ทริปสำรวจ ไค่โจ ไม่ไปอีกแล้ว เข็ด
ผมเคยได้ยินพรานสมัยก่อนเล่าต่อๆกันมาเรื่องเขาตะนาวศรี แถบชายแดน เรื่องการไปล่าแรด ผ่านเขาสูง เรื่องกลุ่มทหารหลงป่าจนต้องใช้ฮอไปรับและทหารมอญมาช่วยไว้ เรื่องทะเลอันดามันและเรื่องหมู่บ้านในเขตเมืองเย จึงเป็นจุดเริ่มต้นของทริป เวลาไปแคมป์ตกปลาก็ชี้กันมันคือยอดเขาลูกนี้แหล่ะ ไกลลิบ จึงวางแผนเพื่อจะไปสำรวจให้เห็นกับตาครั้งนึงในชีวิต เริ่มวิ่งออกกำลังกายเพื่อฟิตความพร้อม
ออกเดินทางโดยเรือหางยาวใช้ระยะเวลา 1 วัน ตกเย็นก็เริ่มตั้งแคมป์ ทำอาหาร ด้วยความที่ถึงช้าเราจึงแกงเนื้ออย่างง่ายๆกัน ย่างปลาอีกสองตัว นั่งจิบกันไปคุยกันไป คืนนี้ก่อนนอนพี่จิตใช้น้ำมันเทรอบๆที่พักเพื่อกันมดและแมลง ผมก็ไปเดินถ่ายรูปสัตว์กลางคืนเล็กน้อย คืนนี้ เจอกบลายหินตะนาวศรี (Amolops panhai) กบชะง่อนผาตะนาวศรี(Odorrana livida) กบทูด(Rana blythii) กบห้วยขาปุ่มใต้(Limnonectes jarujini) แล้วก็เจ้าจงโคร่งจิ๋ว (Phrynoidis aspera) แล้วก็แอบดีใจที่เดินขึ้นไปบนน้ำตกเล็กๆ เห็นปลาเนื้ออ่อน เราจะตกมันยังไงดีน้ออออ มีการบ้านอีกแล้ว เดินส่องสัตว์เลื้อย คลานได้ซักพักก็เข้าเตนท์นอน จนสามสี่ทุ่มเราก็นอน ตื่นมากินอาหารเช้าที่อุ่นจากเมื่อวานนี้ เช้านี้เราต้องนำเรือและเครื่องเก็บบริเวณหน้าผาเพื่อป้องกันช้างทำลายเรือของเรา เพราะ เราเคยมาตั้งแคมป์บริเวณนี้ ไม้ไผ่แห้งที่ทำเป็นกระโจมแคร่สำหรับเก็บผักและตากจาน ถูกรื้อทิ้งเสียเรียบราบเป็นหน้ากลองเลย (แอบกลัวกลับมาที่แคมป์จะไม่เจอเรือมากๆ)
กินอาหารเช้าเสร็จก็เดินลุยน้ำไปเรื่อย ตามรอยช้างแม่ลูกอ่อน สังเกตุจากขนาดรอยเท้า ผ่านน้ำตกไค่โจน้อย ประมาณบ่ายเราก็มาถึงจุดที่เดินขึ้นสัน จัดการแกงเนื้อเป็นมื้อที่ 3 แล้ว ตกปลาพลวงมากินอีก สามตัว ทาเกลือย่าง เมนูปลาเป็นอาหารหลักแทบทุกมื้อ จากนั้นก็เริ่มเดินขึ้นเขากัน ด้วยความที่ในทีมยังไม่มีใครเคยไปพิชิต เราได้แต่เดินตามสภาพพื้นที่ตามแผนที่ของ กูเกิ้ล พอเห็นรอยตัดไม้ครั้งนึงเราก็ดีใจกันครั้งนึงเพราะต้องเคยมีคนเดินผ่านมาแถวนี้บ้างแน่เลย(ควรไปทางนี้หล่ะเนอะ) ไต่เขาไปเรื่อยๆก็เก็บยอดผักเหลียงป่า(ใบมันหมู)ไปเคี้ยวเล่นไปเรื่อยๆ ได้ยินเสียงและมองเห็นน้ำตกที่รอการพิชิตจากพวกเรา ปีหน้าเจอกันแน่นอนล้านเปอร์เซ็นต์ ได้ยินเสียงกรกๆให้คาดเดาว่าเป็นเสียงของนกกาฮัง มีน้ำตกเป็นฉากหลัง ห้าถึงหกตัว ก็ยืนดูซักพักแต่แล้วพวกมันก็บินกันมาอีกเกือบสิบตัว ฝูงนี้สิบกว่าตัว ตื่นเต้นอีกแล้ว เพราะผมไม่เคยเจอเค้ารวมฝูงกันใหญ่ขนาดนี้ จนมาถึงเขาลูกแรก เริ่มใช้เชือกมาเป็นส่วนร่วมของการเดินทางกันบ้างแล้ว แต่ก็ยังสบายดี แต่ถ้าตกลงไปนี่คงมียอดดอยเป็นชื่อตัวเองแน่แท้ พอผ่านผาช่องแคบไปก็ถึงป่าไผ่ การเดินทางผ่านป่าไผ่เป็นอะไรที่ทรมานมากเพราะต้องมุดต้องฟัน พี่นทีแกเป็นคนฟันแกคงเหนื่อยมากๆ ผมเริ่มมีอาการปวดข้อเท้าซ้ายกำเริบ เราเริ่มท้อกันแต่ก็ยังคงให้กำลังใจกันและกัน เราเห็นเทือกเขาหัวโล้นทางขวามือ ก็ยังคุยกันว่ายอดที่เราขึ้นเครื่องฮอคงไม่สามารถลงจอดได้ รอยฟันกิ่งไม้ก็หายไป พี่มลเริ่มบ่น จะทำลายจีพีเอสทิ้งทั่วประเทศไทย จะได้ไม่ต้องมาเดินทรมานกันอีก555 น้ำส่วนตัวของแต่ละคนก็เริ่มหมดจนเหลือแต่ในเป้น้ำที่พี่จิตแบกมากับน้ำหวานอีกนิดหน่อย ช่วงนี้ต้องฟันไม้ไผ่ขนาดเล็ก คล้ายๆไผ่ไร่ แต่ไม่ใช่ไผ่ไร่เพราะทำให้โล่งจะได้กางเตนท์ ปรากฏว่าเตนท์ที่แบกมาถึง2หลังเพื่อให้เรานอนรวมกันถูกปฏิเสธหมด ผมมมมมมมมมมมมมมจะบ้าแบกมาเพื่ออะไรกันเนี่ย ขอเปลี่ยนเป็นแบกน้ำแทนได้มั้ย แม่จ้าววววแทบร้องกรี๊ดดดให้ลั่นภูเขา5555 ผมและพี่จิตงดข้าวเย็นกัน กินแต่แอลกอฮอล์น้ำก็ไม่มี แล้วก็หลับไป เช้ามาเราเริ่มแบ่งน้ำเป็นสัดส่วนสรุปเช้านี้ดื่มน้ำกันคนละประมาณครึ่งแก้ว เช้านี้เราตื่นแต่เช้ามาดูพระอาทิต แต่ป่าไผ่บดบังหมดแอบน้อยใจในโชคชะตากะว่าเราคงได้นอนที่ยอดไค่โจซักคืนดูดาวดูพระอาทิตขึ้นและตกซักคืนนะ นั่งวางแผนกันซักนิดว่าจะเอาไงดี จะลงก็กลัวไม่ถึงจะขึ้นก็กลัวขาดน้ำ พี่ทูลูกชายพี่ซันต๊ะก็ได้ยินเสียงเรียกมาจากเขาฝั่งตรงข้าม ผ่านเสียงน้ำตก เราก็ตั้งใจฟังกัน สงสัยคนตัดไม้ สงสัยพรานป่า พอเอาเข้าจริงๆ เป็นเสียงผู้หญิงครับ คงไม่ใช่ทั้งสองอย่าง ผัว ผัว ผัว 555 ชะนีจ้า
