โรคลมแดด (Heatstroke หรือ Heat illness หรือ Heat-related illness) เป็นภาวะที่เกิดจากมีความร้อนในสิ่งแวดล้อมสูง เช่น ในฤดูร้อนจัด จนร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนที่เกิดจากการใช้พลังงานของร่างกายตามปกติได้ จึงก่อให้เกิดอาการผิดปกติขึ้น ซึ่งเรียกว่า โรคที่สัมพันธ์กับความร้อน (Heat illness หรือ Heat-related illness หรือ Heat stress) โดยเมื่อมีอาการรุนแรงที่สุด เป็นภาวะที่ต้องได้รับการรักษาฉุกเฉิน เพราะอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้ เรียกว่า โรค/ภาวะลมแดด (Heatstroke)
โรคลมแดด เป็นโรคที่พบได้บ่อยขึ้น เมื่ออยู่ในช่วงฤดูร้อน เมื่อต้องทำงานกลางแดดจัด เป็นเวลานาน ในนักกีฬา หรือในทหารที่ต้องฝึกหนักกลางแจ้ง
โรคลมแดดเกิดได้อย่างไร?
โรคลมแดดเกิดจาก มีการเพิ่มอุณหภูมิในสิ่งแวดล้อมส่งผลให้ร่างกายกำจัดความร้อนจากการเผาผลาญพลังงานออกไม่ได้ตามปกติ ส่งผลให้ร่างกายมีอุณหภูมิสูงขึ้นกว่าปกติ จึงก่อให้เกิดอาการต่างๆขึ้น ทั้งนี้อุณหภูมิC,Celsius)ปกติของร่างกาย คือ 37 องศาเซลเซียส ( ปกติ ร่างกายมีการเผาผลาญพลังงานอยู่ตลอดเวลาเพื่อใช้ในการดำรงชีวิต ทั้งนี้ตัวควบคุมระดับอุณหภูมิในร่างกาย คือ สมองส่วนไฮโปธาลามัส/Hypothalamus (สมองใหญ่ส่วนอยู่ลึก) ส่วนอวัยวะอื่นๆที่เข้ามาเกี่ยวข้องเพื่อช่วยระบายความร้อนออกจากร่างกาย คือ ประสาท อัตโนมัติที่ควบคุม การเต้นของหัวใจ การหดและขยายตัวของหลอดเลือด ซึ่งเป็นตัวนำพา (Convection) ความร้อนให้กระจายไปทั่วตัว และผ่านความร้อนออกทางผิวหนังเป็นหลัก โดยการระเหย (Evaporation) คือทางเหงื่อ นอกจากนั้น ความร้อนบางส่วนออกไปกับลมหายใจ
นอกจากการพา ดังกล่าวแล้ว เราเองยังช่วยระบายความร้อนจากร่างกายออกได้โดย
การนำ (Conduction) เช่น การอาบน้ำ การวางกระเป๋าน้ำแข็ง
การพา (Convection) เช่น การพัด การใช้พัดลม
การแพร่กระจาย (Radiation) เช่น การสวมใส่เสื้อผ้าสีขาว หรือสีอ่อนเพื่อช่วยสะท้อนแสง อาทิตย์ออกไป
และการระเหย (Evaporation) เช่น การสวมใส่เสื้อผ้าหลวมๆ และใช้เนื้อผ้าที่ความร้อนระ เหยได้ดี เช่น ผ้าฝ้าย 100%
เมื่ออุณหภูมิในสิ่งแวดล้อม (อากาศ) สูงขึ้น จะส่งผลให้ร่างกายเพิ่มอัตราการเผาผลาญพลังงาน (Metabolic rate) ให้สูงขึ้นตามไปด้วย โดยมีการศึกษาพบว่า ร่างกายจะเพิ่มการเผาผลาญพลังงานเพิ่มสูงขึ้น 10% เมื่ออุณหภูมิของ อากาศเพิ่มขึ้นทุกๆ 0.6 องศาเซลเซียส ดังนั้นร่างกายจึงต้องมีการปรับตัว และเราเองต้องช่วยระบายความร้อนด้วยวิธีการดังกล่าวแล้ว ซึ่งถ้ากระบวนการระบายความร้อนทั้งหมดดังกล่าวแล้วทำได้ไม่ดี จะส่งผลให้อุณหภูมิร่างกายสูงขึ้น จนก่อให้เกิดอาการ หรือ โรคลมแดดตามมาในที่สุด
ใครบ้างมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคลมแดด?
