ภาพที่ 1 ความสำเร็จของคนเรามิได้วัดกันที่อายุ ผมเชื่อว่าคนหนุ่มสาวที่ประสบความสำเร็จคงมิได้เกิดจากความบังเอิญ
ความขยันมุมานะอย่างเดียวคงยังไม่เพียงพอที่จะหนุนนำให้พวกเขาก้าวไปสู่จุดหมายที่ตนต้องการ ความอ่อนน้อมถ่อมตน
อัธยาศัยที่ดีมีมนุษย์สัมพันธ์ต่อคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคนใต้บังคับบัญชา เพื่อนฝูง ฯลฯ การก้าวย่างไปบนทางเท้าเดียวกัน
อย่างไม่แสแสร้ง ย่อมได้รับความชื่นชมจากคนที่ร่วมสัญจรด้วย แม้ว่าจะเป็นเพียงไม่กี่วันที่ได้ร่วมทำกิจกรรมด้วยกัน
มันเพียงพอที่จะทำให้ผมรู้ว่าทำไม? ความสำเร็จจึงอยู่ในอุ้มมือของพวกเขา
ภาพที่ 2 เครื่องออลนิปอนแอร์ไลน์นำคณะทัวร์เราออกจากสนามบินสุวรรณภูมิตอน 9 โมงเช้า ราวบ่าย 2 ครึ่งของไทย
เราก็ถึงเมืองปลาดิบตามเวลาที่สนามบินนาริตาประมาณ 4 โมงเย็น
เรามีเวลา 3 ชั่วโมงโต๋แต๋ที่สนามบิน เปิบราเมงกันแล้วเราบินข้ามแปซิฟิกผ่านเส้นแบ่งเวลาสากล
แต่วันที่ไม่เปลี่ยนเท่ากับว่าเราบินจากเช้าวันที่ 25 ไปหาเช้าวันที่ 25 ใช้เวลาจากไทยถึงฮอนโนลูลูกว่า 13 ชั่วโมง
เราจะบินต่อไปฮาวาย แต่คุณกันเข้มงวดมากกับการเข้าเมืองของคณะทัวร์ไทย ขณะที่รอกระเป๋า
ไกด์แจ้งว่ากระเป๋าใส่เสื้อผ้าของใครที่ล็อคกุญแจให้ไปช่วยเปิดล็อกด้วย เนื่องจากตม.จะค้นกระเป๋าทุกใบ
อย่างนี้น่าจะแกล้งกันมากกว่าที่จะค้นหายาเสียสติ ทำให้เราตกเที่ยวบินที่จะบินต่อไปฮาวาย
เราโซ้ยสเต๊กกันที่ร้าน Stenyer Raysในสนามบิน แล้วเปลี่ยนโปรแกรมไปช้อปปิ้งที่ห้าง ALA MOANA SHOPPING CENTER
เพื่อรอเวลาขึ้นเครื่องตอน 1 ทุ่ม ซึ่งทางสนามบินจัดให้
ภาพที่ 3 ขณะที่เราจะออกจากประตูขาออก พวก ตม. ร่วมสิบคนยืนกอดอกขวางประตูไม่ยอมให้พวกเราออก
อ้างว่ามีคนเล็ดลอดเข้าเมืองโดยไม่ผ่านการตรวจ ต้องรอให้พวกเขาหาคนเถื่อนเจอก่อน ผมยกกล้องจะเก็บภาพ
พวกเขาห้ามถ่ายรูป ผมนั่งลงแล้วเอาสมุดออกมาบันทึกเหตุการณ์ได้ 2 3 บรรทัด พวกเขาก็ปล่อยพวกเราออกได้
หมายเหตุ.. ตอนที่เราลงจากเครื่องเข้าคิวรอตรวจคนเข้าเมือง เพียงแค่พวกเราไม่ยอมแยกแถวไปต่อแถวใหม่ตามที่
ตม.สาวบอก หล่อนจึงไปตามเจ้าหน้าที่หญิงอีกคนที่ตัวใหญ่กว่ามาตัดแถวพวกเราให้ไปต่อแถวอีกช่อง
แต่ก็ไม่มีใครทำตาม เพราะคิวแถวนั้นก็ยาวพอกัน ....เพียงแค่นี้เองละหรือ?....
