตัวที่พอจะขยับได้ ตอนนี้ก็ดูเหมือนว่าจะชาไปทั้งร่าง เพราะอากาศที่เย็นจัด มนุษย์เดนตายกำลังนึกปลงต่อชีวิตของตัวเองอยู่ ครั้นแล้วพลันสายตาก็สะดุดเข้ากับอะไรบางอย่างที่ต้นไม้ล้มริมน้ำชีวิตที่เคยท้อแท้ในยามนั่นกลับดูเหมือนว่าจะมีกำลังใจเพิ่มมากขึ้นในทันที เมื่อเขามองเห็นสิ่งของที่อยู่ตรงนั้น ถึงแม้ว่าจะมองเห็นอยู่เลือนรางก็ตาม เขาก็จำสิ่งของสำคัญชิ้นนั้นได้ นั้นก็คือ เป้หลังของเขานั้นเอง
เหมือนชะตายังไม่ถึงฆาต หรือไม่ นรกก็ยังมีความปราณีอยู่บ้าง ชายหนุ่มรีบประคองร่างของตัวเองไปที่เป้หลังของเขา อย่างทุลักทุเล เขานึกขอบคุณเจ้าป่าเจ้าเขาไปพลาง เพราะถ้าไม่มีต้นไม้ที่ล้มขวางต้นนี้ไว้ เป้หลังของเขาก็คงจะหลุดหายไปตามกระแสน้ำ และคงไม่มีโอกาสได้พบอีก เพราะสายสะพายข้างหนึ่งของเป้หลัง เกี่ยวเข้ากับกิ่งก้านของมันพอดี ราวกับมีใครมาช่วยคล้องไว้ให้ ชายหนุ่มตาเป็นประกายก่อนจะคว้าสิ่งนั้นมากอดแนบกาย ราวกับสิ่งของชิ้นนั้นสำคัญยิ่งกับชีวิต โอกาสรอดมาถึงแล้ว ชายหนุ่มไม่รอช้า รีบเปิดสำรวจสิ่งของภายในทันที
เริ่มจาก ด้านใน เสื้อผ้าคงไม่ต้องพูดถึง เพราะทุกอณูของมันมีแต่น้ำ ห่อผ้าที่บรรจุกล่องลูกปืนอยู่หลายกล่องก็เปียกปอนไปหมด ซึ่งตอนนี้ชายหนุ่มเพิ่งจะนึกออกว่าปืนคู่กายของเขาได้หลุดหายไปเสียแล้ว นอกจากลูกปืนที่ไม่มีความหมาย ในเป้ใบนั้นยังมีแบตเตอรี่ของไฟฉาย ซึ่งก็ดูไร้ประโยชน์ เพราะตัวไฟฉายก็ไร้วี่แววเช่นกัน ถัดมาสำรวจช่องเก็บของด้านนอกเป้ของเขา ก็ใจชื่นกลับมาบ้าง เพราะนองจากอาหารกระป๋องที่เหลือกระป๋องสุดท้าย ในนั้นยังมีซองกันน้ำอย่างดี ภายในซองนั้นมีทั้งยาสามัญต่างๆ ทั้งยาฆ่าเชื้อ ยาแก้ปวด รวมถึงชุดทำแผล ก็ยังอยู่ในสภาพดีทั้งสิ้น
ถัดมาดูอีกช่องก็ปรากฏว่าภายในนั้น มีถุงเก็บเนื้อแห้งอีกพวง แต่ดูเหมือนว่าเนื้อแห้งพวงนั้นจะไม่แห้งเสียแล้ว เพราะถุงพลาสติกที่ถูกผูกปากถุงไว้อย่างหลวมๆ นอกจากถุงเนื้อเค็มแล้ว ยังมีถุงที่ภายในมีเทียนไขอีกสี่ห้าเล่ม แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพเดิมของมัน เพราะแต่ละเล่มหักเป็นท่อนๆ คงจะเป็นเพราะแรงกระแทกที่ครั้งหนึ่งชายหนุ่มได้เผชิญมา และช่องเก็บของช่องสุดท้าย นอกจากผ้าขนหนูผืนเล็กที่เปียกน้ำ ยังมีมีดพับเล่มเล็กของสวิสเซอร์แลนด์ที่อยู่ในสภาพเดิมของมัน และสิ่งของชิ้นสุดท้าย ที่ทำให้ชายหนุ่มดีใจจนเนื้อเต้นก็คือ ไม้ขีดไฟที่อยู่ในถุงพลาสติกที่เขาเองเป็นคนม้วนผูกปากถุงไว้อย่างดี ภายในกรักนั้น เมื่อลองเขย่าดูก็มีเสียงตอบกลับมา ราวกับเสียงจากสวรรค์ที่กระซิบบอกเขาว่า โอกาสรอดมาถึงแล้ว
