กาลครั้งหนี่งนานมาแล้ว มีอาแปะกับลูกชายอาศัยอยู่ที่เชิงเขา ทำนาเลี้ยงหมูเลี้ยงไก่เพื่อยังชีพโดยมีม้าแก่ๆตัวหนึ่งไว้ใช้งาน
วันหนึ่งอาแปะกับลูกชายตื่นขึ้นมาพบว่าม้าแก่เพียงตัวเดียวได้หายไปจากคอก อาซิ้มหมู่บ้านเดียวกันจึงมาเยี่ยมไถ่ถามและพูดว่า "ลื้อนี่ซวยจริงฯ" อาแปะมองหน้าอาซิ้มแล้วตอบอย่างไม่แยแสว่า "อั๊วไม่เห็นว่าจะซวยยังไง"
หลังจากนั้นอีก 2 วันเจ้าม้าแก่ก็กลับมาแต่มันไม่ได้กลับมาเพียงตัวเดียว มันยังพาม้าป่ากลับมาอีก 6 ตัว อาซิ้มก็มาเยี่ยมอีกแล้วพูดว่า "ลื้อนี่เฮงจริงฯ" อาแปะมองหน้าแล้วตอบแบบมะนาวไม่มีน้ำว่า "อั๊วไม่เห็นว่าจะเฮงตรงไหน"
หลังจากที่ม้าหายไปเพียง 2 วันอาแปะก็มีม้ามาใช้งานในไร่นาเพิ่มขึ้นถึง 7 ตัว งานหนักจึงตกเป็นของลูกชายของอาแปะที่ต้องฝึกม้าที่ได้มาใหม่ทั้ง 6 ตัว วันหนึ่งลูกชายอาแปะเกิดพลาดพลั้งตกม้าจนขาหัก อาซิ้มก็มาเยี่ยมอีกแล้วพูดว่า "ลื้อนี่ซวยจริงๆ ไปทำบุญล้างซวยซะบ้างนะ" คราวนี้อาแปะก็ตอบเช่นเดิมว่า "อั๊วไม่เห็นว่าจะซวยอะไร"
หลังจากนั้นอีกครึ่งเดือน ทางการมีหมายจากเมืองหลวงมาแจ้งกับกรมการเมืองให้เกณฑ์ชายฉกรรจ์เพื่อไปรบที่ชายแดน ผู้ชายทั้งหมู่บ้านจึงถูกเกณฑ์ไปเป็นทหาร มีเพียงลูกชายของอาแปะเพียงคนเดียวที่ไม่ต้องไปเสี่ยงชีวิตในสนามรบ เพราะขาหัก ... !!!
นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า คนฉลาดจะไม่แบ่งแยกดี-แย่ให้ชัดเจน เพราะในสิ่งที่แย่ก็อาจมีสิ่งที่ดีซ่อนอยู่ และในสิ่งที่ดีก็อาจมีสิ่งที่แย่ซ่อนอยู่เช่นกัน ผู้มีปัญญาจึงมองทุกอย่างเป็นกลางด้วยสติ ไม่ยินดีไม่ยินร้ายกับสิ่งต่างๆมากนัก