ออกเดินทางต่อจากสัน...."น้ำหมากกระจาย".......เราคุยกันว่าเราคงไม่ได้พิชิตกันแล้วล่ะพี่ๆ แต่เราจะเดินไปจนน้ำที่เหลืออยู่ใกล้จะหมด อาจจนถึงเที่ยงแล้วเดินทางกลับ เดินช่วงแรก ผมได้ยินเสียงกิ๊ดๆๆ ค่อนข้างมั่นใจว่าต้องเป็นเสียงเหยี่ยวแน่นอน เดินไปสักพักก็เจอเหยี่ยวฮ๊อบบี้ สองตัว เกาะอยู่ระหว่างทางที่เราฝ่าไป แล้วเราก็เริ่มเดาว่าซอกเขานี้ต้องมีแหล่งน้ำแน่ๆ ------- ไฮไลท์ช่วงนี้เป็นอะไรไม่ได้นอกจากการเลียน้ำจากใบไม้ของต้นหญ้าไม้กวาด ผมเลียจนขอบใบหญ้าไม้กวาดบาดจมูก 555 เป็นประสบการณ์แรกเลย (คราวหน้าถ้ามีโอกาสอีกจะต้องใช้ขวดน้ำค่อยๆตัดและเก็บน่าจะได้เยอะนะ) ระหว่างทางพบเห็บลมบ้างประปราย เราเริ่มพบรอยเท้ากระทิงที่ผ่านมาเมื่อฤดูฝนที่แล้ว แล้วเราก็เดินลงหุบเพราะมีความหวังว่าจะต้องมีแหล่งน้ำ เรามีเพียงมาม่า10ห่อและขวดพลาสติกใส่น้ำอันว่างเปล่า น่าจะเอาหม้อต้มกาแฟมาด้วยคงจะดี เราเริ่มเห็นยอดดอยลูกที่สองและสาม และคาดคะเนว่าลูกที่สามนั่นแหล่ะยอดไค่โจ แล้วเราก็ได้ยินเสียงน้ำตก เย้ๆๆๆๆเราพบแหล่งน้ำแล้ว จัดการตัดไม้ไผ่ทำเป็นท่อเพื่อให้น้ำไหลจะได้กรอกใส่ขวดอย่างง่ายๆ เราไม่ได้พกอุปกรณ์ต้มน้ำไปเราได้แต่กรอกแล้วใช้ผ้าบัฟหลายๆชั้นกรองแล้วบีบขวดเพื่อให้เกิดแรงดันเยอะๆ เราก็เตรียมมาม่าออกมาแบ่งกันคนละซอง พอพบแหล่งน้ำพี่มลลงไปดื่มก่อนเลยแต่ตอนไปไม่มองทางต้องเดินผ่านดงทากด้วยขาขึ้นมาโดนทากเกาะกรี๊ดลั่น พี่มลเป็นคนกลัวหนอนกลัวทากเลยโดนน้องๆแกล้งเป็นประจำโดยเฉพาะผมชอบจับหนอนคืบส่งให้ยามแกเผลอ คนที่กลัวอะไรมักจะเจออย่างนั้นพี่มลโดนทากกัดบ่อยที่สุดในทีมเลยครับ555 พี่จิตใส่กางเกงขายาวพอถอดอกางเกงก็ลายพร้อยไม่แพ้กันเลยครับ555 ผมโดนไปสี่ห้าตัวแต่โดนเห็บลมมากกว่า พอมีแรง ความฮึดก็ขึ้นมาถึงยอดดอย เริ่มมั่นใจแล้วว่าต้องใช่แน่ๆตามพิกัดที่พี่จิตมาร์คไว้ พอท้องอิ่มก็มีแรง มองดูรอยเท้าสัตว์ ทั้งเรียงผา หมูป่าและน่าจะเม่น รอยเล็บหมีควาย บนต้นมะตาดแทบทุกต้นที่ขึ้นอยู่บริเวณใกล้ทางเดิน เจอเห็บขนาดพอๆกับยาพารา แม่เจ้าถ้าโดนกัดตรูจะเป็น Scrub typhus