ความมืดเริ่มโรยตัว แต่ปราศจากแสงดาวแสงเดือน ซึ่งตัวชายหนุ่มเองก็ไม่ระแคะระคายต่อความผิดปรกตินี่ อากาศเย็นยะเยือกราวกับอยู่ในตู้แช่แข็งขนาดใหญ่เวลานี้มากกว่า ที่ทำให้ชายหนุ่มทนทุกข์ทรมาน บวกกับบรรยากาศโดยรอบที่ดูน่าตระหนก ต้นไม้ใหญ่หลายคนโอบ ที่ขึ้นอยู่รายล้อม พอตกกลางคืนก็เห็นเป็นเงาทึบทะมึนดูหน้ากลัวรอบด้าน ราวกับว่ามีสิ่งหนึ่งสิ่งใดคอยจับจ่อมมองดูมนุษย์ผู้แปลกหน้า แต่ก็มีสิ่งหนึ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลงนั้น ก็คือสายน้ำที่กว่างใหญ่ ถึงแม้จะมองเห็นเป็นเพียงเงาสะท้อนบ้างประปราย แต่เสียงอึกทึกของมันยังคงอยู่
ภายใต้แสงเทียนที่สาดส่องอยู่เรืองๆ ชายหนุ่มพยายามเพ่งสายตาหาเชื้อฟืนแห้งรอบกาย ไม่ว่าจะเศษหญ้า เศษไม้ ที่พอจะหยิบจับได้บ้าง ขอเพียงให้แห้งเข้าไว้ เขาก็ไม่เกี่ยงงอนว่ามันจะเล็กแค่ไหน เมื่อรวบรวมมาได้ตามที่ต้องการ ก็นำมากองสุมกันใต้เพิงหินใหญ่ริมน้ำนั้น ซึ่งเขาเลือกเป็นที่หลบพักชั่วคราว เพราะมันเป็นสถานที่ ที่ดีและใกล้ที่สุดในเวลานั้น กองไฟถูกก่อขึ้นอย่างง่ายดาย ด้วยการต่อไฟด้วยเทียนที่เขาถือ ไม่ช้าไม่นาน กองไฟขนาดย่อม ก็ลุกโชนส่องแสงและไออุ่น ความร้อนของมันทำให้ชายหนุ่มบรรเทาความหนาวเหน็บได้อย่างมาก พร้อมๆกับกำลังใจที่เพิ่มขึ้นตามไปด้วย
สิ่งต่อไปที่เขาทำคือ สำรวจบาดแผลที่ฝ่ามือของเขา เลือดที่เคยไหลนองในครั้งก่อน ถึงตอนนี้ปรากฏแต่เพียงรอยเขี้ยวเป็นรู และ รอยช้ำจนบวมเป้ง ซึ่งเป็นผลงานของค้างคาวผีในถ้ำนรกนั้น ถึงตอนนี้ ยาสามัญที่นำติดมาด้วยจึงได้ทำหน้าที่ของมัน ไม่ว่าจะเป็น ยาล้างแผล ยาฆ่าเชื้อ และผ้าพันแผล ก็ถูกใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพ หลังจากจัดการบาดแผลเสร็จสิ้น ก็มาต่อด้วยอาหาร จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะเป็นเนื้อเค็ม เพราะถ้าปล่อยไว้นานอาจจะเสียของได้โดยใช่เหตุ เพราะมันถูกเปลี่ยนสภาพจากการถูกแช่น้ำมาเป็นเวลานาน โดยไม่มีพิธีรีตองชายหนุ่มโยนพวงเนื้อเค็มลงกองไฟทั้งพวง