ผมมั่นใจเลยว่าถ้าคุณไม่เคยพูดเองก็คงต้องเคยได้ยินประโยคที่ว่า “ปืนสมัยนี้นะความประณีตสู้ปืนยุคเก่าไม่ได้ แม้แต่ปืนแบบเดียวกัน ปืนที่ผลิตใหม่ๆยังสู้ปืนเก่าๆไม่ได้เลย”
ทีแรกผมก็ไม่ค่อยจะเชื่อนะ ไม่น่าเป็นไปได้ วิทยาการด้านโลหะวิทยาก้าวกระโดดไปไกล เครื่องมือในการผลิตก็ดีกว่าแต่ก่อนมาก แต่พอได้สัมผัสกับปืนเก่าหลายกระบอกเข้าก็เริ่มจะคล้อยตาม
แต่ลองอ่านให้ดีนะครับ เราไม่ได้ว่าปืนรุ่นใหม่ไม่ดี เพราะจริงๆแล้วปืนรุ่นใหม่ล้วนใช้งานได้ดีเทียบเท่าหรือดีกว่าปืนรุ่นเก่าทั้งนั้น เพียงแต่ว่าเรากำลังพูดถึงความประณีตงดงามของฝีมือการผลิต สำหรับพวกเราคนรักปืนทั้งหลาย ใช่หรือไม่ว่าปืนมิได้เป็นเพียงอาวุธ หรือเครื่องมือ สำหรับเราปืนแต่ละกระบอกเปรียบได้กับงานศิลป์ที่มีความงามอยู่ตัวมันเอง และพวกเราก็มักจะใช้เวลาชื่นชมปืนที่มีอยู่มากกว่าการออกไปยิงปืนที่สนามเสียอีก
มีปืนในอดีตหลายกระบอกที่เป็นที่ถูกยกย่องว่าเป็นปืนที่ดีที่สุดที่เคยผลิตมา หลังจากที่มันถูกเลิกผลิตไปเป็นเวลานาน ผู้คนก็ยังเพียรพยายามที่จะเสาะหาและครอบครองสุดยอดปืนเหล่านี้ด้วยราคาที่แพงลิ่ว
คงจะเป็นกระแสการบริหารแบบหั่นต้นทุนลดราคาสู้กัน แล้วเน้นจำนวนไม่เน้นคุณภาพนี่ละที่ทำให้ช่างฝีมือในฐานะลูกจ้างของบริษัทใหญ่ๆเหล่านี้ไม่สามารถนั่งประดิษประดอยให้ปืนออกมาอย่างงดงามดั่งเก่าก่อน
หรือจะเป็นที่ว่าผู้บริโภคเดี๋ยวนี้ไม่มีรสนิยมพอที่จะชื่นชมกับปืนสวยงามที่ผลิตออกมาด้วยความตั้งใจเต็มฝีมืออีกต่อไป
หลายครั้งที่ขวนขวายเสาะหาปืนเก่าเหล่านั้นด้วยราคาที่สูงเกือบเท่า(หรือแพงกว่า)ปืนใหม่ ผมก็อดคิดไม่ได้ว่า ทำไมนะจึงไม่มีบริษัทปืนที่หวนคิดกลับมาทำปืนอย่างเต็มฝีมือดั่งเช่นวันวานมาขายกันอีกสักครั้ง
และแล้วสิ่งที่ฝันไว้ก็เกิดขึ้น
ท้าวความถึงที่มาของแฮนอีเจ็คเตอร์โมเดล
ในช่วงปี 1880 เป็นต้นมากองทัพสหรัฐเริ่มรู้สึกตัวว่าปืนสั้นประจำการของตนในขณะนั้นคือ โมเดิล 1873 ซิงเกิ้ลแอ๊คชั่นอาร์มี่ย์ ออกจะล้าสมัยไม่ทันเพื่อนฝูงที่หันไปใช้ปืนลูกโม่ดับเบิ้ลแอ๊คชั่นกันหมดแล้ว ปืนดับเบิ้ลแอ็คชั่นแบบแรกที่ทางกองทัพเรือเลือกใช้คือปืนโคล์ทนิวเนวี่ ที่ใช้กระสุนขนาด .38 โคล์ท(บางครั้งก็ถูกเรียกว่า .38 ลองโคล์ท) ซึ่งเป็นปืนที่เปิดโม่ออกทางด้านข้างแบบแรกของบริษัทโคล์ท
