กรณีศึกษาเรื่อง 'ความโกรธ' ของ คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย
18 ม.ค. 56, 15:10
1
มีเรื่องการจอดรถในอาคารกับการควบคุมอารมณ์มาให้อ่านกันครับ
ส่วนตัวไม่รู้จักคุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย แต่อ่านเรื่องราวแล้ว อยากมาให้แบ่งปันกัน
เหตุเกิดที่ลานจอดรถ : กรณีศึกษาเรื่อง `ความโกรธ´ ของ คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย
หลายปีก่อน มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้ผมได้ เห็น ความโกรธชัดเจนที่วิ่งเข้ามาเยือนจิตใจ
บ่ายวันหนึ่ง...ผมต้องไปงานศพกะทันหัน ไม่ได้ทราบก่อนล่วงหน้า จึงไม่ได้เตรียมใส่ชุดดำ คนขับรถก็ลาพอดี
เลยต้องขับรถกลับมาที่ทำงานเพื่อ เปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนไปงานฯ
ปกติที่ออฟฟิศมีที่จอดรถประจำ
ปรากฏว่า...วันนั้นมีคนอื่นมาจอดรถในที่ของผมเอง และของบริษัทหมด ...วนรถอยู่นานพอสมควร เลยตัดสินใจจอดในที่ของคนอื่นเพราะเห็นว่าว่างๆอยู่
คิดในใจว่าขออนุญาตจอดสัก 10 นาที วิ่งไปเปลี่ยนเสื้อกลับมาคงไม่เป็นไร... เจ้าของที่คงยังไม่มา
พอเปลี่ยนเสื้อกลับมาที่รถ ปรากฏว่า...มีรถคันหนึ่ง ซึ่งน่าจะเป็นเจ้าของที่จอดนั้น มาจอดขวางรถเราเอาไว้ แถมยังเข้าเกียร์ล็อคไว้อีกต่างหาก เลื่อนไม่ได้
ตอนแรกกะว่าจะให้ยาม ช่วยไปเชิญเจ้าของรถมาเลื่อนให้ แต่เกรงว่าจะไปงานศพไม่ทัน เลยตัดสินใจขึ้นรถแท็กซี่ไป
คืนนั้นกว่าจะสวดศพเสร็จกว่าจะรํ่าลาเจ้า ภาพก็ดึกพอสมควรผมก็นั่งรถแท็กซี่กลับไปที่ บ้าน ลืมเรื่องรถไปเลย
------
เช้าวันรุ่งขึ้น... ผมเดินมาที่รถซึ่งจอดเอาไว้เมื่อคืน ตาก็ต้องเบิกกว้างขึ้น!!
เพราะยางรถแบนแต๋ดแต๋ ติดพื้น 2ล้อเลย พอเห็นยางรถแบนเท่านั้น ความโกรธก็วิ่งเข้ามาในใจอย่างรวดเร็วและ รุนแรง
เป็นอาการบางอย่างที่ไม่เคยเห็นอยู่ในใจ แต่พอเรามีสติเข้าไป เห็น ความโกรธที่ วิ่งเข้ามา ก็หายไปโดยฉับพลัน ความโกรธไม่มีเลย
ใจกลับเป็นปกติซึ่งเป็นสิ่งที่แปลกมากกับ ตัวเอง
ส่วนใหญ่จะโกรธกับเรื่องใดเรื่องหนึ่ง เป็นเวลาอย่างน้อยครึ่งวัน แม้จะพยายามปลอบใจตัวเองว่า อย่าโกรธอย่าโกรธ แต่พอเผลอ แว็บ ความโกรธก็จะวิ่งเข้ามาสู่ใจ
แต่พอมีสติเข้าไปเห็นทันความโกรธเท่านั้น ความโกรธเงียบหายไป
จำได้ว่าโกรธอยู่เพียง 3-5 วินาทีเท่านั้น เร็วมากๆ แล้วความโกรธก็ หายไป ไม่รู้หายไปไหนไม่กลับมาอีก
สิ่งที่เกิดขึ้นคือ... ระหว่างที่ขึ้นลิฟท์จากชั้นที่จอดรถ มาบนออฟฟิศ เราเกิดปัญญาบางอย่างที่จะ จัดการกับเหตุการณ์นี้ด้วยสติ
เป็นปัญญาที่ปกติตัวเองจะไม่สามารถคิดได้ขนาดนั้น
มันเหมือนเป็นอาการสว่างวาบแล้วเกิดปัญญา ประมาณนั้น!