กลิ่นของเนื้อเค็มย่างส่งกลิ่นหอม จนทำให้ท้องของเขาร้องครวญคราง เพียงไม่นานหลังจากใช้เศษไม้พลิกเขี่ยไปมา เนื้อเค็มย่างก็สุกได้ที่ ถึงแม้จะอยากกินเสียให้หมดพวงเพราะความหิว แต่เขาก็ต้องตัดใจแบ่งเก็บไว้ส่วนหนึ่ง เพราะไม่รู้อนาคตในวันข้างหน้าว่า จะได้เจออาหารมื้อต่อไปเมื่อไหร่และอีกนานแค่ไหน เต็มที่ อาหารกระป๋อง คงจะเป็นอาหารมื้อสุดท้ายที่มีอยู่
หลังอาหารมื้อค่ำ พร้อมกับยาแก้ปวดอีกชุดใหญ่ กำลังวังชาของชายหนุ่ม จึงกลับเขามาเกือบจะเป็นปรกตินอกจากอาการปวดของมือ และ อาการปวดตามตัว ที่คอยจะขัดจังหวะชีวิตเป็นบางครั้งบางคราว ความเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยว พอมีแสงไฟเป็นเพื่อน ก็พอที่จะคลายความเหงาและความหน้าสะพรึงกลัวลงได้บ้าง ขึ้นชื่อว่า พระเพลิง ไม่ว่าจะอยู่ในสถานที่แห่งใด ก็มีความศักดิ์สิทธิอยู่ในตัวเสมอ เสื้อผ้าอาพรที่เคยเปียกปอน พอโดนความร้อนนานขึ้นก็เปลี่ยนสภาพมาเป็นความชื้น ชายหนุ่มไม่ปล่อยให้เสียเวลาเปล่า เขารีบจัดแจงผึ่งเสื้อผ้าเหล่านั้นบนก้อนหินใหญ่แทนราวตากผ้าอย่างดี สิ่งของชิ้นไหน ที่พอนำไปผิงกับไฟได้ ก็นำมาวางเรียงรายอยู่หน้ากองไฟ ถึงตัวเขาเองในตอนนี้ก็อยู่ในสภาพที่กึ่งเปลือยเช่นกัน เพราะถ้าขืนยังสวมใส่เสื้อผ้าเปียกๆไปตลอดคืน คงเป็นไข้หรือไม่ก็ปอดบวมตายสถานเดียว
ราตรีกาลเคลื่อนผ่านไปอย่างเชื่องช้า สรรพสำเนียงในยามวิกาล ทั้งที่แบบเคยชิน และแบบไม่คุ้นหูก็มีมากมายหลากหลายชนิด ทั้ง เก้ง กวาง บ่าง นกฮูก นกเค้าแมว บางครั้งก็ฟังดูน่ากลัว ผสานเสียงกับ แมลงนานาชนิด ที่พากันกรีดปีกบรรเลงไพร แต่แล้ววงดนตรีกลางไพร ก็ต้องเงียบเสียง เมื่อมีเสียง โฮก ของเสือโคร่ง ที่อยู่ลึกเข้าไปในดงทึบเบื้องหน้า เข้ามาขัดจังหวะวงบรรเลง จนทำให้มนุษย์ผู้แปลกหน้าถึงกับขนลุกซู่ เพราะไม่เคยพบมาก่อน บ่อยครั้งเขาก็ทนไม่ไหว เนื่องจากเสียงที่ได้ยินนั้นใกล้เข้ามาทุกขณะ ถึงตอนนี้ฟืนแห้ง ไม้ล้ม ที่พอจะหยิบคว้าได้เท่าไหร่ ก็ถูกกองสุมมากขึ้นเท่านั้น โชคดี ที่เขาเลือกชัยภูมิที่เหมาะสม เพราะเพิงหินที่ใช้หลบพักถูกรายล้อมด้วยก้อนหินขนาดใหญ่กลายเป็นกำแพงอย่างดี ดูไปแล้วเหมือนถ้ำย่อมๆ ถ้าพยัคฆ์ร้ายตัวนั้นเกิดนึกอยากลองชิมเนื้อมนุษย์ขึ้นมา ก็มีเพียงช่องด้านหน้าที่ติดลำน้ำใหญ่นี้เท่านั้น ถึงจะเข้ามาถึงตัวเขาได้ หรือถ้าข้ามลำน้ำนั้นมาได้ ก็ต้องผ่านกองไฟกองใหญ่อีกกอง แต่เหตุการณ์ที่ดูว่าจะเลวร้าย ตอนนี้กลับกลายไปในทิศทางที่ดี เพราะไม่นาน เจ้าของเสียงปริศนาที่ไม่ปรากฏกาย ก็เร้นหายเข้าไปในดงทึบ ราวกับว่ามันคงออกมาสำรวจอาณาเขต และบังเอิญพบกับสิ่งแปลกปลอม ที่มันเองก็ไม่เคยสัมผัสมาก่อนเช่นกัน