ภาพที่ 2โคล์ท 1873 ซิงเกิ้ลแอ๊คชั่นอาร์มี่ย์ หรือที่รู้จักกันแพร่หลายในชื่อ Colt SAA
ภาพที่ 3โคล์ท นิวเนวี่ ขนาด .38 โคล์ท ปืนลูกโม่ดับเบิ้ลแอ๊คชั่น
เห็นอย่างนั้นบริษัทสมิทแอนด์เวสสัน ก็ไม่ยอมน้อยหน้าเปิดตัว สมิทแอนด์เวสสัน แฮนด์อีเจ็คเตอร์ขนาด .32 ออกมา ในปี 1896 จากนั้นก็เอากระสุน .38 โคล์ทมาต่อความยาวสาวความยืดและเพิ่มดินปืนอีก 20เปอร์เซ็นต์ กลายเป็น กระสุน.38 สมิทแอนด์เวสสัน สเปเชี่ยล ที่เราๆท่านๆมีใช้กันทุกวันนี้ละครับ ปืนที่เปิดตัวออกมาพร้อมกระสุนขนาด.38 ในยุคแรกของแฮนด์อีเจ็คเตอร์นี้ก็คือโมเดิล 1899 ที่กลายมาเป็นโมเดล 10 มิลิทารี่แอนด์โพลิส ที่ครองใจตำรวจทั่วโลกต่อมาอีกร่วมร้อยปี
ภาพที่ 4สมิทแอนด์เวสสัน แฮนด์อีเจ็คเตอร์ขนาด .32
ภาพที่ 5สมิทแอนด์เวสสัน โมเดล 1899
แต่กระสุน .38โคล์ทที่ใช้ในกองทัพนี้ให้แรงปะทะต่ำกว่ากระสุน .45โคล์ทที่เคยมีใช้กันอยู่ในปืนซิงเกิ้ลแอ็คชั่นอยู่เกือบครึ่ง และรายงานจากภาคสนามในสู้รบระหว่างกองทัพสหรัฐกับชนเผ่าโมโรพื้นเมืองฟิลิปปินส์ก็ยืนยันเข้ามาว่าอำนาจหยุดยั้งของกระสุน .38โคล์ทไม่น่าเชื่อถือพอ มีรายงานหนึ่งที่แจ้งว่ายิงเข้าที่ปอดของนักโทษแหกคุกชาวโมโรคนหนึ่งถึงสามนัดแล้วยังวิ่งเข้ามาสู้กันต่อได้อีก เมื่อมีข่าวออกมาอย่างนี้ทหารอเมริกันก็วิ่งโร่กลับมาหาเพื่อนเก่าที่ชื่อโคล์ท ซิงเกิ้ลแอ็คชั่นอาร์มี่ .45 กันเป็นแถว ทางกองทัพเองก็ต้องตั้งโปรเจคที่จะหาปืน .45 กลับมาใช้อีกโดยเร่งด่วนแต่คราวนี้มุ่งไปที่ปืนออโตเมติกแทน(ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ โคล์ท 1911 ออโตเมติกผู้เป็นตำนาน)แล้วอย่างนี้จะมาบอกได้อย่างไรว่าขนาดไม่ใช่เรื่องสำคัญ
เมื่อมีข่าวออกมาอย่างนี้ทหารอเมริกันก็วิ่งโร่กลับมาหาเพื่อนเก่าที่ชื่อโคล์ท ซิงเกิ้ลแอ็คชั่นอาร์มี่ .45 กันเป็นแถว ทางกองทัพเองก็ต้องตั้งโปรเจคที่จะหาปืน .45 กลับมาใช้อีกโดยเร่งด่วนแต่คราวนี้มุ่งไปที่ปืนออโตเมติกแทน(ซึ่งเป็นต้นกำเนิดของ โคล์ท 1911 ออโตเมติกผู้เป็นตำนาน)แล้วอย่างนี้จะมาบอกได้อย่างไรว่าขนาดไม่ใช่เรื่องสำคัญ
ภาพที่ 6Colt 1911 ขนาด .45 ACP