-------
พอถึงออฟฟิศ ผมก็สั่งเลขาฯ ให้ไปตรวจสอบว่า...
เจ้าของรถทะเบียนคันที่จอดรถขวางผมคือ ใคร แล้วช่วยจัดดอกไม้ให้หน่อย เดี๋ยวจะเอาดอกไม้ไปให้เขา
เลขาฯ ผมก็สงสัยทำไมต้อง เอาไปให้เขามากรีดยางรถผมแท้ๆ
ไม่ใช่แค่เลขาฯ เท่านั้นที่โกรธแทน พนักงานทั้งออฟฟิศโกรธกันหมด
พนักงานวิ่งส่งเอกสารวิ่งมาเลย บอกว่านายๆ เดี๋ยวผมจะเอาไม้ไปทุบ กระจกรถมันดีไหม
ยามของอาคารก็วิ่งขึ้นมาบอกว่า...
คนที่กรีดยางรถผมเป็นฝรั่งเจ้าของบริษัท ทัวร์ที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองไทย
เขาทำอย่างนี้มาหลายครั้งแล้ว โดนกันหมด ทั้งกรีดรถ กรีดยางรถ โดนกันประจำ เขาเป็นคนนิสัยแบบนี้
ผมบอกทุกคนว่า... ใจเย็นๆ รถผมเอง ไม่เป็นไร ผมไม่เป็นไร อย่าโกรธนะ..
แล้วผมก็เอากระเช้าดอกไม้ขึ้นไปที่ออฟฟิศเขา ซึ่งตลกมากเพราะอยู่ตรงกันข้ามกับสำนักพิมพ์ดี เอ็มจีซึ่งผมเช่าไว้คนละชั้นกับออฟฟิศบริษัทประชาสัมพันธ์
คิดอยู่ในใจว่า อืม..ออฟฟิศ อยู่ตรงข้ามกันอยู่ชั้นเดียวกันแท้ๆ ยังมาทำกันขนาดนี้!
-------
ผมพยายามจะขอพบเขา แต่เขาไม่ ออกมาพบ ส่งจีเอ็มคนไทยและพนักงาน 2-3 คน ยืนทำหน้าถขึงขังกันอยู่หน้าออฟฟิศ
แล้วถามผมว่าคุณใช่ไหม จอดรถทับที่เจ้านายเขา ...โวยวายกันใหญ่แต่เขาคงไม่รู้ว่านายเขากรีดยางรถผม
ผมไม่ได้รับเชิญให้นั่ง และได้รับการยืนยันว่า นายเขาไม่ออกมาพบแน่นอน ปล่อยให้ยืนถือ ดอกไม้อยู่อย่างนั้น
ผมยืนอยู่สักพักหนึ่งเห็นว่า... คุณฝรั่งคนนั้นไม่ออกมาแน่ เลยอธิบาย เหตุการณ์ทั้งหมดให้ลูกน้องเขาฟัง
พอทุกคนได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มเปลี่ยนท่าทีเชิญให้ผมนั่ง ดูเหมือนว่าตกใจที่นายเขามากรีดยางรถเรา
ผมบอกว่าตั้งใจเอาดอกไม้มาขอโทษเจ้านายคุณ สำหรับสิ่งที่ผมผิดพลาดในการจอดรถทับที่ของเขาเมื่อบ่ายวานนี้
แต่ผมมีเหตุจำเป็น คือต้องรีบไปงานศพ และที่จอดรถของผมและของบริษัทฯมีรถจอดเต็มทั้งหมด
และสิ่งที่อยากขอร้องคือเราอยู่ในตึกเดียวกัน น่าจะพูดกันดีๆ ไม่น่าจะต้องมาทำอะไรแบบนี้
หากเขาไปทำกับคนอื่นคงเดือดร้อน แต่สำหรับผม ผมไม่เดือดร้อน มีคนคอยดูแล เอารถไปเปลี่ยนยางได้
อย่างไรก็ตาม...ผมฝาก คำขอโทษไปถึงนายคุณด้วย
พูดจบแค่นั้น ผมก็ขอตัวลงมาทำงาน
-------
ปรากฏว่า...ก่อนเที่ยง วันเดียวกัน เลขาฯ และทีมงานเฮกันลั่นออฟฟิศ
เพราะได้รับตะกร้าผลไม้ใหญ่มาก พร้อมแชมเปญยี่ห้อแพงจากฝรั่งคนนี้ (เสียดาย ไม่ดื่ม!)
