เรือพี่เอะลับตาไปแล้ว จากนั้นเป็นคิวที่เหลืออีก 3 ลำของคณะเดินทาง
..ผม นั่งมองด้วยความตื่นเต้นระคนความกลัว อากาศหนาวๆเย็นๆแต่เหงื่อกาฬเริ่มแตกเม็ดบนใบหน้า..
" วิ่งตรงไม่ได้ ต้องตีขวาโยกซ้ายขึ้นไปนะพี่ทิด ดูหัวดีๆด้วย " พี่โจบอกทางย้ำไลน์มาอีกครั้ง
ไม่มีคำตอบจากต้นหนคู่ใจเหมือนเดิม เห็นเพียงแต่กำด้ามพายกระชับมือแน่น...
...พี่นัย นายท้ายเรือพี่เอฟ แล่นเรือมิดคันเร่งตามทางร่องน้ำขึ้นไปอีกครั้ง
สองลำแรกเป็นเรือที่ ค่อนข้างปลอดภัย ไม่ต้องมีคนคัดหัวเรือ เนื่องจากเรือลำเล็กท้องแบน
น้ำหนักไม่มากคล่องตัวมากในการเดินทางมหาวิบากครั้งนี้....
.เหลือลำผมกับลำพี่ต้อ ลำผมเสี่ยงที่สุด เรือใหญ่ท้องกลมน้ำหนักมาก แค่ผมกับพี่โจร่วมๆสองร้อยเศษๆแล้ว ไหนจะพี่ทิด สัมภาระ อีก...
" ลุงน้อย จะทำอะไรก็ทำให้ไวเลยนะ อยู่หัวเรือคัดดีๆเอามือไม่กุดจับพายนะ " พี่แย้ คู่กัดลุงน้อยแซวคู่หูต่างวัยก่อนที่จะเร่งคันเร่งขึ้นไปจนลับตา
..เหล้า ขาว 30 ดีกรี ถูกเปิดมารินแจกจ่ายในเรือลำผม พี่โจอัดยาเส้นเข้าปอดเต็มที่..
" ไป " เสียงดังสั้นๆหนักๆเหน่อๆผ่านออกมาจากลำคอ..
..เราเล่นตามทางร่องน้ำ มุ่งหน้าเข้าหากองกินใหญ่เบื้องหน้า
ผมจึงได้รู้ว่าทำไมเราจึงตั้งเข็มเป็นเส้นตรงตัดแก่งเข้ามาเลยไม่ได้
หินโสโครกกองขวางเป็นพรืดยาว กระแสน้ำเกลียวคลื่นช่วยกันอำพรางกับดักอันแยบยลนี้ไว้
ธรรมชาติขีดเขียนร่องน้ำเป็นรูปตัว S เอาไว้...