มื่อทหารทำอย่างนั้น ผู้พิทักษ์สันติราษฎ์ที่เคยคาดปืนซิงเกิ้ลแอ็คชั่นขนาด.45 หรือ .44 ติดเอวก็เริ่มร้องเรียนให้ผู้ผลิตปืนสร้างปืนดับเบิ้ลแอ๊คชั่นให้พวกเขาบ้าง และในปี 1908 สมิทแอนด์เวสสันก็ตอบข้อเรียกร้องของพวกเขาด้วย ปืนที่ชื่อว่า นิวเซ็นจูรี่ และเปิดตัวออกมาพร้อมกับกระสุนชนิดใหม่ .44 สเปเชี่ยล
ภาพที่ 7S&W New Century Triple Lock ขนาด .44 สเปเชี่ยล ปืนลูกโม่ชั้นเยี่ยมที่สุดที่เคยผลิตมาในโลกใบนี้
เจ้านิวเซ็นจูรี่ นี้มีชื่อเล่นอีกชื่อคือ.44 ทริปเปิ้ลล็อค ซึ่งมาจากการที่มันมีกลไกสำหรับล็อกโม่ถึงสามจุดคือท้ายโม่, ปลายก้านคัดปลอก เหมือนปืนที่เราเห็นกันในปัจจุบันแถมด้วย ล็อคอีกอันระหว่างท้ายลำกล้องกับแกนหน้าโม่ ด้วยความงดงามของกลไกและความสุดยอกของฝีมือการผลิต เซียนปืนลูกโม่ทั้งหลายต่างลงความเห็นว่าเจ้าทริปเปิ้ลล็อคนี่ละคือปืนลูกโม่ชั้นเยี่ยมที่สุดที่เคยผลิตมาในโลกใบนี้ (ใครที่คิดว่าโคล์ทไพธ่อนของท่านเจ๋งที่สุดในโลกแล้ว กรุณาทราบไว้ด้วยว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า)
ภาพที่ 8ล็อคตัวที่สามหน้าแกนโม่ ที่มาของชื่อ Triple Lock
โชคไม่ดีที่ยุคนั้นเศรษฐกิจของอเมริกาค่อนข้างจะฝืดเคือง (แต่ก็ยังโชคดีที่สมัยนั้นยังไม่มีไอเอ็มเอฟ) ปืนงามๆอย่าง ทริปเปิ้ลล็อคจึงต้องเข้ากระบวนการหั่นต้นทุน (ยุคหลังนี่มักจะเรียกเสียหรูว่ารีเอ็นจิเนียริ่ง แต่แปลเป็นไทยง่ายๆว่าลดพนักงาน) สิ่งที่ตัดออกไปคือฝักหุ้มก้านคักปลอก และล็อคตัวที่สามที่ตรงหน้าโม่ ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่จำเป็นเพราะปืนของคู่แข่งคือโคล์ทมีล็อคจุดเดียวที่ท้ายโม่ยังขายได้ ปืนรุ่นนี้ออกมาวางตลาดในปี 1915 มีชื่อเรียกกันว่า แฮนด์อีเจ็คเตอร์โมเดิลสอง ถึงจะถูกลดต้นทุนลงไปแต่ก็ยังจัดว่าเป็นปืนที่ยอดเยี่ยมอยู่ดี
ชาติที่ 1 ในมือทหารหาญ
เพียงสองปีหลังจากที่กองทัพอเมริกันเลือกโคล์ท 1911 ออโตเมติกเข้าประจำการได้เพียงสองปี สงครามโลกครั้งที่หนึ่งก็เกิดขึ้น จำนวนปืน 1911 ประจำการนั้นมีอยู่เพียงน้อยนิด และจำนวนที่ผลิตได้ก็ยังจำกัด เมื่อเทียบกับจำนวนทหารที่เรียกระดมในขณะนั้น ลุงแซมจึงต้องหันซ้ายหันขวามองหาวิธีแก้ไข ........ทำไงดีล่ะ
