ผมขอแจม 1 เรื่องนะครับ
พาดหัวข่าว ไฟลัดวงจรบึ้มสนั่นรง.พลุดับ 2
วันที่ 23 มกราคม 2552 เวลา 09:18 น.
เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 22 ม.ค. ร.ต.อ.ธงชัย เจิมขุนทด ร้อยเวรสภ.บางมูลนาก จ.พิจิตร รับแจ้งมีเหตุโรงงานทำพลุระเบิด มีผู้ได้รับบาดเจ็บและเสียชีวิต ที่บ้านเลขที่ 120 หมู่ 4 บ้านวังกร่าง ต.เนินมะกอก อ.บางมูลนาก หลังรับแจ้งจึงรุดไปตรวจสอบที่เกิดเหตุ พร้อมด้วย พ.ต.อ.สันต์ โพธิ์รักษา ผกก.สภ.บางมูลนาก พร้อมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจและหน่วยกู้ภัย
พบโรงงานทำพลุ เป็นอาคารเดียวถูกแรงระเบิดพังทั้งหลัง พบศพนายวิรนิจ ฤทธิ์เดช อายุ 43 ปี อยู่บ้านเลขที่ 63 หมู่ที่ 4 บ้านวังกร่าง อ.บางมูลนาก เจ้าของโรงงานดังกล่าว นอนเสียชีวิตในสภาพศพไหม้เกรียม ด้านหลังบ้านริมคูน้ำพบร่างของนางสมหมาย ฤทธิ์เดช อายุ 40 ปี ภรรยา ของนายวิรนิจ ได้รับบาดเจ็บสาหัส เจ้าหน้าที่นำส่งร.พ.บางมูลนากแต่เสียชีวิตระหว่างทาง
จากการสอบสวน ทราบว่า โรงงานผลิตและเก็บพลุอยู่ห่างจากชุมชนไม่มากนัก มีพลุที่ผลิตแล้วจำนวนมาก และดินปืนที่ยังไม่ได้ผลิตกว่า 1 ตัน ขณะเกิดเหตุไม่มีคนงานอยู่ในโรงงาน เนื่องจากไปส่งพลุให้ลูกค้าที่จังหวัดใกล้เคียง มีเพียงนายวิรนิจและนางสมหมายกำลังเคลื่อนย้ายพลุ เพื่อที่จะไปส่งให้ลูกค้าในช่วงเทศกาลตรุษจีนที่จ.นครสวรรค์ จนเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้น
ต่อมาเวลา 11.00 น. พล.ต.ต.เชาวลิต ชาญเวช ผบก.ภ.จว.พิจิตร พร้อมด้วย พ.ต.อ.พิชชะญะ ลีนะทำ รองผบก.ภ.จว.พิจิตร เดินทางมาตรวจที่เกิดเหตุ พร้อมสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจวิทยาการมาตรวจที่เกิดเหตุ เพื่อหาสาเหตุว่าระเบิดเกิดจากสาเหตุอะไร
พล.ต.ต.เชาวลิตเปิดเผยว่า สาเหตุการเกิดระเบิดของโรงงานทำพลุนั้น คาดว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรเนื่องจากไฟไหม้คัตเอาต์ และสะเก็ดไฟตกมาใส่ที่ทำพลุซึ่งเป็นชนวนที่ทำให้ระเบิดได้ ตนให้ตำรวจวิทยาการมาตรวจสอบสาเหตุอีกครั้ง ว่าเกิดจากไฟฟ้าลัดวงจรหรือไม่หรือเกิดจากสาเหตุใด เท่าที่ตรวจสอบพบว่าโรงงานทำพลุแห่งนี้ตั้งมานานแล้ว และมีการขออนุญาตทำถูกต้อง ซึ่งหากเป็นเหตุสุดวิสัยคงเอาผิดใครไม่ได้
สำหรับ โรงงานดังกล่าวขออนุญาตเปิดทำพลุถูกต้อง โดยจะหมดอายุในวันที่ 9 มี.ค.2552 โรงงานดังกล่าวนี้เคยเกิดเหตุระเบิดมาครั้งหนึ่งแล้วเมื่อปี 2539 มีผู้เสียชีวิต 5 ราย และย้ายสถานที่มาเปิดโรงงานใหม่และเกิดเหตุระเบิดขึ้นอีก
ขอพาดหัวย้อนไปเมื่อ 52 แล้วย้อนไปปี 2539 ที่บ้านเกิดผมเอง อ่านพาดหัวข่าวให้จบก่อนนะครับ แล้วผมจะเรียบเรียงเหตุการณ์สุดสยองที่เจอกันทั้งหมู่บ้าน
