ขอบคุณมากครับพี่หมู..
ผมเคยมีประสบการณกับเรือชาวบ้านมาสองครั้ง เป็นสองครั้งที่เกือบทำไห้ผมตายก่อนวัยอันควรได้
ครั้งแรกเขื่อนศรีนครินทร ประมาณต้นปี 53 เรือขับออกจากริ่มฝั่งประมาณ 6 โมงเช้ากว่าบริเวณวัดผาแดง น้ำนิ้งมากครับ จุดหมายของเราคือเกาะฟ๊อกแลนขับออกมาได้ประมาณครึ่งชั่วโมงคลื่กับแรงซะงั้น อีกประมาณ 500 มีเกาะกลางน้ำ เรามุ่งหน้าหาเกาะทันทีครับ คลื่นแรงมากจนทำให้น้ำเข้าเรือเยอะมากไต๋ขับด้วยความเร็วในขณะที่เรือกำลังจะจม ตอนนั้นน้ำในเรือมิดตาตุ้มผมไปแล้ว รองเท้า ของ เริ้มลอยในเรือเต็มไปหมด แต่โชคยังดีที่เรายังขับเสียบเข้าเกาะทัน ต้องขอใช้คำว่าขับเสียบเข้าไปเลยนะครับ เพาะไม่มีเบรคเลยขับขึ้นเกาะไปเลย..
แต่ยังครับยังไม่จบ วันนั้นคลื่นแรงมากทั้งวันเราตกปลาได้มาจำนวนนนึงประมาณ เทียงเราตัดสินใจกลับจึงขับเรือข้ามฝั้งกัน มองดูคลื่นแล้วมีพอประมาณไต๋บอกว่าข้ามได้เราตัดสินใจข้ามกลับไปกินข้าวกันครับ.แต่คราวนี้ขับออกไปได้ไม่ไกลมากนัก .. คลื่นมาอีกแล้วครับแต่รอบนี้บอกตรงๆหนักกว่าเมื่อเช้ามาก แพที่เราจะกลับนั้นยังอีกไกลมากน้ำเริ้มเข้าเราอีกแล้วครับตอนนั้นน้ำในเรือเต็มพื้นเรือจนกระดานลอยหมดเลยครับ .. ผมหันไปถามไต๋แล้วบอกให้ไต๋หันหัวกลับเพราะหากเรายังฝืนไปต่อคงกลายเป็นผีเฝ้าเขื่อนเป็นแน่เพราะระยะทางที่เราจะไปต่อมันไกลครับ..ไต๋เห็นด้วยกับเราเลยหันหัวเรือกลับช่วงขณะที่เรือเลี้ยวน้ำตบข้าด้านท้ายเยอะมากหนักกว่าเมื่อตอนเช้ามากครับแต่ก็กับเรือได้สำเร็จเรามุ่งหน้าเข้าเกาะเดิมอีกครั้งรอจนเย็นข้าวไม่ได้กินเลยสักเม็ดเดียว..รอจนเย็นคลื่นเริ้มเบาไต๋เลยขับเรือกลับไปเอาเรือใหญ่มารับเรา..หลังจากเหตุการณครั้งนั้นผมก็ยังคงตกปลาต่อไปโดยที่ไม่เกรงกลัวต่อสิ้งที่เกิดมาทั้งหมดนั้น ( เหตุการณนี้เกิดขึ้นกับผม และไต๋เรือ คือ ไต๋หมาย หลายคนคงรู้จักนะครับ ลองไปถามดูได้ครับ ไต๋หมายคงจำเรื้องนี้ได้ไม่ลืม )
หลังจากนนั้น อีก ไม่น่าเกิน 1 ปีที่หน้าเขื่อนศรีบริเวณหน้าเขื่อนเลยครับ เราลงเรือชาวบ้านออกตกปลา ไล่มาเรื่อยตั้งแต่ ดินสอ ไปแก่งไอ้บ้า เย็นเราจึเงกลับครับ ระหว่างการณเดินทางเหตุการณปกติทุกอย่างเพราะเรือที่เรานั้งไปลำค่อนค้างใหญ่เราเลยว่างใจเรื้องคลื่นลมได้..แต่ระหว่างทางกลับบริเวณ ระหว่าง ปลายดินสอ หันหน้ากลับมาหน้าเขื่อน น้ำมันของไต๋เกิดหมดครับ คลื่นลมพอประมาณ เราจึงจำเป็นต้องเติมน้ำมันกลางเขื่อนครับ ขอบอกว่ากลางมากระยะห่างที่เรามองเห็นตลิ่งไกลมาก ไต๋เติมน้ำมันดูเหมือนจะไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ น้ำมันเบนซินที่เติมนั้นกระเด็นไปโดนท่อของเครื้องที่กำลังร้อนมากทำให้ไฟลุกท่วมเครื้องเลยครับ..ด้วยความที่ไต๋ตกใจเลยเอาแกรอนน้ำมันไปวักน้ำใส่เครื้องทั้งๆทีแกรอนนั้นมีน้ำมันอยู่เต็มเลยครับ คราวนี้ทั้งน้ำเขื่อนทั้งน้ำมันถูกสาดเข้าเครื้องไฟเลยลุกท่วมหนักเลยครับ ไต๋โยนแกรอนทิ้งน้ำแต่เวรกรรมคลื่นเกิดพัดแกรอนมาติดเรืออีก คราวนี้ไฟที่ลุกเครื้องยังไม่ได้ดับ กาบเรือไฟที่แกรอนน้ำมันไฟก็ดันมาลุกอีก ผมตั้งสติได้ตะโกนบอกไต๋ให้เอาผ้าดับที่เครื้องก่อนส่วนผมเอาไม้พายดันแกรอนออกไฟที่ไหม้กาบเรือผมเอาน้ำลาดจนดับ..ส่วนที่เครื้องไต๋เอาผ้าดับจนหมด..เกือบตายอีกครั้ง
งานนั้นถ้าเราดับไฟไม่ทันรับประกันตายแน่นอนเพราะฝังไกลเหลือเกิน..ตอสักต้นก็ไม่มีให้เกาะ(เหตุการณนี้เกิดกับไต๋น้องเล็กหน้าเขื่อนศรีครับ) นี้ยังไม่รวมที่เพื่อนผมเจอกันมาอีกนะครับ ..
ทุกเหตุการณที่ผ่านมาไม่เคยทำให้ผมนึกถึงเสื้อชูชีพเลยแม้แต่ครั้งเดียว จนเหตุการณครั้งลาสุดที่ รถทั้งคันดันผมลงแม่น้ำไป คำแรกที่พ่อถามคือ มีใครเป็นไรมั้ย และทุกครั้งมีเกิดเรื้อง คำแรกที่ผมได้ยินจะเป็นคำนี้ตลอด ทั้งหมดทำให้ผมคิดได้ ถ้าเราไม่เป็นห่วงตัวเอง เราก็ควรจะห่วงคนข้างเราๆบ้าง "เป็นห่วงคนที่เค้าเป็นห่วงเรา" เหตุการณทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจริงและสามารถเกิดขึ้นได้จริงกับใครก็ได้ เวลาที่ท่านออกไปตกปลา มีคนที่บ้านเป็นห่วงนะครับ เวลาที่ท่านกลับบ้านอย่างปลอดภัยมีดีใจนะครับ หากท่านไม่กลับมาลองคิดดูคนที่รักท่านจะเป็นไงกันมั้ง
(ตอนนี้ผมกำลังจะสั้งชูชีพแล้วครับ 5 ตัว เผื่อคนที่ผมรัก)