ภาพที่ 4 โมงเช้าเสียงกริ่งโทรศัพท์ปลุกให้แต่งตัว แล้วขึ้นรถรางไปเปิบบุฟเฟ่ต์ที่อีกสถานีหนึ่ง
ภาพที่ 5 วันนี้เราจะไปชมอุทยานแห่งชาติ Volcano National Park ระหว่างทางเราแวะฉี่ช้อปที่ร้าน Food court
แล้วไปชมภูเขาไฟที่กำลังสลืมสลือ จุดถ่ายรูปชมปล่องภูเขาไฟมีรั้วหินกั้นเป็นแนวยาว
ไกลออกไปกว่าร้อยเมตรกลางปล่องภูเขาไฟยังมีควันไฟลอยฟุ้งตลอดเวลา มีกลิ่นกำมะถันโชยเข้าจมูกเป็นครั้งคราว
ร้านขายของที่ระลึกมีร้านเดียวติดกับจุดชมวิว ออกจากจุดนี้เราไปลอดถ้ำใต้ภูเขาและชมธารลาวาที่ดับแล้ว
จากนั้นเป็นรายการจัดหนักของคุณเปี้ยว ให้เราขึ้นเฮลิคอปเตอร์ชมภูเขาไฟพ่นลาวาขยายเนื้อที่เกาะฮาวายมากขึ้นทุกปีมากว่า 70 ล้านปีแล้ว
ภาพที่ 6 ฮ. ลำหนึ่งรับผู้โดยสารได้ 6 คน จึงต้องชั่งน้ำหนักแต่ละคนหาค่าเฉลี่ยจับกลุ่มให้ลงตัว
ฮ. พาบินรอบปล่องภูเขาไฟ 2 รอบแล้วบินชมน้ำตก Akaka Falls ที่สวยงาม มันยังเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเกษตรอีกด้วย
พืชเศรษฐกิจของฮาวายคือถั่วแมคคาเดเนีย ฮ.บินเลาะชายฝั่งทัศนาหน้าผาริมทะเลที่ทอดยาวรอบเกาะ ชมภูเขาเขียวขจีกลางแดดอ่อนยามเย็น
ลงจากเครื่องเราไปดินเนอร์แบบบุฟเฟ่ต์ชมการแสดงเต้นฮูลาลา โดยนักเต้นจะเชิญชวนแขกในงานขึ้นเวทีเต้นแร้งเต้นกาเป็นที่เฮฮาสนุกสนาน
ภาพที่ 7 เช้า 27 เราพร้อมกันที่ลอบบี้ก่อนเที่ยง เพื่อเดินทางกลับฮอนโนลูลู ข้าวเที่ยงเราแวะร้าน BITE ME ตั้งอยู่ริมท่าเรือ
ภาพที่ 8 พบเรือตกปลาลำหนึ่งกำลังจะออกล่าฝัน มันสะกิดต่อมกระสันหลั่งสารยากออกมาท่วมท้น
เมนูเนื้อปลาที่ร้านนี้จะมีให้เปิบเฉพาะปลาที่ล่าได้ในแต่ละวันเท่านั้น
ภาพที่ 9 ซีฟู้ดออเดิฟร์เป็นหอยเชลล์กับกุ้งมังกรเผา ไกด์รู้ใจเตรียมน้ำจิ้มซีฟู้ดจากไทยเอามาแทนน้ำจิ้มนมเนย
สเต๊กวันนี้เป็นเนื้อปลามาฮี ๆ เราบินกลับไปถึงฮอนโนลูลูราว 4 โมงเย็น
เราพักที่ Hyatt Regency Waikiki Hotel เข้าห้องเช็คกระเป๋าในห้องเรียบร้อยแล้วทุกคนมาพบกันที่ลอบบี้
พวกเราเดินจากที่พักไม่กี่ช่วงตึกก็ถึงภัตตาคารริมหาดไวกิกิเพื่อเปิบอาหารค่ำ
ภาพที่ 10 ออเดิฟร์เป็นขนมปังหั่นแท่งสี่เหลี่ยมนิ้วคูณนิ้วยาวไม่ถึงคืบ ต้องราดด้วยน้ำมันมะกอกจุ่มซอสเปรี้ยวให้รสชาติกลมกล่อมทานได้แบบไม่อั้น
ตอนนั้นราว 2 ทุ่ม อาหารตามสั่งของแต่ละคนถูกยกมาเสริฟ์พร้อมกันในคราวเดียวทุกโต๊ะ แต่ยังไม่ทันได้เปิบ
กัปตันแจ้งข่าวร้ายว่าเวลา 3 ทุ่ม สึนามิจะถล่มเกาะฮาวาย เขาเอากล่องให้เราใส่อาหารแล้วให้พวกเราออกจากร้านเดี๋ยวนั้นเลย