ย้อนไปเมื่อเหตุเมื่อปี 2539 เหตุการณ์ ครั้งนั้นเสียชีวิตรวม 5 ศพ
ศพแรก (ลูกชายเจ้าของโรงงาน) สภาพศพ ที่เหลือ (ลำตัวเหลือครึ่งซีก แขน, ขาเหลืออย่างละข้าง)
ศพที่ 2 ลูกสะใภ้ (ท้อง 7 เดือน) สภาพศพศรีษะขาดหายไป
คนที่ 3 ลูกจ้างชื่อนางดำ (ถูกแรงอัดของระเบิกพลุ) กระเด็นไปชนตอไม้ทิ่มทะลุปอด เสียชีวิตที่โรงพยาบาลในเวลาต่อมา (หลังรับการรักษาจนเกือบหายแล้ว)
ลูกๆ ของนางดำ จำนวน 2 คน ที่เข้าไปเล่นในโรงงาน (เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ) ผมไม่ทันเห็นสภาพเพราะห่อผ้าขาวแล้ว
จากที่เรียบเรียงสภาพศพได้ เนื่องจากว่าผมไปดูศพที่วัดขณะบรรจุลงโลงศพ
เหมือนไม่มีอะไรจะสยองมากกว่านี้แล้วแท้ๆ แต่
เริ่มจากในวันบรรจุศพ ศพลูกสะใภ้ มีศพทารกในครรภ์ แล้วทางญาติให้ผ่าท้องศพเอาทารกออกมาห่อผ้าใส่ข้างๆ ศพแม่ พยาบาลที่มากับรถเอามีดซึ่งเป็นมีดผ่าตัด อย่างที่รู้ๆ กันว่าคมขนาดไหน แต่วันนั้นกีดไม่เข้า สุดท้ายต้องให้สัปเหร่อของวัดจัดการทำพิธีแล้วเอามีดพร้าสนิมเขลอะของสัปเหร่อผ่าเอาศพทารกออกมาแทน
ต่อมาหลังทั้งหมดเสียชีวิตไปแล้ว 3 วันทั้งหมู่บ้านพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าได้ยินเสียงร้องโอดโอย ขอความช่วยเหลือดังมาจากบ้านที่เกิดเหตุ (รวมถึงผมด้วย) ซึ่งบ้านผมอยู่ห่างไปไม่ไกลแถมอยู่หลังวัดซะด้วย
วันเผาศพ คือ 7 วัน เนื่องจากวันนั้นมีการเผาศพลูกชายกับลูกสะใภ้พร้อมกัน ลูกสะใภ้เผาก่อนในตอนเช้า ก็เหตุการณ์ปกตินะครับ แต่พอมารอบเย็นเผาลูกชายเหตุการณ์เล่นเอาวิ่งกันทั้งฆารวาสทั้งพระ เมื่อเริ่มเผาศพที่เมรุ ปกติควันจากปล่องต้องลอยขึ้นฟ้า หรือลอยไปตามกระแสลม แต่วันนั้นควันกลับลอยไต่ระดับจากปลายปล่องลงมาที่พื้น คละคลุ้งไปทั่วบริเวณวัด จากนั้นกลุ่มควันก็ลอยไปทางทิศเหนือซึ่งเป็นบ้านที่เกิดเหตุ
เหตุการณ์ผิดธรรมชาติที่เห็นกันทั้งวัดในครั้งนั้น ทุกคนถึงกับตะลึงพูดอะไรไม่ออก แต่ยังไม่หมดความน่ากลัว เพราะแม่(เจ้าภาพ) เอาตะไลยักษ์มาจุดด้วย ในวันนั้นจะจุดทั้งหมด 7 อัน เพียงจุดอันแรกตะไลกลับไม่วิ่งขึ้นฟ้า มันหมุนวนอยู่กับที่แล้ววิ่งไล่ไป/มาในวัดแล้วก็ระเบิดจนคนในวัดต้องวิ่งหนีกันหมด (ส่วนตัวผมในวันนั้น) อาศัยใต้ถุนศาลาหลบภัย ที่เหลืออีก 6 อันเป็นอันต้องยกเลิกไป
หลังจากวันเผาศพ 2 สามีภรรยา นางดำที่เป็นลูกจ้างที่เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเริ่มมีอาการดีขึ้นเป็นลำดับก็เล่าเหตุกาณ์ให้คนในหมู่บ้านที่ไปเยี่ยมว่าวันเกิดเหตุกำลังเร่งงานที่จะส่งล๊อตใหญ่ ในขั้นตอนการทำดินปืนได้มีการผึ่งดินปืนบนสังกะสี เลยเดาๆ เอาว่าดินปืนน่าจะร้อนจนเกิดปะทุแล้วไอร้อนแผ่ไปโดนลูกพลุที่เสร็จแล้วในลังข้างๆ หลังจาเล่าเหตุการณ์ แล้วแกบอกกับคนในหมู่บ้านว่าฝันว่าลูกมาเยี่ยมแล้วถามว่า “แม่ไปอยู่ด้วยกันไหม” แล้ววันรุ่งขึ้นนางดำก็เสียชีวิต