ผู้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคลมแดด ได้แก่
ผู้สูงอายุ เนื่องจากมีโรคประจำตัวหลายโรค กินยาบางชนิดที่อาจก่อให้การระบายความร้อนของร่างกายลดลง รวมทั้งอวัยวะต่างๆที่ทำหน้าที่ระบายความร้อน เช่น หลอดเลือด หัวใจ และปอดยังทำงานเสื่อมลง นอกจากนั้น ผู้สูงอายุมักดื่มน้ำน้อย ช่วยเหลือตัวเองได้น้อย และต้องพึ่งพาผู้อื่นในการใช้ชีวิตประจำวัน
เด็ก โดยเฉพาะเด็กอ่อน และเด็กเล็ก เพราะร่างกายเด็กมีการเผาผลาญพลังงานสูงกว่าในผู้ใหญ่ อวัยวะต่างๆรวมทั้งที่ใช้ช่วยระบายความร้อนยังมีขนาดเล็ก และเด็กยังต้องได้รับการดูแลจากผู้อื่น
โรคอ้วนและน้ำหนักตัวเกิน เพราะผิวหนังมีไขมันมาก จึงระบายความร้อนได้ไม่ดี นอกจากนั้น มักมีโรคประจำตัว หรือ อวัยวะต่างๆรวมทั้งอวัยวะที่ช่วยระบายความร้อนมีการทำงานได้น้อยกว่าเมื่อ เทียบกับคนปกติ
คนมีโรคประจำตัว ที่ต้องกินยาหลายชนิด ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อระบบการระบายความร้อนของร่างกาย เช่น ยาลดความดันโลหิตบางชนิด ยาลดความอ้วน ยาขับน้ำ ยาแก้ท้องผูก (ยาถ่าย) ยากันชัก และยาทางจิตเวชบางชนิด
นักกีฬา คนทำงานกลางแดด เช่น ทหาร เกษตรกร กรรมกร และผู้ที่ออกกำลังมากเกินควรโดยเฉพาะกลางแจ้ง
ติดสุรา หรือดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ช่วงอากาศร้อน เพราะเพิ่มการขับน้ำออกจากร่างกาย
บางคน (พบได้น้อย) มีพันธุกรรมที่ทนต่อความร้อนได้น้อยกว่าคนทั่วไป
โรคลมแดดมีความรุนแรง และมีอาการอย่างไร?
โรคจากอากาศร้อนแบ่งตามความรุนแรงจากน้อยไปหามาก ได้เป็น 5 ระดับ คือ การขึ้นผื่นแดด (Heat rash) การเกิดตะคริวแดด (Heat cramp) การหมดสติชั่วคราวจากแดด/ร้อน (Heat syncope) การหมดแรงเพราะแดด/ร้อน (Heat exhaustion) และโรคลมแดด (Heat stroke)
ผื่นแดด(Heat rash) ผิวหนังชื้นแฉะจากเหงื่อ จึงเกิดผื่นคันเม็ดเล็กๆ สีออกชมพู (ผด) ซึ่งเกิดได้กับผิวหนังทุกส่วน โดยเฉพาะ ลำคอ ในร่มผ้า และตามข้อพับต่างๆ
ตะคริวแดด (Heat cramp) กล้ามเนื้อหดเกร็งจากการสูญเสียน้ำและเกลือแร่มากทางเหงื่อ ส่งผลให้เกิดอาการปวด/เจ็บกล้ามเนื้อ พบบ่อยบริเวณหน้าท้อง แขน และขา
การหมดสติชั่วคราวจากแดด/ร้อน (Heat syncope) อาการคือ อ่อนเพลีย วิง เวียน และหมดสติชั่วคราว
การหมดแรงเพราะแดด/ร้อน (Heat exhaustion) อาการคือ เหงื่อออกมาก เพลีย หมดแรง กล้ามเนื้อเป็นตะคริว มีไข้ต่ำๆ ดูซีด หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว ตื้น เหนื่อย วิง เวียน สับสน
โรคลมแดด (Heatstroke) อาการคือ เหงื่อออกมาก ผิวหนังร้อน สั่น กล้ามเนื้อเป็นตะคริว ปวดศีรษะ พูดช้า สับสน เห็นภาพหลอน หายใจเร็ว ตื้น เหนื่อย หัวใจเต้นเร็ว มีไข้สูง หมดสติ ช็อก โคม่า และเมื่อให้การรักษาไม่ทัน อาจเสียชีวิตได้
แพทย์วินิจฉัยโรคลมแดดได้อย่างไร?
แพทย์วินิจฉัยโรคลมแดดได้จาก ประวัติอาการ ประวัติเจ็บป่วยทั้งในอดีตและปัจจุบัน การกินยา ประวัติการอยู่กลางแดด หรืออากาศร้อน การทำงาน เล่น ออกกำลังกาย การตรวจร่างกาย การตรวจเลือดดูค่าเกลือแร่ต่างๆ และอาจมีการตรวจอื่นๆเพิ่มเติม ขึ้นกับอาการผู้ป่วยและดุลพินิจของแพทย์ เช่น การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เป็นต้น
รักษาโรคลมแดดอย่างไร?
แนวทางการรักษาโรคลมแดด คือ การช่วยให้ร่างกายระบายความร้อนออกได้โดยเร็วที่ สุด เช่น ประคบเย็นทั้งตัว และให้น้ำและเกลือแร่ชดเชยจากที่เสียไปกับเหงื่อ อาจโดยการดื่ม หรือ ทางหลอดเลือดขึ้นกับความรุนแรงของอาการ และการรักษาประคับประคองตามอาการ เช่น ยาแก้ปวดศีรษะ เป็นต้น
โรคลมแดดมีผลข้างเคียงอย่างไร?