ก่อนที่สงครามจะเริ่มขึ้นนั้น สมิทแอนด์เวสสันก็ได้มีสายการผลิตปืน แฮนด์อีเจ็คเตอร์โมเดิลสอง ในขนาด .455เพื่อส่งให้กับ กองทัพอังกฤษและกองทัพคานาดา ประธานบริษัทสมิทฯในขณะนั้นเห็นโอกาสเหมาะที่จะรับใช้ชาติและสร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองไปพร้อมๆกัน (ท่านนักการเมืองไทยกรุณาเอาเป็นแบบอย่างหน่อยนะครับ ไม่ใช่เอาแต่สร้างความมั่งคั่งกันสถานเดียว) จึงร่วมมือกับสรรพวุธอเมริกัน นำเจ้า แฮนด์อีเจ็คเตอร์โมเดิลสองนี้มาดัดแปลงให้ใช้ได้กับกระสุน .45 ออโตซึ่งเป็นกระสุนแบบไม่มีริม และนั้นคือกำเนิดของ สมิทแอนด์เวสสัน โมเดิล 1917
วิธีดัดแปลงก็คือออกแบบแผ่นเหล็กสปริงเป็นคลิ๊ป ครึ่งวงกลม เรียกกันว่า “ฮาล์ฟมูนคลิ๊ป” เป็นตัวเกาะท้ายกระสุนไว้ไม่ให้ผลุบเข้าไปในโม่ การคัดปลอกก็ทำได้ตามปรกติ และยังทำให้บรรจุกระสุนลงในโม่ได้พร้อมๆกันเป็นพวงๆละ 3 นัดอีกด้วย นอกจากนี้ยังเซาะร่องภายในโม่ให้มีบ่ารับกับปลอกกระสุน เพื่อให้สามารถใส่กระสุนทีละนัดได้โดยไม่มีคลิ๊ปในยามจำเป็นได้อีกด้วย แต่จะคัดปลอกไม่ออกต้องมานั่งกระทุ้งกันทีละนัด (ต่อมาบริษัทโคล์ทก็ได้นำปืนโคล์ทรุ่นนิวเซอร์วิส มาดัดแปลงด้วยวิธีเดียวกัน เพื่อส่งปืนให้กับกองทัพ โดยที่ปืนรุ่นนั้นเรียกว่า โคล์ท โมเดิล 1917)
ภาพที่ 10Smith & Wesson แฮนด์อีเจ็คเตอร์โมเดิลสอง ขนาด .455 Webley ที่ผลิตส่งให้กับกองทัพอังกฤษและคานาดา เป็นปืนที่ทั้งสองกองทัพนำไปใช้ในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเช่นกัน
ภาพที่ 11ภาพที่ 12สมิท 1917 ที่ผลิตให้กับกองทัพสหรัฐ เป็นปืน ลำกล้อง 5 1/2นิ้ว รมดำในลักษณะเดียวกับปืนพานิช นกและไกชุบแข็งแบบคัลเลอร์เคสฮาร์ดเดน ด้ามเป็นไม้วอลนัทเรียบไม่แกะเช็คเกอร์ ที่ส้นด้ามมีห่วงสำหรับคล้องสาย และที่ส้นด้ามตอกไว้ว่า “US Army/Model/1917” และด้านข้างของลำกล้องตอกว่า “S&W D.A. 45”
ภาพที่ 13ฮาฟมูนคลิ๊ปและ ฟูลมูนคลิ๊ปที่ช่วยให้ปืนลูกโม่คัดปลอกของกระสุน .45 ACP ที่ไม่มีขอบออกมาได้
สมิท 1917 ได้ร่วมรบเป็นอาวุธคู่กายของทหารอเมริกันจำนวนไม่น้อยในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง และทหารส่วนใหญ่กลับอยากจะได้ สมิท 1917 มากกว่า โคล์ท 1911 ออโตเมติก เพราะทหารในยุคนั้นไม่คุ้นเคยกับปืนออโตที่ต้องได้รับการดูแลอย่างถูกต้องจึงจะทำงานได้ดีในสนามรบ