เหตุการณ์กลับมาสงบอีกครั้ง แต่ไฟกองใหญ่ยังไม่พร่องลง ตรงกันข้ามชายหนุ่มเดนตาย ยังก่อไฟเพิ่มขึ้นอีกกอง จึงทำให้ทั่วทั้งบริเวณที่เขาอยู่ ดูสว่างรอบทิศทาง พอที่จะมองบริเวณรอบด้านได้อย่างถนัด เผื่อมีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ก็ยังพอที่จะมีเวลา มองหาทางหนีทีไล่ได้ถูก อย่างน้อยๆก็มองเห็นซอกหินที่อยู่ด้านหลัง ที่พอจะแทรกกายเข้าไปหลบภัยได้บ้าง ในเมื่อสถานการณ์อาจดูว่าเป็นปรกติ แต่กระนั้นก็ยังไม่ประมาท ชายหนุ่มจึงจัดเตรียมสถานที่ให้ดูปลอดภัยและรัดกุมมากยิ่งขึ้น ทั้งกิ่งไม้แห้ง ที่ลากเอามากองปิดปากทางเข้า และก้อนหินขนาดเขื่องที่งัดเอามาขวางและจัดเรียงเป็นกำแพงสำหรับช่องทางที่เป็นจุดเสี่ยง รวมทั้งหอกไม้ปลายแหลม อีกสามเล่ม ที่ชายหนุ่มมานะนั่งเหลาด้วยมีดพับเล่มเล็กที่มีอยู่ ถึงจะดูไม่มีพิษสง แต่อย่างน้อยๆก็ดีกว่าไม่มีอาวุธอะไรเลย
ลมดึกพัดโชย โยกไม้ใหญ่ในดงทึบให้ไหวเอนอย่างเชื่องช้า ครั้นต้องแสงไฟจากกองฟืน ทำให้เกิดเป็นเงาทะมึน โยงไหวไปตามแรงลม ราวกับปีศาจร้ายในเงามืด ที่เคลื่อนไหวไปมาช้าๆ เพื่อรอจังหวะที่จะเล่นงานมนุษย์ตัวกระจ้อย ยิ่งดึกสงัดลงเท่าไหร่ ความเงียบและความวังเวงก็มีมากขึ้นเท่านั้น เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ไม่ทราบได้ ที่ชายหนุ่มนอนซุกกายอยู่ใต้ซอกหิน ความอ่อนล้า และความเจ็บปวด เป็นตัวกระตุ้นให้ร่ายกายหมดกำลัง บวกกับยาแก้ปวดที่เริ่มออกฤทธิ์ กลับทำให้ชายหนุ่มทนฝืนสังขารของตัวเองไม่ไหว ทั้งๆที่ตัวเองพยายามข่มใจสักเพียงใด แต่ก็ต้องพ่ายแพ้กับสังขาร ที่เหมือนจะร้องบอกเขาว่าไม่ไหวแล้ว.....
*****เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นเช่นไร ชายหนุ่มที่รอดจากขุมนรกออกมาได้ จะพบเจอกับสิ่งลี้ลับอะไรอีก โปรดติดตามตอนต่อไป*****
ผิดพลาด หรอตกหล่นอย่างไร ผมหนุ่มธุดงค์ไพร ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยนะครับ
แก้ไข 13 มี.ค. 58, 09:13