ผลข้างเคียงจากโรคลมแดด คือ ภาวะหมดสติ และช็อก ซึ่งเป็นสาเหตุให้เสียชีวิตได้
ดูแลตนเองอย่างไร? ควรพบแพทย์เมื่อไร?
การดูแลตนเอง การพบแพทย์เมื่อมีปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดอาการต่างๆจากอากาศร้อน แดดร้อน หรือลมแดด คือ
หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่แดดจัดเป็นเวลานาน พยายามอยู่ในที่ร่ม มีอากาศถ่ายเทได้ดี มีลมพัด/มีพัดลม ใช้พัดช่วย หรือใช้เครื่องปรับอากาศ
เมื่อออกแดด ใช้ร่ม หรือ สวมหมวกปีกกว้าง
สวมใส่เสื้อผ้าหลวม ผ้าที่ระบายอากาศได้ดี (ผ้าฝ้าย 100%) สีขาวหรือสีอ่อน
ดื่มน้ำสะอาดเพิ่มมากขึ้น อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้ว แต่เมื่อเหงื่อออกมากและเริ่มเพลีย อาจต้องดื่มเครื่องดื่มเกลือแร่ด้วย ทั้งนี้เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะขาดน้ำ
หลีกเลี่ยงการเล่นกีฬา หรือการออกกำลังกายที่เสียเหงื่อมากในช่วงอากาศร้อน
งดการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จำกัดหรืองดดื่ม เครื่องดื่มกาเฟอีน เพราะเครื่อง ดื่มเหล่านี้เพิ่มการขับน้ำทางปัสสาวะ ร่างกายจึงเสียน้ำและเกลือแร่มากขึ้น
การดูแลตนเองเมื่อเกิดผื่นแดด นอกเหนือจากการดูแลโดยทั่วไปดังกล่าวแล้ว การดู แลตนเองเมื่อเกิดผื่นแดด คือ การอาบน้ำบ่อยขึ้น การทาแป้ง และทายาบรรเทาอาการคัน เช่น น้ำยาคาลามาย (Calamine lotion) ระวังอย่าเกา เพราะแผลเกาอาจติดเชื้อได้ ดังนั้นจึงควรตัดเล็บให้สั้น
การดูแลตนเองเมื่อเกิดตะคริวแดด คือ รีบกลับเข้าพักในที่ร่ม อากาศเย็น ถ่ายเทได้ดี ดื่มน้ำผลไม้ หรือน้ำเกลือแร่ พักการทำงานอย่างน้อย 2-3 ชั่วโมง เพราะถ้ารีบกลับไปทำงาน มักทำให้อาการรุนแรงขึ้น แต่ถ้าอยู่ในกลุ่มมีปัจจัยเสี่ยงดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อปัจจัยเสี่ยง ควรรีบพบแพทย์ตั้งแต่แรก รวมทั้งเมื่ออาการตะคริวเลวลง หรือไม่ดีขึ้นใน 1 ชั่วโมง
การดูแลตนเองเมื่อวิงเวียนจะเป็นลมจากอากาศร้อน เมื่อเริ่มมีอาการดังกล่าวแล้ว ควรรีบเข้าที่ร่ม อากาศถ่ายเทได้ดี นั่งลง หรือนอนเอนตัว ปลดเสื้อผ้าให้หลวมสบาย จิบน้ำ หรือ เครื่องดื่มเกลือแร่ช้าๆ และถ้าอาการไม่ดีขึ้น หรือ เลวลง รีบไปโรงพยาบาลฉุกเฉิน
การดูแลตนเองเมื่อหมดแรงจากแดด คือ การเข้าพักในที่ร่ม อากาศเย็น ถ่ายเทได้ดี ดื่มน้ำมากๆโดยเฉพาะน้ำเย็น งดดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และถ้าอาการไม่ดีขึ้น หรืออาการเลวลง ควรรีบไปโรงพยาบาลฉุกเฉิน
การดูแลตนเองเมื่อมีอาการลมแดด คือ การไปโรงพยาบาลฉุกเฉิน
ป้องกันโรคลมแดดอย่างไร?
การป้องกันโรคลมแดด ได้แก่ การดูแลตนเองในเรื่องทั่วไป ดังได้กล่าวแล้วในหัวข้อ การดูแลตนเองและการพบแพทย์ (อ่านเพิ่มเติมในหัวข้อนั้น) ซึ่งที่สำคัญ คือ อย่าอยู่กลางแดด ควรอยู่ในที่อากาศถ่ายเทได้ดี สวมใส่เสื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี มีเครื่องป้องกันเมื่อต้องออกแดด เช่น กางร่ม และต้องดื่มน้ำสะอาดให้ได้เพียงพอกับน้ำที่สูญเสียทางเหงื่อ คือ อย่างน้อยวันละ 8-10 แก้วเมื่อไม่มีโรคต้องจำกัดน้ำดื่ม