สมิท โมเดล 1917 เป็นที่นิยมมากแค่ไหนลองดูจากตัวอย่างนี้ก็แล้วกัน คุณเคยสังเกตมั๊ยครับว่าปืนคู่มือของอินเดียน่าโจนส์ ที่อยู่ในซองหนังข้างเอวพระเอกแห่งยุค 1930 ผู้นี้คือปืนอะไร ใช่แล้ว สมิท โมเดล 1917นี่เองครับ (ในตอน Raiders of the lost arc และ The Temple of doom ส่วนตอน The last crusade อินดี้เปลี่ยนไปใช้ ปืนเวบเลย์ ขนาด .455)
ภาพที่ 14ด.ร.โจนส์ ยิงสู้กับคนร้ายบนรถบรรทุกด้วย 1917 ในเรื่อง Raider of the Lost Arc
ปืนของ Indy เป็นปืน โมเดล 1917 ที่ดัดแปลงตัดลำกล้องให้เหลือ 4 นิ้ว จากผู้ที่ศึกษาอย่างละเอียดเกี่ยวกับปืนในภาพยนต์เรื่องนี้ กล่าวว่าปืนที่ใช้ในฉากต่างๆมีสองกระบอก กระบอกที่หนึ่งที่เห็นชัดๆในตอนแรกที่ Indy จัดกระเป๋าเดินทางนั้นเป็น 1917 ขนาด .45 ACP ส่วนกระบอกที่ใช้ในฉากอื่นเป็น Hand Ejector 2nd Model ขนาด .455 Webley
ราบละเอียดจาก เว็บไซต์ indygear.com
ภาพที่ 15ในช่วงปี 1937-38 หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 1 กองทัพบราซิลก็ได้สั่ง โมเดิล 1917 จากบริษัทสมิทอีก 25,000กระบอก และในช่วงปี 1946-1949 บริษัทสมิทก็นำโครงปืนและชิ้นส่วนที่มีเหลืออยู่มาผลิตขายให้กับประชาชนทั่วไป และนั่นก็เป็นการผลิตครั้งท้ายสุดของ โมเดิล 1917
ชาติที่ 2 Model 22 ในมือพลเรือน
ในปี 1952 Smith & Wesson ผลิตปืนที่คล้ายกับ 1917 ออกมาอีกครั้งในชื่อ .45 Hand Ejector Model of 1950 สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปมีเพียง 3 อย่างคือ ชุดลั่นไกและนกที่มีจังหวะตวัดสั้นลง, กริปที่มีชื่อว่า Magna grip และการหายไปของห่วงคล้องสายที่ด้ามปืน
ภาพที่ 16.45 Cal Model of 1950 ที่กลายมาเป็น Model 22 ในเวลาต่อมา (ส่วนต่อหน้ากริปเป็นส่วนที่ใส่เพิ่ม)
.45 CAL Model of 1950 ผลิตจากปี 1952 มาจนถึง 1957 ก็เปลี่ยนชื่อเป็น Model 22 เพราะในช่วงนั้นเป็นครั้งแรกที่ สมิทเรียกชื่อรุ่นปืนทั้งหมดเป็นหมายเลข ผลิต มาจนถึง ปี 1961 ก็ปิดสายการผลิตไป ด้วยจำนวนผลิตเพียง 3,976 กระบอก
เดี๋ยวจะกลับมาที่ Model 22 กระบอกนี้กันอีกครั้งนะครับ
ชาติที่ 3 สมิท เอย่างที่ทราบกันครับ ว่าบริษัทสมิท มีแผนกช่างปืนพิเศษที่เรียกกันว่าสมิทเพอฟอร์มานส์เซ็นเตอร์ ทีมช่างทีมนี้มีหน้าที่ผลิตปืนในลักษณะคัสตอมเมดที่ผสมผสานเทคโนลี่ทางโลหะและเครื่องมือสมัยใหม่เข้ากับงานฝีมือที่เราโหยหา ปืนจากเพอฟอร์มานส์เซ็นเตอร์ ออกมาสู่ตลาดในจำนวนจำกัด โดยที่เปลี่ยนรุ่นออกไปเรื่อยๆ มีหลายรูปแบบตั้งแต่ปืนที่แต่งออกมาเพื่อการพกซุกซ่อนสำหรับผู้มีรสนิยม ไปจนถึงปืนเพื่อการแข่งขัน