อีกรอบมั้ยเนี่ยะแล้วเราก็ขึ้นถึงยอดไค่โจสำเร็จใช้ระยะเวลาประมาณ 3-4 ชม. บนยอดมีแต่รอยกระทิงเยอะมาก รอยฟ้าผ่าต้นไม้ บนดอยมีไผ่ตายขุยและต้นไม้กวาดขึ้นประปราย เรามองเห็นเขาเรด้า และเทือกเขาสูงฝั่งเมืองเย เขาแฝดฝั่งตรงข้ามมีศาลาสังกะสีอาจจะเอาไว้ใช้รับส่งสัญญานวิทยุ ผมใช้น้ำในขวดจับระดับความสูง เราเตรียมธงชาติไทยเพื่อพิชิต เมื่ออิ่มกับการชมทิวทัศน์แล้วเราจึงเดินลงกันในเส้นทางใหม่เพื่อเก็บที่นอนและเดินทางกลับ จังหวะลงเขาสัมภาระที่หนักและทางลงชันบางช่วงที่ขึ้นมาต้องใช้เชือกโยงสัมภาระบางส่วนลงกันบ้าง ช่วงนี้อันตรายมากๆ เพราะเป็นที่แคบเป็นผาหิน แต่พวกเราก็ชวนกันคุยเรื่องการเดินทาง สรุปได้ว่าทางที่เรากลับเป็นทางที่สะดวกและเหมาะสมที่สุด หากไม่ขาดน้ำเราจะใช้เส้นทางนี้เป็นเส้นทางเดินไปอย่างไม่ลังเล ลงมาเจอตะกวดวิ่งหนีเข้าโพรงไม้อีก1ตัวจากนั้นก็ตกปลาเพื่อทำกับข้าวเย็นกันต่อมื้อนี้เป็นกับข้าวมื้อพิเศษอร่อยมวากกกก มีเมนูแกงปลาพลวง ปลาพลวงย่างเกลือ(น้ำจิ้มอร่อยเฟร่อ) และต้มจืดฝักเหลียง(ใบมันหมู)ใส่สาหร่าย เรียบร้อยก็เดินทางกันต่อระหว่างทางเจอกบฑูดไซด์บ๊ะเริ่มเทิ่ม ผ่านน้ำตกไค่โจน้อย ผมพบงูสามเหลี่ยมหัวแดงครั้งแรกในชีวิต แอบดีใจปนสยองเป็นครั้งแรกที่ได้พบกันแต่ดันมาเจอกันตรงทางลาดชัน ไม่เอาดีกว่าป๊อดเลยจากกันโดยไม่ถ่ายภาพ เจอเม่นและหมีขอมากินผลมะเดื่อสุก พอเดินผ่านโหยกลิ่นนี่มาก่อนเลยครับ แอบหลอนเจอร่อยรอยช้างลากกล้วยป่ามากินในลำธาร ตอนไปก็ยังไม่มีเลยครับ พอใกล้จะถึงแคมป์ เจอรอยเท้าช้างใหม่ๆเอี่ยม ใหญ่กว่าขาไปเสียอีก เดินสวนทางกับพวกเรา แอบสยองลึกๆ ถึงแคมป์ประมาณตีหนึ่ง ทำกับข้าวรอบดึก เมนูปิ้งย่างและแกงเนื้อ กะเผื่อไว้จนจนเช้าเลย ตีสามจึงได้นอนกัน เช้าก็ประกอบเรือกันต่อกินอาหารพร้อมเดินทาง ขากลับล่องเรือมาก็สังเกตุตามประสาคนบ้าปลาจึงได้ตอกย้ำถิ่นอาศัยที่ปลาเวียนชอบลอยตัว กว่าจะกับถึงรถก็ปาไปทุ่มกว่าเป็นอันเสร็จสิ้นภาระกิจ พิชิตยอดไค่โจ
ขอขอบคุณ พี่จิต พี่มล พี่นที พี่หม่องโอ และและพี่ทู
ไม่ไปอีกแล้วนะ อย่าชวนผมอีกนะ 5555 ยอมมม