หลังเผาศพทุกคนจนหมดแล้ว หมู่บ้านผมก็คล้ายหมู่บ้านร้างในยามค่ำคืน หลังหกโมงเย็นทุกกิจกรรมจะหยุดนิ่ง ร้านเหล้าที่เคยมีขี้เมา(รวมถึงผม) ไปนั่งดื่ม ไม่มีใครกล้าไปนั่งอีกเลย ทุกบ้านจะเข้าบ้านปิดประตูหน้าต่างเงียบ ไม่ออกไปไหนกัน
ผมจำระยะเวลาไม่ได้ว่าหลังเผาศพนานแค่ไหน แต่คนแรกที่โดนดีคือคนขับรถเมล์ประจำทาง บางมูลนาก – นครสวรรค์ ขับรถชนหน้าบ้านที่เกิดเหตุในตอนตี 4 จากคำบอกเล่าที่คนในหมู่บ้านออกมาช่วยเหลือ คนขับแกเล่าว่าก่อนเกิดเหตุมองเห็นว่ามีคนอุ้มลูกมายืนโบกรถที่หน้าบ้านหลังนั้นก็เลยชะลอรถเพื่อจะจอดรับเพราะเข้าใจว่าผู้โดยสารแต่พอเขามองให้ชัดกลับเห็นว่าเป็นผู้หญิงไม่มีหัวยืนอุ้มเด็กโบกรถอยู่ เลยหักรถเลี้ยวลงข้างทาง
ต่อมาน้องสาวคนตายประกาศขายรถมอเตอร์ไซค์ ผมจำได้เลยว่าเป็น Honda NSR เป็นรถของคนตาย ขายถูกมาก เหมือนจะยกให้เลยว่างั้นเถอะ มีคนจากหมู่บ้านอื่นไปดูรถกันหลายคนแต่พอมีคนนึงจะซื้อ รถมอเตอร์ไซร์ที่จอดมาแรมเดือนกลับสตาร์ทเครื่องเองได้ แค่นั้นละคนซื้อก็กระเจิงกันหมด
ผ่านไปนานพอสมควร แก๊งค์ขี้เมาก็เริ่มกล้าออกมาเปรี๊ยว ผมและเพื่อนๆ ยึดทำเลบ้านเพื่อน เพราะว่าคิดกันว่าถ้าเมาก็นอนบ้านเพื่อน ตั้งวงกินไป 4 คน พอเริ่มเมาก็เป็นธรรมดาที่ต้องปวดฉี่ ห้องน้ำก็น้อย ขี้เมาอย่างเราก็หมดยางอาย ผมเลยเดินข้ามถนนไปยืนแอ่นข้างทาง เพื่อนๆ มันก็อยู่ชั้นสอง มองผมแล้วก็แซวๆ ว่าเดี๋ยวผีมันก็มาแอบดูหรอกเมริง ผมไม่สนใจยืนแอ่นจนเสร็จกิจ แต่ก็สงสัย เอ๋ทำไมพวกมันเข้าไปกันเร็วจังว่ะเงียบเชียว พอผมกลับมาที่วงเหล้าเพื่อนมันบอกว่าเอ็งไม่เห็นหรอเมื่อกี้มีคนตั้ง 5 คนเดินผ่านหลังเอ็งไปตามถนน ผมถึงกับอึ้งล่ะครับงานนี้ งานเลี้ยเลยต้องเลิกราแยกกันมุดมุ้งเป็นแถว
หลังจากเหตุสยองครั้งแรก นานมากเหมือนกันจนหลายๆ คนคงคิดว่าไม่มีอะไรน่ากลัวแล้ว ผมกับเพื่อนขี่มอเตอร์ไซค์ไปส่งพี่ๆ ที่สถานีรถไฟกว่าจะส่งกันเสร็จก็ปาเข้าไปตั้งห้าทุ่ม กลับมาสองคนแล้วทางผ่านก็ต้องผ่านบ้านที่เกิดเหตุ พลันผมก็ได้กลิ่นเหมือนคนเผาเนื้อแล้วไหม้ มีกลิ่นดินปืนผสมจนฉุน จากบ้านหลังนั้น ราวๆ โลนึงก็ต้องเข้าวัดเพื่อเข้าบ้านผม (บ้านผมต้องผ่านวัดทุกครั้งที่จะเข้าบ้านหรือออกจากบ้าน) เพื่อนเลยจอดรถหน้าวิหารหลวงพ่อ แล้วถามผมว่า เอ็งได้กลิ่นใช่ไหม ผมได้แต่พยักหน้าแล้วก็พากันวิ่งไปหน้าวิหารไหว้หลวงพ่อก่อนขี่รถเข้าบ้านกัน ซึ่งเหตุการณ์ครั้งสุดท้ายในครั้งนั้นผ่านไปผมก็ยังไม่เคยเจออีกเพราะหลังจบผมแทบจะไม่ได้กลับบ้านแล้วจนถึงวันนี้