เลขาฯ หัวเราะมากกว่าคนอื่น เพราะ สารภาพว่าไม่ได้สั่งดอกไม้ แต่ไปเอากระถางต้นไม้ในครัวมาผูกโบว์ โชคดีที่มีฝีมือเลยออก มาสวยงามพอให้ผมถือไปมอบให้เขาได้
ลงทุนไม่ถึงร้อยบาท แต่ได้รับกลับคืนมามากกว่าหลายเท่า!
แต่สิ่งที่ผมถือว่าเป็นรางวัลแท้จริง คือข้อความในจดหมายที่แนบมา (อุตส่าห์ส่งสาส์นรัก Love Note มาด้วย)
เขาบอกว่าทุกครั้งที่เขาได้ สั่งสอน คนไทยที่ไม่มีระเบียบวินัย ชอบมาจอดรถในที่ของเขา และไปทำแบบนี้ จะรู้สึก สะใจ
เหมือนว่าได้ Give them a lesson! คือให้บทเรียนกับคนที่ไม่มีวินัย
แบบนี้ยิ่งมีการมาโวยวายกันมากเท่าไรเขายิ่งรู้สึกสะใจมากขึ้น ว่าบทเรียนที่ให้ไปนั้นได้ผล ทำให้คนไทยสำนึก
แต่เขาบอกว่า...ผมมาแปลกที่เอาดอกไม้มา ขอโทษ แถมยังอธิบายเหตุผลด้วย และได้เห็นตัวอย่างว่า ผมก็ไม่โกรธที่มีคนอื่นมาจอดรถทับที่ผม
ทั้งที่สองบริษัทฯ ของผมดูแล้วน่าจะมีที่ จอดมากกว่าบริษัทเขาบริษัทเดียว
สรุปแล้ว... เขารู้สึกสำนึกว่าไม่ควรทำเรื่องแบบนี้ เขารู้สึกไม่ดีและอยากขอโทษ
เป็นครั้งแรกจริงๆที่รู้สึกแบบนี้
ในย่อหน้าสุดท้ายเขาบอกว่า...
ในฐานะที่ผมทำ บริษัทประชาสัมพันธ์ เขาก็เป็นบริษัททัวร์ชั้นนำ ขอมาเป็นลูกค้าได้หรือไม่
สรุปว่า...จากการที่ เราเจอเหตุการณ์แย่ๆ เราสามารถพลิกให้คน สำนึกได้ด้วยตนเอง และยังแถมมาเป็นลูกค้าอีก เป็นอานิสงส์ของสติจริงๆ
ผมไม่ได้รับเขามาเป็นลูกค้า ไม่ใช่ว่ากลัวจะโดนอะไรอีก
แต่เผอิญตอนนั้นเรามีลูกค้าเต็มมืออยู่แล้ว
และหลังจากนั้นเหตุการณ์การกรีดยางรถ หรือกรีดรถรอบคัน ในที่จอดรถของอาคาร ก็ไม่มีอีกต่อไป
-------
ใครชอบ ใครชัง ช่างเถิด
ใครเชิด ใครชู ช่างเขา
ใครเบื่อ ใครบ่น ทนเอา
ใจเรา ร่มเย็น เป็นพอ...
--------
Credit : คุณดนัย จันทร์เจ้าฉาย