ภาพที่ 11 ขอกินเร็ว ๆ เขาก็ไม่ยอม ทุกคนต้องเทอาหารลงกล่องที่เขาเตรียมให้ แล้วออกจากภัตตาคาร
แขกไทยจีนฝรั่งโดนไล่ออกหมด บางคนถือคอกเท็ลเต็มแก้วติดมือไปด้วย ระหว่างทางที่หอบข้าวกล่องกลับโรงแรม
ฝนโปรยปรายลงมาช่วยเสริมบรรยากาศให้น่าระทึกยิ่งขึ้น
เราอาศัยโต๊ะที่ระเบียงชั้น 22 เป็นที่เปิบอาหารรอชมสึนามิ เสียงจากลำโพงในห้องเตือนให้ปิดประตูหน้าต่างอยู่แต่ในห้อง
แต่ผมสังเกตตามระเบียงโรงแรมหลายแห่งใกล้ ๆ กันมีแสงแฟลซ์ แว๊บ ๆ ตรงนั้นทีตรงนี้ที
เสียงไซร์เรนจากรถบนถนนดังเป็นระยะแจ้งเตือนผู้คนข้างฟุตบาท บนถนนไร้เงารถ โชคดีคืนนั้นเราไม่เจอนางสึนามิ
ภาพที่ 12 เช้า 28 เราจะไปบุก เฟิร์ลฮาร์เบอร์ (Pearl Harbour ) สมรภูมิรบสมั้ยสงครามโลกครั้งที่สอง
สุสานเรืออริโซน่าจมพร้อมลูกเรือกว่า 1,000 คน การกระตุกหนวดเสือของญี่ปุ่นครั้งนี้เป็นชนวนเหตุทำให้ญี่ปุ่นแพ้สงคราม
กระเป๋าสะพายทุกชนิดต้องฝากไว้ที่ห้องเก็บสัมภาระห้ามนำเข้าอนุสรณ์สถาน
แล้วเข้าดูหนังชมเหตุการณ์ช่วงสงครามที่ญี่ปุ่นลอบโจมตีฐานทัพเรือ จากนั้นนั่งเรือเข้าชมอนุสาวรีย์ซึ่งสร้างคร่อมซากเรือแม่อริโซน่า กับรายชื่อลูกเรือที่เสียชีวิต
รัฐบุรุษถ้าไม่ยึดถือธรรมะเป็นวิถีแห่งตน โลกก็จะไม่มีวันเกิดสันติภาพ
ออกจากเฟร์ลฮาร์เบอร์ เราไปช้อปปิ้งกันที่ Waikele Premium Outlet แม้จะมีเวลากว่าครึ่งวันให้เราช้อป
แต่มหาอำนาจนักช้อปอย่างพี่ไทยก็ยังไม่ได้ของครบตามที่ตนต้องการ
ออกจาก Outlet เราไปโผล่ที่ MORTONS THE STEAK HOUSE ร้านสเต๊กชื่อดังในฮาวาย
เช่นเคย ขนมปังจะถูกเสริฟ์ก่อนตามด้วยสเต๊กเนื้อ เนื้อแกะ ปลา ไม่ว่าใครจะสั่งเมนูไหนก็จะมีกุ้งอบ 3 ตัวโตเนื้อเด้งแถมมาด้วยทุกจาน
ตบท้ายด้วยเค้กหลายเมนูให้เลือก
7 โมงเช้าวันที่ 29 กริ่งจากโรงแรมดังเตือนเช่นเคย เช้านี้ใครที่ยังช้อปไม่อิ่มใจ มีรถตู้ส่งไปละลายดอลล่าร์ที่ Outlet อีกรอบ
เที่ยงเราไปเปิบอาหารจีนที่ภัตตาคารจีน เมนูกุ้งมังกร เป็ดปักกิ่ง อาหารจานใหญ่กว่า 8 จานสำหรับ 4 5 คน เสริฟแบบไม่เกรงใจใคร
ภาพที่ 13 อิ่มแล้วไปชมพระราชวังอิโอลานี ซึ่งเป็นพระราชวังเพียงแห่งเดียวในอเมริกา ชมอนุสาวรีย์พระเจ้าคาเมฮาเมฮา
กษัตริย์ผู้ครองเกาะฮาวาย คนพื้นเมืองมีหน้าตาเป็นอัปลักษณ์ไม่เหมือนฝรั่งที่เราหลับตานึกเห็นภาพ
ภาพที่ 14 อาหารค่ำ ดินเนอร์บนเรือชมพระอาทิตย์ตกน้ำ ออเดิฟร์ซาลาเปาเผือกจิ้มครีมอาร่อยมากตามด้วยกุ้งมังกร