ในปี 2002 ทีมเพอฟอร์มานส์เซ็นเตอร์ ทำเซอไพรซ์ โดยการนำปืนแห่งตำนานของ สมิทแอนด์เวสสันหลายรุ่นกลับมาสู่สายตาของเราอีกครั้ง ในนามของสมิท เฮอริเทจ ซี่รี่ (Heritage Series) ปืนในชุดนี้มีตั้งแต่ .44 สเปเชี่ยล แฮนด์อีเจ็คเตอร์, .45โคลท์ แฮนด์อีเจ็คเตอร์, .22 ลองไรเฟิล แฮนด์อีเจ็คเตอร์, โมเดล 1917 กระบอกนี้ ฯฮอริเทจซี่รี่ส์ 1917 เพอฟอร์มานส์เซ็นเตอร์ การกลับมาของสิ่งดีๆในวันวาน
ภาพที่ 17บอกตรงๆเลยว่าพอเห็นโฆษณาของสมิทในนิตยสารปืนต่างประเทศในครั้งแรกนั้นผมดีใจจนแทบตกเก้าอี้ และเฝ้ารอวันที่ร้านปืนในเมืองไทยจะสั่งปืนชุดนี้เข้ามาให้ยลโฉมกัน
แรกแกะกล่อง ผมก็ได้สัมผัสกับปืนกระบอกงาม เนื้อเหล็กขัดมันจนเรียบละออตา ผิวของปืนรมดำแบบสมิทไบร์ทบลูที่ไม่พบเห็นกันอีกแล้วในปืนยุคใหม่ ด้ามไม้วอลนัทเนื้องามแกะลายเช็คเกอร์คมและละเอียด รูปร่างของปืนคงสัดส่วนของปืนในยุคของ 1917 ไว้อย่างมีเสน่ห์และแปลกตาไปจากปืนตลาด ดูอะไรๆก็ถูกใจไปเสียหมด เรียกว่ารักแรกพบก็ว่าได้
ทีมเพอฟอร์มานส์เซ็นเตอร์ สร้าง โมเดล1917 ขึ้นมาใหม่จากโครงปืนโมเดิล 25 ซึ่งก็คือลูกหลานสายตรงของ โมเดล1917 มันไม่ใช้การก็อบปี๊หรือการทำเลียนแบบ แต่อย่างที่บอกก่อนหน้านี้ว่าเป็นการผสมผสานเทคโนโลยี่สมัยใหม่เข้ากับความงามแบบเก่าก่อน ดังนั้น เพอฟอร์มานส์เซ็นเตอร์ 1917 จึงต่างจาก โมเดล 1917เดิมอยู่บ้าง
ภาพที่ 18สมิท โมเดล 1917 มาในกล่องกระดาษแบบคลาสสิกดั้งเดิม ข้างในห่อกระดาษน้ำมันมาเช่นเดิม พอแกะห่อกระดาษออกมาก็ต้องตะลึงกับความงามของสัดส่วนและผิวพรรณ (ปืนนะครับ) ผิวโลหะขัดมันราวกับกระจก การรมผิวเป็นแบบไบรทบลูดั้งเดิมของสมิท ภาพเต็มตัวให้เห็นสัดส่วนที่แตกต่างไปจากปืนในตลาดปัจจุบัน
ภาพที่ 19ภาพที่ 20ด้านซ้ายมือตอกตราเพอฟอร์มานส์เซ็นเตอร์ไว้ จากภาพนี้ดูออกมั๊ยครับว่ามีอะไรแปลกไปจากปืนสมิทรุ่นปัจจุบัน เฉลย โมเดล 1917 กระบอกนี้มีสกรูไซด์เพลทสี่ตัวแทนที่จะเป็นสามตัวเหมือนรุ่นปัจจุบัน สกรูตัวบนของไซด์เพลตนี้หายไปจากปืนสมิทแอนด์เวสสันตั้งแต่ปี 1955 แต่ก็ยังไม่เหมือน 1917 ของเดิมซะทีเดียว เพราะรุ่นเก่านั้นมีสกรูตัวที่ห้าอยู่ที่หน้าโกร่งไกอีกตัวครับ