สเต๊กเนื้อ ปลาตามเลือกอีกจาน ตบท้ายด้วยเค้กช็อกโกแลตอีกชิ้น ผมไม่แปลกใจว่าทำไมพวกฝรั่งจึงตัวโต
เช้า 30 วันนี้เราได้โชเฟอร์สาวชาวพื้นเมืองเป็นผู้กุมชะตากรรมของพวกเรา พาชมDiamond Head
เป็นปล่องภูเขาไฟที่ดับแล้ว จากจุดจอดรถต้องเดินขึ้นเขาอีกไกลกว่าจะถึงปากปล่อง พวกเราจึงได้แต่ชมวิวบริเวณที่จอดรถ
เกาะฮาวายเกิดจากลาวาภูเขาไฟทับถมกัน ต้นไม้ไพรพฤกษ์ได้รับแร่ธาตุอุดมสมบูรณ์จึงเขียวชอุ่ม
มะพร้าวแต่ละต้นสูงชะลูดเสียดฟ้าแต่ไม่เห็นผล ต้นหางนกยูง จามจุรี ฯลฯ สองข้างทางได้รับการตกแต่งกิ่งก้านแลราวกับต้นบอนไซยักษ์
ภาพที่ 15 โชว์เฟอร์สาวพาเราเลาะถนนขอบเขาขึ้นไปชมหน้าผาพาลี Pali Lookout ซึ่งเป็นหน้าผาที่ชนพื้นเมืองสละชีพ
แบบยอมตายไม่ยอมแพ้ เมื่อถูกชนเผ่าจากเกาะอื่นนำกองทัพเรือแคนูกว่าพันลำบุกยึดเกาะได้สำเร็จ
ภาพที่ 16 ตรงจุดจอดรถพบไก่ป่าฝูงหนึ่งเดินอวดสีสรรแบบไม่กลัวคน ตรงหน้าผาจุดชมวิวลมแรงมาก
ยามแรงลมปะทะตัวแทบหงายหลัง ถ่ายรูปเป็นที่ระลึกแล้ว แวะรับประทานอาหารไทยกึ่งเวียดนามที่ร้าน PHUKET THAI
ตำส้ม ต้มยำกุ้ง ฯลฯ รสชาติลูกครึ่งไทยฝรั่ง บ่ายนี้เราจะไปชมโพลินีเซียน คัลเจอ เซ็นเตอร์ (Polynesian Cultural Center)
เป็นแลนด์มาร์คที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว สร้างจำลองความเป็นอยู่ของชนเผ่าต่าง ๆ ของหมู่เกาะฮาวาย
ชมการแสดงวัฒนธรรมของแต่ละชนเผ่า
ได้พายเรือไปตามลำน้ำที่ขุดขึ้นเป็นระยะทางสั้น ๆ สาว ๆ และไม่สาวมีชุดเช่าแต่งตัวแบบชนเผ่าพื้นเมือง
สีสันสดแสบตาตั้งท่าโพสรูปเก็บเอาไว้รำลึกว่าครั้งหนึ่งเคยมา ณ ที่แห่งนี้
ภาพที่ 17 กลับถึง Hotel ก็เย็นแล้ว มีเวลา 2 ชั่วโมงตามนัดดินเนอร์ที่ริมหาดไวกิกิ
ลงจากห้องก่อนเวลานัด ย่ำเท้าไปบนบาทวิถีพบหุ่นสีตะกั่ว เขาคงตั้งไว้ให้นักท่องเที่ยวถ่ายรูป
มีเก้าอี้เตี้ยๆด้วย อาซ้อนั่งลงเตรียมแอ๊คชั่นโพสท่าให้ถ่ายรูป เจ้าหุ่นก้มตัวลง ทำเอาอาซ้อร้องกรี๊ดวิ่งหนียิ่งกว่าหนีสึนามิซะอีก
จริงๆแล้วเป็นคนใส่ชุดสีตะกั่วทาสีทั้งตัวยืนนิ่งเหมือนหุ่น ใครจะถ่ายรูปด้วยต้องเสียกะตังค์ครับ
อิ่มอาหารมื้อค่ำแล้วเราย่ำเท้าไปบนเม็ดทรายหาดไวกิกิกลับที่พัก ระหว่างทางพบนักตกปลา 3 ท่านปักเบ็ด 5 คัน
ตกปลาอยู่ริมชายหาดใช้กุ้งกับหมึกเป็นเหยื่อ มีฟองเบียร์เป็นเพื่อนแก้เหงา พวกเขาพึ่งมาวางเบ็ดได้ครู่เดียว ยังไม่มีปลาติดเบ็ด
ทักทายอาโลฮากันแล้วขอตัวกลับที่พัก พรุ่งนี้เราจะอำลาฮาวายบินกลับบ้านเราปลารออยู่
อาโลฮาครับ